ท่วงเวลารัก ชุดกาลรักหนึ่ง
เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
ท่วงรักที่ 4 : คู่แข่ง
ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์สามชั้นรูปทรงคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมหลายใบวางเหลื่อมซ้อนเล่นระดับในวิลตันไชลด์โดม
เช้าวันนี้มีสมาชิกครอบครัวนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาถึงแปดคน
ตรงหัวโต๊ะนั้นเป็นที่นั่งประจำของคีนส์
วิลตันไชลด์ ผู้นำตระกูลหนุ่มวัยเกือบหกสิบปีที่หล่อเหลาดูดีไม่ต่างจากชายหนุ่มยุคโบราณวัยสี่สิบ
ร่างสูงสง่าบุคลิกนิ่งขรึมยังคงดึงดูดสายตาผู้คนเหมือนเช่นวันวาน แต่สายตาของเขาในทุกวันนี้และตลอดหลายปีที่ผ่านมา
กลับมีไว้มองเพียงหญิงสาวคนเดียวที่นั่งอยู่ติดด้านขวามือ
รวมถึงลูกแฝดชายหญิงทั้งสามที่นั่งเรียงกันอยู่เป็นแถว โดยมีเด็กหญิงที่ออกมาชื่นชมบลูแพลนต์เป็นคนสุดท้ายนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสอง
ส่วนโต๊ะอีกด้านนั้นเป็นมาดามเมเรน
พีณา และเลย์ดีน ที่ถือโอกาสในวันหยุดแสนสบายเช่นนี้ มาร่วมรับประทานอาหารเช้ารสเยี่ยมฝีมือสะใภ้คนโตจากห้วงอดีตอันห่างไกลนับพันสามร้อยปี
บนโต๊ะตัวโตเบื้องหน้าสมาชิกที่พูดคุยเรื่องทั่วไปกันอย่างรื่นเริง
ชามข้าวต้มในน้ำซุปใสหอมกลิ่นใบเตยตั้งอยู่กลางโต๊ะ และที่เรียงรายอยู่ข้างๆ เป็นจานใส่เครื่องเคียงอีกหลายอย่าง
ทั้งหมูสับผัดกับปลาแซลมอนรสเค็ม ผักดองเปรี้ยวหวานกรุบกรอบ ไข่เป็ดดองกับน้ำเกลือต้มจนสุกแล้วผ่าครึ่งโรยด้วยพริก
หัวหอมซอยและน้ำมะนาว และจานสุดท้ายเป็นก้านผักบุ้งกรีดเป็นเส้นฝอยยาวๆ
ผัดกับซอสถั่วหมัก
หลายปีก่อน...
ฝนปรายได้มีโอกาสเดินทางย้อนเวลากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดในปีสองพันเศษ หญิงสาวจึงเกิดความคิดอยากจะเพาะปลูกพืชผักสวนครัวและผลไม้พื้นเมืองของแผ่นดินที่เธอจากมา
จึงได้ขนเอาบรรดาเมล็ดและพันธุ์ไม้หลายชนิดใส่กล่องย่อขยายติดมือกลับมาด้วย
และเมื่อคีนส์ได้รู้ความต้องการของคู่ชีวิต มีหรือเขาจะไม่สนับสนุนตามอกตามใจ
เรือนกระจกควบคุมบรรยากาศให้เหมือนเขตร้อนชื้นจึงถูกก่อสร้างขึ้นบนพื้นที่ว่างด้านหลังวิลตันไชลด์โดมอย่างรวดเร็ว
แถมเขายังจ้างทีมพฤกษแพทย์ฝีมือดีด้วยอัตราจ้างนับแสนดีลต่อเดือน
มาเป็นผู้ช่วยคอยดูแลผักสวนครัวและผลไม้สายพันธุ์แปลกในเรือนกระจกอีกด้วย
จนเมื่อเวลาผ่านไปได้ราวหนึ่งปี ผลผลิตจากเรือนสวนครัวของฝนปรายก็เริ่มทยอยออกดอกออกผลให้คนในวิลตันไชลด์โดมได้เห็น
และชิมรสในรูปแบบเมนูแปลกๆ จากห้วงอดีต
“ผักดองฝีมือคชาเป็นยังไงบ้างคะ”
ฝนปรายส่งยิ้มบางๆ สอบถามผู้ร่วมโต๊ะ หญิงสาวตาคมผิวสีน้ำผึ้งในวัยสามสิบเก้าปีนั้นดูอ่อนกว่าวัย
และแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่เธอเดินทางข้ามเวลามาเลย
คชา...
เด็กชายวัยเจ็ดขวบที่นั่งอยู่ข้างตัวเธอ ลูกชายคนรองจากบรรดาพี่น้องสามแฝด
ซึ่งชื่นชอบการทำอาหารและการตามติดเป็นผู้ช่วยมารดาทำงานประดิดประดอยมากเป็นพิเศษ
มากกว่า คีตา... ลูกสาวคนสุดท้องที่วันๆ
เอาแต่หมกตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือเสียอีก ส่วน คีรี...
พี่ชายคนโตที่เกิดก่อนน้องๆ ไม่กี่นาที
กลับได้รับอิทธิพลความนิ่งขรึมของคีนส์มาจนดูโตกว่าอายุจริงไปหลายปีทีเดียว
ในวันที่ได้รู้เพศของทารกทั้งสามในครรภ์
ฝนปรายก็ขอตั้งชื่อลูกๆ ด้วยภาษาไทยเพื่อระลึกถึงบ้านเกิด โดยเลือกคำที่ไม่ได้ออกเสียงยากเย็นเกินกว่าคนยุคนี้จะเรียกได้ถูกต้อง
ส่วนคู่ชีวิตที่ดีแสนดีอย่างคีนส์ก็ทำแค่เพียงพยักหน้า ส่งยิ้มบางๆ
และแววตาชวนอบอุ่นใจ ก่อนที่เสียงทุ้มที่ถนัดออกคำสั่งต่อคนในปกครองอยู่เสมอจะเอ่ยเสียงนุ่มว่า
‘ตามใจฮันนี่’ อย่างไร้ความคิดจะคัดค้าน
“อร่อยมากค่ะ
เก่งจริงๆ เลยนะคชา” พีณาเป็นคนเอ่ยตอบ ก่อนจะส่งยิ้มสดใสเอ่ยชมเอาใจน้องคนกลาง
“ขอบคุณครับ”
เด็กชายผมสีน้ำตาลเข้มยิ้มกว้าง
ใบหน้าที่เหมือนพี่ชายจนแทบแยกไม่ออกดูภูมิใจกับฝีมือตนเองไม่น้อย จากนั้นก็บอกเล่าต่ออย่างอวดๆ
“มัมเพิ่งสอนคชาดองผักสีแดงๆ แบบเกาลี่ไว้ด้วย อีกสองสามวันก็กินได้”
“เกาหลี...
ต่างหาก” เด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยแก้การออกเสียงของพี่ชาย
ดวงตากลมเต็มไปด้วยแววบริสุทธิ์ใจไม่ได้ต้องการหักหน้า แค่อยากจะแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกต้องเท่านั้น
เด็กชายคชาเองก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร
เขาพึมพำออกเสียงใหม่อยู่สองสามรอบอย่างยอมรับในตัวน้องสาวที่ความจำดีกว่ากันเยอะ
“แล้ววันนี้พีณาจะสอนพวกเราเล่นดนตรีไหมครับ”
คีรีที่นั่งอยู่อีกด้านของน้องสาววางช้อนลงช้าๆ หลังจากรู้สึกอิ่ม เด็กชายใช้ผ้าซับมุมปากอย่างสุขุมเรียบร้อย
แล้วเงยหน้าถามกับพี่สาวที่อายุห่างกันนับสิบปี
ในวันหยุดที่พีณาไม่ต้องไปสถานเรียนรู้หรือไปทำงานเพลงก็มักจะแวะมาขลุกกับสามแฝดตัวเค
บางครั้งที่เล่นสนุกจนจุใจแล้วก็หันมาสอนให้น้องๆ หัดเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ
ซึ่งวิชาดนตรีเฉพาะกิจของพีณา นับเป็นหนึ่งในกิจกรรมจำนวนไม่มากที่สามารถดึงตัวคีตาออกมาจากกองหนังสือและอีเปเปอร์ได้
โดยเด็กหญิงตัวน้อยได้ให้เหตุผลอย่างจริงจังว่ามันช่วยให้เธอมีสมาธิและมีความจำดีขึ้น
พีณาได้ยินคำถามของน้องชายคนโตแล้วก็ทำหน้าเสียดายเล็กๆ
ที่ต้องปฏิเสธ
“ขอโทษนะคีรี
วันนี้พีณาจะไปข้างนอก นัดเพื่อนเอาไว้แล้ว”
“จะออกไปไหนไม่เห็นบอกแด๊ดดี้เลย”
เลย์ดีนที่นั่งอยู่ข้างกายบุตรสาวหันมาสอบถามทันที
“ไปเดินเล่นกับชารีย์แล้วก็ซิลเวียค่ะ
เราจะไปเลือกชุดสำหรับงานฉลองจบการเรียนรู้ด้วย” เธอตอบ โดยแอบปิดบังบางส่วนที่รู้ว่าบิดาจะต้องไม่ชอบใจเอาไว้
เลย์ดีนพยักหน้ารับรู้
ก่อนจะกำชับเตือน “อย่าไปซนเถลไถลที่ไหนล่ะ กลับมาก่อนมื้อค่ำด้วย”
แม้จะยอมให้พีณาไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องมีผู้คุ้มกันติดตามมาสักพักแล้ว
เพราะเด็กสาวเรียกร้องออดอ้อนขออิสระและความเป็นส่วนตัว อยากใช้ชีวิตเหมือนเช่นเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป
แต่อย่างไรแล้วความรัก ความหวง
และความห่วงใยของเลย์ดีนที่มีต่อบุตรสาวก็ไม่เคยลดน้อยลงเลย
“ได้ค่ะแด๊ดดี้
รับรองว่าหนึ่งทุ่มตรงเป๊ะ ถึงบ้านแน่นอน”
พีณารับปากแข็งขัน
แต่เธอกลับได้รับอาการเหล่มองพร้อมส่ายหน้าจากบรรดาผู้ใหญ่ในโต๊ะตอบกลับมา เพราะต่างแปลความหมายของเด็กสาวได้ว่าถ้าหากไม่ครบกำหนดเวลา
เด็กสาวซุกซนรักสนุก รักอิสระคนนี้คงไม่ยอมกลับบ้านง่ายๆ แน่นอน
เอ็มทาวเวอร์...
อาณาจักรยักษ์ใหญ่ศูนย์กลางการขับเคลื่อนธุรกิจในเครือเอ็มกรุ๊ป อาคารรูปทรงสามแฉกสูงนับพันเมตรและมีพื้นที่ใช้สอยถึงหนึ่งร้อยแปดสิบชั้น
ภายนอกกรุด้วยแผงผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ชนิดโปร่งใสเกือบทั้งหลัง อาคารดีไซน์เรียบหรูล้ำสมัยแห่งนี้ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ท่ามกลางอาคารระฟ้ามากมายในพื้นที่ใจกลางเขตเมืองของยูไนเต็ดที่สิบสาม
ส่วนล่างของอาคารคล้ายเมืองขนาดย่อม ที่รวบรวมเอาชอปปิงเซ็นเตอร์ สถานเรียนรู้
และสถานรักษาเอาไว้ครบครัน ชั้นที่อยู่ถัดขึ้นมาเป็นส่วนของสำนักงานบริษัทในเครือเอ็มกรุ๊ปและผู้เช่าอาคารชั้นเลิศ
ส่วนชั้นที่หนึ่งร้อยขึ้นไปเป็นห้องชุดสุดหรูหรา การันตีความสะดวกสบายและความปลอดภัยระดับพรีเมียมที่มีเพียงสามยูนิตต่อชั้น
ภายในห้องประชุมขนาดห้าสิบที่นั่งบนชั้นแปดสิบ
เก้าอี้ของผู้เข้าประชุมถูกจัดเตรียมเป็นรูปครึ่งวงกลมต่างระดับซ้อนกันสองชั้น
หันหน้าเข้าสู่หน้าจอขนาดยักษ์ที่ฉายภาพสามมิติของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
บนเกาะเกิดใหม่แห่งหนึ่ง โดยที่หน้าจอโปร่งใสตรงหน้าผู้เข้าประชุมแต่ละคนก็กำลังฉายภาพเดียวกันอยู่
“ระบบกำเนิดไฟฟ้า
และโรงผลิตน้ำจืดดำเนินการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้วครับ ทดสอบการทำงานแล้วเรียบร้อยไม่พบปัญหา
ส่วนที่พักและจุดพักผ่อนต่างๆ กำลังอยู่ในช่วงเก็บรายละเอียดและการตกแต่งภายใน...”
หัวหน้าวิศวกรของโครงการยักษ์ใหญ่แห่งล่าสุดของแมคแกรี่
รายงานการทำงานซึ่งล้วนราบรื่นเป็นไปตามแผนงานต่อไปอีกสักพัก
ตอบคำถามจากเจ้านายใหญ่อีกไม่นานก็จบรายงานในส่วนของตน
ชาลส์มองภาพปิดท้ายการประชุมซึ่งเป็นภาพมุมสูงถ่ายวนรอบเกาะขนาดย่อมที่มีรูปร่างคล้ายดวงดาวห้าแฉก
และมี ‘ทะเลใน’ ซึ่งมองดูคล้ายรูปหัวใจอยู่ตรงกลางเยื้องไปทางฝั่งตะวันตกของเกาะ
เขาตั้งชื่อเกาะและโครงการนี้ว่า ‘ซูเปอรี’ และคาดหวังว่ามันจะเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมอีกชิ้นหนึ่งของแมคแกรี่
ซูเปอรีเป็นเกาะเกิดใหม่ที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟใต้ทะเลเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
การปะทุเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลานับสิบปีครั้งนั้น
ก่อให้เกิดเกาะขนาดย่อมประมาณสิบตารางกิโลเมตร พร้อมกับเกาะบริวารขนาดเล็กกว่ารายรอบอยู่อีกเกือบสิบเกาะ
ก่อนที่การปะทุจะสงบลงเป็นเวลานานนับร้อยปี
และนานเพียงพอที่คณะกรรมการจัดการดูแลทรัพยากรของสภาบลูแพลนต์จะมั่นใจ จนเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์
จึงได้ทำการเปิดประมูลเกาะจำนวนห้าเกาะไปเมื่อสองปีก่อน
แล้วก็เป็นการแข่งขันที่แมคแกรี่ได้รับชัยชนะเหนือวิลตันไชลด์
ตระกูลคู่แข่งทางธุรกิจที่ต่อสู้ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดสูสีมานานหลายสิบปี
เมื่อชาลส์สามารถคว้าเกาะที่ใหญ่ที่สุดมาได้ ด้วยการยอมให้เพียซ ดิโนซ่า...หนึ่งในคณะกรรมการผู้ดูแลการประมูลมาเป็นหุ้นส่วนอย่างลับๆ
แลกกับการอำนวยความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ
มันเป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหารกลางโอเอซิสไม่ถึงสามเดือน...
ทำให้ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตชีวิตนั้น เขายังคิดแค้นไปว่ามันอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกวิลตันไชลด์
“กลางวันนี้เราจะไปทานอะไรกันดีคะ”
เสียงสดใสของหญิงสาวในชุดกระโปรงเสื้อคอตั้งแขนกุดสีฟ้าสดซึ่งก้าวเร็วๆ
ตามหลังมา ขัดจังหวะความคิดของชายร่างสูงในชุดสูทเนื้อผ้ายืดหยุ่นสีน้ำเงินเข้มซึ่งเดินออกจากห้องประชุมเป็นคนแรก
คำถามรวบรัดอย่างเข้าข้างตนเองนั้นทำให้ชาลส์หมุนตัวกลับไปมองคนถาม
มุมปากเรียวบางหยักได้รูปคล้ายประดับรอยยิ้ม แต่แววตาของชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉย
ไม่แสดงความยินดี แถมยังปิดซ่อนความรำคาญใจเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
เออร์ก้า
ดิโนซาร์ คือของแถมชิ้นโตจากความร่วมมือระหว่างเขากับเพียซ
ผู้ร่วมหุ้นเพียงแค่เจ็ดเปอร์เซ็นต์ของโครงการซูเปอรี
หญิงสาววัยสี่สิบปีผู้คล่องแคล่ว มั่นใจในฐานะและความงามของตัวเอง
ผู้ที่วันนี้มาร่วมประชุมในฐานะหุ้นส่วนซึ่งเธอแสดงตัวเป็นฉากหน้าแทนบิดา
พร้อมด้วยจุดประสงค์เบื้องหลังบางอย่างที่เธอไม่คิดปิดบัง แต่ยังมีชั้นเชิงมากพอจึงไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเกินไปนัก
ตำแหน่งมาดามแมคแกรี่
“ผมนัดเออร์ก้าเอาไว้หรือ”
ชาลส์ย้อนถามอย่างจงใจทำลายความมั่นใจของหญิงสาว เพียงแต่เขาเป็นนักธุรกิจเหลี่ยมจัดและร่ำรวยชั้นเชิง
ใบหน้าหล่อเหลาจึงเหมือนกำลังครุ่นคิดจริงจัง
ก่อนจะหันไปมองทางผู้ติดตามส่วนตัวราวต้องการขอคำตอบเรื่องตารางนัดหมาย
“ไม่ได้นัดไว้ครับ
กลางวันนี้บอสต้องรีบไปตรวจงานที่เกรนเด้ครับ” สเวนเอ่ยตอบเสียงเรียบไร้พิรุธ แต่ท้ายประโยคเขากลับสบตาเจ้านายด้วยแววตาแปลกไปจากปกติ
แม้เพียงเล็กน้อยแต่ชาลส์ก็สังเกตได้
ชาลส์หรี่ตาลงเล็กๆ
และเกือบจะบิดยกมุมปากมากขึ้นอยู่แล้ว แต่ยังควบคุมมันเอาไว้ได้ ชายหนุ่มหันกลับมาบอกกับหญิงสาวที่เวลานี้รอยยิ้มงดงามเจื่อนจางไปไม่น้อยเลย
“เสียใจจริงๆ
เออร์ก้า กลางวันนี้ผมไม่ว่าง...” เขากล่าวอย่างสุภาพพร้อมส่งยิ้มธุรกิจ ถึงแม้จะรำคาญใจแค่ไหน
แต่ก็ยังไม่อยากตัดรอนอีกฝ่ายด้วยไม้แข็งให้เกิดปัญหาขัดแย้งกับบิดาของเธอ
เออร์ก้าขบริมฝีปากสีแดงสดอย่างขัดใจและไม่เข้าใจ
ในใจของหญิงสาวทั้งหงุดหงิดทั้งครุ่นคิด ในช่วงแรกที่ได้รู้จักกันนั้น ชาลส์ออกจะวางตัวสนิทสนมตามใจ
จนเธอเผลอคิดไปไกลด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรูปงามเคยส่งสายตาเจ้าเสน่ห์พริบพราว
ตอบรับการหว่านไมตรีของเธอ รวมถึงบรรดาหญิงสาวคนอื่นๆ อย่างมีชั้นเชิง ถึงแม้จะไม่ยอมถูกผูกมัด
แต่ก็ไม่ได้เฉยชาเหินห่างและไร้เยื่อใยจนเข้าไม่ถึงเช่นนี้ เธอไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใด
ชายหนุ่มคนนั้นจึงได้หายตัวไปเสียแล้ว
หากแต่การเปลี่ยนแปลงของชาลส์
กลับทำให้เธอมีความหวังอันใหม่ ด้วยนึกเข้าใจไปว่าบางทีเขาอาจถึงเวลาหยุดความสำราญเลื่อนลอย
และอยากมองหาความสัมพันธ์ที่จริงจังมั่นคง ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เธอจึงอดทน
มุ่งมั่น และไม่ยอมถอดใจง่ายๆ
“งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ
เออร์ก้าเข้าใจว่าชาลส์ยุ่งมาก... ยังไงก็อย่าลืมทานอาหาร ดูแลตัวเองด้วยนะคะ
เออร์ก้าเป็นห่วง” เออร์ก้าเอ่ยเสียงหวาน แววตาเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ
ปลายนิ้วเรียวสีน้ำผึ้งยื่นไปแตะเบาๆ ตรงข้างแก้มสากด้วยไรเคราจางๆ อย่างถือวิสาสะ
ชาลส์ตอบรับความห่วงใยแสนสนิทสนมนั้นด้วยการเอนกายไปด้านหลังเล็กน้อย
ใบหน้าราวรูปสลักเชิดขึ้นสูง นัยน์ตาสีเทาวาบประกายไม่พอใจขึ้นมาชั่ววูบเดียวก่อนจะจางหาย
“ขอบคุณที่มาร่วมประชุมนะครับ
ขอตัวก่อน”
ชาลส์เอ่ยลาสั้นกระชับแล้วหมุนกายเดินจากไปในทันที
ทอดทิ้งให้หญิงสาวยืนยิ้มค้างหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาเฉี่ยวคมมองตามแผ่นหลังเหยียดตรงของหนึ่งเจ้านายและหนึ่งผู้ติดตามหายเข้าไปในลิฟต์ส่วนตัวด้วยความหงุดหงิดขัดใจ
“พีณามาอีกแล้วหรือ”
ชาลส์เอ่ยถามกับผู้ติดตามคนสนิทในทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง
ลิฟต์โดยสารหรูหราพื้นหินอ่อนสีดำเทาวาววับเคลื่อนตัวขึ้นสูง
นำพาผู้โดยสารหนุ่มสองคนขึ้นไปสู่ห้องทำงานของชาลส์บนชั้นหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด
ภายในเอ็มทาวเวอร์แห่งนี้มีลิฟต์โดยสารความเร็วสูงอยู่หลายสิบตัว
แต่มีเพียงตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปถึงสามชั้นสูงสุดซึ่งเป็นห้องทำงานและพื้นที่พักอาศัยส่วนตัวของผู้นำตระกูลหนุ่มได้
“ครับบอส
คนที่นั่นแจ้งมาเมื่อชั่วโมงก่อน วันนี้เธอมากับชารีย์”
เสียงห้าวต่ำของผู้ติดตามผมทองนัยน์ตาสีเทา ท่าทางสุขุมจริงจังไม่ต่างจากผู้เป็นนายเอ่ยตอบ
ได้ยินดังนั้น
แทนที่เจ้าของโดมพฤกษชาติขนาดใหญ่ซึ่งถูกข้าศึกย่องมาโจมตีจะหงุดหงิดโมโหเหมือนเช่นครั้งแรกที่ได้รู้ตัวคนมือบอน
ชาลส์กลับขยับมุมปากยิ้มบางและพยักหน้ารับรู้
ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่คนสนิทเท่านั้นจะฟังออกว่าเขากำลังอารมณ์ดีเพียงใด
“แวะไปเกรนเด้สักหน่อยแล้วกัน
บ่ายๆ ค่อยกลับมาทำงานต่อ”
สองสาวเพื่อนซี้วัยสิบเจ็ดสิบแปด
นั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะกลมตรงริมผนังกระจกของคาเฟ่ในเรือนพีรามิด
เมื่อทอดสายตาลงไปก็จะเห็นหอคอยพีโอเนียโดดเด่นอยู่กลางจัตุรัส ห้อมล้อมด้วยแปลงพีโอนีออกดอกสวยสดเต็มพื้นที่ของเรือนกระจกกว้างใหญ่
เบื้องหน้าเด็กสาวผิวขาวผมบลอนด์เทายาวเป็นลอนถึงกลางหลังคือแก้วโกโก้ร้อน ฟองนมนุ่มเนียนด้านบนถูกบรรจงเทให้เป็นรูปกระต่ายน้อยน่ารักคู่หนึ่ง
ส่วนเครื่องดื่มของสาวน้อยผิวสีโกโก้นมสดกลับเป็นน้ำหวานอัดแก๊สสีใสผสมกลิ่นกล้วยหอมและสตรอว์เบอร์รี่
บนจานกระเบื้องสีขาวกลางโต๊ะเป็นเค้กนมสดชิ้นโตราดด้วยแยมดอกพีโอเนียสีชมพูอ่อนหวานน่าทาน
ข้างๆ กันเป็นทาร์ตผลไม้ชิ้นเล็กอีกสามสี่ชิ้น
“ถ้ารู้ว่าเราแอบมากินขนมกันสองคนอย่างนี้
ซิลเวียต้องงอนแน่ๆ”
ชารีย์ในชุดเสื้อกระชับรูปสีน้ำเงินเข้มและหมวกไหมพรมสีเดียวกันขยับส้อมคันเล็กในมือ
มองเล็งว่าจะจัดการกับขนมชิ้นไหนก่อนดี
“ก็ซิลเวียไม่ชอบที่นี่นี่นา
เอาไว้ตอนบ่ายเราค่อยเลือกร้านตามใจซิลเวียแล้วกัน” พีณาบอก
ช่วงสายวันนี้พีณาและชารีย์นัดพบกันที่เกรนเด้การ์เด้น
เพื่อทำ ภารกิจกักตุนพลังงานครั้งสุดท้าย ก่อนที่ช่วงบ่ายจะไปเดินเลือกชุดสวยตามที่ได้นัดกับซิลเวียเอาไว้
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้พีณาเพิ่งจัดการ
‘แตะ’ ต้นพีโอนีต้นใหญ่ไปสามต้น ทั้งที่ใจจริงอยากจะส่งท้ายการป่วนแมคแกรี่ให้มากกว่านี้สักหน่อย
แต่ก็เกรงใจสายตาของเพื่อนรักที่มองตามต้นไม้เหล่านั้นตาละห้อย แม้ตอนนี้พวกมันจะยังไม่แสดงการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ให้เห็น แต่ว่าที่พฤกษแพทย์สาวย่อมรับรู้ถึงการอ่อนแอลงของต้นไม้ดอกโตแสนงามเหล่านั้น
คนอยากลงมือให้หนักกว่าทุกครั้งจึงต้องยอมรามือ
พอเสร็จสิ้นภารกิจ
พีณาและชารีย์ก็คิดจะออกจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด
แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับภาพโฆษณาขนมเมนูใหม่ของคาเฟ่ที่ใช้กลีบดอกพีโอเนียเป็นส่วนผสมเข้าให้
จึงได้พากันเปลี่ยนใจ แวะพักจิบเครื่องดื่มชิมขนมกันสักหน่อย
ฆ่าเวลาระหว่างรอไปพบกับซิลเวียตามนัด
“พีณา...
ชารีย์... มองหาตั้งนานแหนะ”
เสียงร้องทักห่างไปไม่ไกลนัก
เรียกให้เด็กสาวทั้งสองละความสนใจจากขนมรสหอมหวานละมุน
อบอวลด้วยกลิ่นนมผสานกับพีโอเนียอยู่ในปาก เมื่อหันไปมองก็เห็นเด็กหนุ่มสองคนกำลังก้าวตรงมา
คนหนึ่งที่สูงโปร่งหัวกลมฟูโดดเด่นสะดุดตาคือทรีวันนั่นเอง ส่วนหนุ่มผมทองสว่างนัยน์ตาสีเขียวที่ส่งยิ้มกว้างสดใสอีกคนคือ
เฌโรม... นักกีฬาโฮเวอร์เรซซิ่ง พ่วงด้วยตำแหน่งหนุ่มฮอตประจำสถานเรียนรู้เอมฟิลด์
พีณามองทรีวันอย่างแปลกใจหน่อยๆ
เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนเพื่อนร่วมคลาสดนตรีคนนี้เพิ่งส่งข้อความมาถามว่าเธออยู่ไหน
ทำอะไรอยู่ ใครจะรู้ว่าจู่ๆ เขาจะมาปรากฏตัวให้เห็นโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
ส่วนด้านชารีย์นั้น
พอมองสองหนุ่มสลับไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมาทันควัน
ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นสองหนุ่มที่เธอมองออกว่าสนใจเพื่อนรักของเธอเดินมาด้วยกันอย่างนี้
“ขอเรานั่งด้วยคนได้ไหม”
ทรีวันเป็นคนเอ่ยถามไปทางเพื่อนร่วมคลาสดนตรี
เมื่อพีณาพยักหน้าอนุญาต สองหนุ่มผู้มาใหม่ก็วาง ‘คิว’ ไว้บนมุมหนึ่งของโต๊ะ
ก่อนจะหาเก้าอี้มาเพิ่มอีกหนึ่งตัว แล้วนั่งแทรกกลางระหว่างสองสาว เวลานี้โต๊ะกลมริมผนังกระจกดูจึงเล็กลงไปถนัดตา
เมื่อมีร่างสูงนับสองเมตรของชายหนุ่มที่กำลังจะเติบโตเต็มวัยมานั่งเบียดเพิ่ม
ชารีย์ต้องขยับเก้าอี้ไปจนเกือบติดผนังกระจก
ดวงตาคมโตในกรอบอายไลน์เนอร์สีน้ำตาลเข้มมองหนุ่มนักควบคุมวงฝึกหัดที่นั่งเบียดชิดจนไหล่ชนไหล่อย่างอดแปลกใจไม่ได้
เมื่อเห็นเขาไม่มีทีท่าอยากยื้อแย่งกับเฌโรมในการเข้าไปนั่งข้างๆ เพื่อนของเธอ
ในระหว่างพูดคุยทักทายกันทั่วไป
แอนดรอยด์สาวเสิร์ฟผิวสีทองแดงเงาวาวก็เข้ามาบริการเครื่องดื่มของสองหนุ่มตามสัญญาณบอกตำแหน่งจากคิว
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่จีเนียสวอตช์บนข้อมือของพีณากะพริบบอกว่ามีข้อความเข้า
พีณาก้มหน้าไปอ่านข้อความนั้น
แค่เพียงเห็นชื่อคนส่งก็สร้างความงุนงงให้เธอมากแล้ว แต่ไม่ถึงพริบตาต่อมา เด็กสาวก็เงยหน้ามองคนส่งที่อยู่ห่างไปไม่ถึงเมตร
เธออมยิ้มล้อเลียนคนมีลับลมคมนัย ดวงตากลมโตวิบวับเป็นประกายชนิดปกปิดไม่มิด และห้ามสายตาไม่ให้เหลือบไปมองหน้าเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ได้เลยจริงๆ
“พอดีเฌโรมมีอะไรจะถามพีณาน่ะ”
ทรีวันรีบหาทางเบี่ยงสายตาของพีณาออกจากสาวฮิปฮอป
จังหวะที่พูดเกริ่นก็ใช้เท้าสะกิดหนุ่มที่มาด้วยกันแรงๆ กระตุ้นคนที่เอาแต่โปรยยิ้มตาหวานเคลิ้มให้รู้หน้าที่
เฌโรมผุดสะดุ้งหันมองคนสะกิดด้วยเท้า
หลุดจากอาการยิ้มเหม่อ ใจลอยไปกับใบหน้าเล็กอ่อนใสที่เปล่งประกายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กๆ
จนยิ่งดูมีชีวิตชีวา เขารวบรวมกำลังใจอีกอึดใจ ก่อนจะส่งยิ้มเขินๆ
ให้เด็กสาวที่นับวันก็ยิ่งเฉิดฉายน่ามองยิ่งกว่าวันเก่า
แรกพบกันที่นี่...
ในวันที่ยานรบบังคับที่เขาประกอบเองกับมือเพื่อเป็นของขวัญให้น้องชายทำเธอบาดเจ็บ...
เขาก็หลงชอบเธอเข้าให้แล้ว
“ให้เกียรติโรมเป็นคู่ของพีณาในงานฉลองจบได้ไหม”
หนุ่มนักกีฬาคนดังเอ่ยขอเสียงนุ่ม
คนถูกขอให้เป็น
‘คู่’ ในงานฉลองจบการเรียนรู้เลิกคิ้วสูง มองจ้องเจ้าของคำขอตาปริบๆ ด้วยคาดไม่ถึง
พีณาเหลือบไปมองทรีวันที่ท่าทางจะอยากพยักหน้าชักนำเธอเสียเต็มกำลัง แต่ก็ยังพยายามทำนิ่งเต็มที่
พลางนึกถึงข้อความที่เขาเพิ่งส่งมาให้เมื่อครู่
‘นางฟ้าน้อย ช่วยโอเคกับเฌโรม
ยอมแยกกับชารีย์ให้เราหน่อยนะ’
ตอนที่อ่านจบ
เธอนึกว่าเพื่อนร่วมคลาสดนตรีจะให้ช่วยแยกตัวไปในวันนี้ทันทีเสียอีก
ไม่คิดว่าเขาจะหมายถึงอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
นี่หมายความว่าทรีวันอยากให้เธอช่วยออกห่างจากชารีย์ตลอดการเดินทางสี่วันสามคืนเลยอย่างนั้นหรือ
เธอคิดพลางส่งสายตาสงสัย
ในงานฉลองจบการเรียนรู้ซึ่งเป็นเหมือนการฉลองส่งท้าย
ก่อนก้าวไปสู่สังคมการทำงานและการเป็นผู้ใหญ่ การตอบรับเป็น ‘คู่’ ในงานนี้
มันหมายถึงการยอมรับเป็นทั้งคู่เดตที่จะคอยใส่ใจดูแลกันตลอดการเดินทาง
และเป็นทั้งคู่ควงคู่เต้นรำในงานเลี้ยงคืนสุดท้าย ซึ่งหลายๆ คู่มักจะเป็นคู่รักนักเรียนรู้ที่มีใจให้กันอยู่ก่อนแล้ว
แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ถือโอกาสสุดท้ายนี้สร้างความใกล้ชิด
ทำการเรียนรู้ศึกษานิสัยใจคอกันและกัน
“ไม่ได้! พีณาต้องไปกับชารีย์”
คนถูกเรียกลับหลังว่า
‘ผู้พิทักษ์นางฟ้า’
คัดค้านเสียงเข้มอย่างไม่ชอบใจ ทั้งหวงเพื่อนและทั้งห่วงตัวเอง
วันก่อนวัตต์ก็เพิ่งมาปรึกษากับเธอว่าจะใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์
และเปิดเผยความรู้สึกเกินเพื่อนกับซิลเวีย แล้วถ้าหากพีณามาแยกตัวไปอีกคน
เธอไม่ต้องโดนทิ้งให้ทนกร่อยอยู่คนเดียวหรือไง
“ชารีย์...
จะคอยขัดขวางโอกาสไม่ให้พีณามีคู่ได้ยังไง เป็นเพื่อนรักประสาอะไรกัน แปลกคนจริง”
ทรีวันเอ่ยตำหนิคนคัดค้าน จนได้รับสายตาคมดุเขียวปั๊ดกลับมาเป็นรางวัล
“นายต่างหากที่แปลก
พาคู่แข่งมาชวนสาวต่อหน้าต่อตานี่นะ?”
“คู่แข่งที่ไหนกัน...”
ทรีวันตอบทอดเสียงฟังดูขัดหู นัยน์ตาวับหวานมองหน้าบูดๆ ของเธอแล้วอมยิ้มซุกซ่อนความคิดเจ้าแผนการ
ระหว่างเขากับหนุ่มฮอตที่นั่งข้างกันวันนี้
ต้องเรียกว่า วิน-วิน ...ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์มากกว่า
พีณามองเพื่อนสองคนโต้วาจาแล้วก็ลอบยิ้มนึกสนุก
เธอเพิ่งมาฉุกคิดถึงเรื่องบางเรื่องได้ในตอนนี้เอง... แสดงว่าที่ผ่านมาทรีวันคงเอาเธอเป็นเหยื่อล่อชารีย์มาแล้วหลายครั้งหลายหน
มาทำเป็นชวนเธอไปนู่นไปนี่ แต่ที่แท้ก็หวังผลอยากพบหน้าผู้พิทักษ์ของเธอต่างหาก
พีณาที่ตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของหนุ่มๆ
ผู้มีความรักในหัวใจ หัวเราะออกมาเบาๆ
ก่อนจะหันไปมองคนที่เธอคิดว่าคงถูกทรีวันขอให้มาเป็นตัวช่วยเหมือนกัน เธอยิ้มหวานสดใสไปให้ผู้ร่วมขบวนการจีบสาวอย่างเต็มอกเต็มใจให้ความร่วมมือ
“ได้สิคะเฌโรม
พีณาจะเป็นคู่ให้ตลอดทริปเลยค่ะ”
“จริงนะ?
ขอบคุณมากนะครับพีณา” เฌโรมฉีกยิ้มกว้างจนมุมปากแทบไปอยู่ตรงใบหู เป็นความสว่างสดใสที่ทำให้คนมองต้องยิ้มตาม
มีเพียงชารีย์เท่านั้นที่หน้าบูดสนิทแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เด็กสาวยกมือเท้าค้างอย่างเซ็งๆ
หันหน้าเมินหนีใบหน้ายิ้มแย้มระคายตาของผู้ร่วมโต๊ะทั้งสามไปยังลานพีโอนีเบื้องล่าง
แต่ไม่นานก็ต้องหันกลับมาสะบัดสายตาขวางๆ ให้คนข้างตัว เมื่อได้ยินเขาเอ่ยปลอบใจ
“เดี๋ยวเราเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนชารีย์เองก็ได้
ไม่ต้องกลัวเหงาหรอก” ทรีวันเอ่ยยิ้มๆ
“ไม่จำเป็น!”
อาการโกรธกรุ่นของชารีย์ที่ไม่ได้จริงจังนัก
ออกจะไปทางแง่งอนมากกว่า ทำให้พีณาหัวเราะออกมา มือเล็กหยิบส้อมตักขนมมาหนึ่งคำ
ยื่นไปตรงหน้าเพื่อนอย่างงอนง้อเอาใจ
“อ้ำเร็วชารีย์...
อารมณ์บูดมากๆ ไม่ดีนะ”
“ไม่ต้องเลย”
ชารีย์มองค้อนตาคว่ำแล้วเชิดหน้าหนีไม่ยอมรับการเอาใจของเพื่อนรัก
ท่ามกลางสายตายิ้มๆ
ของสองหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนี้ ต่อให้เพื่อนเธอไม่อายที่จะป้อน แต่เธออายที่จะทำตัว
‘แหวว’ อย่างนั้นต่อหน้าคนไม่สนิท
พีณาเห็นท่าทางเพื่อนแล้วก็หัวเราะคิกคัก
ยอมลดมือกลับมาก่อนจะหันไปบอกกับสองหนุ่มที่เธอจัดวางสถานะไว้ว่าเป็นเพื่อนร่วมขบวนการ
“ชารีย์เค้าขี้อายน่ะ”
“พีณา!” คนขี้อายเรียกเพื่อนเสียงห้าว
แต่เมื่อไม่อาจห้ามปรามรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของอีกสามผู้ร่วมโต๊ะได้
เธอก็ได้แต่งึมงำคาดโทษเพื่อนรัก “จำไว้เลยนะ”
ทว่าเสียงหัวเราะยังไม่ทันจาง
เสียงคาดโทษของชารีย์ก็ยังไม่ทันจบ เสียงห้าวทุ้มเสียงหนึ่งกลับดังแทรกมาจากนอกวง
“ตรงนี้เอะอะครึกครื้นกันจริงๆ
มีเรื่องอะไรน่าสนุกนักหรือไง”
ร่างสูงใหญ่สง่างามในชุดสูทสีน้ำเงินเนี้ยบกริบที่เดินล้วงกระเป๋ามาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง
ตรงช่องว่างระหว่างเก้าอี้ของพีณาและเฌโรม ทำเอาเด็กหนุ่มสาวทั้งสี่ต่างพากันเงียบกริบ
บรรยากาศรื่นเริงเมื่อครู่บินหนีหายวับ แม้ใบหน้าของผู้มาใหม่จะยังยิ้มแย้ม และประโยคเมื่อครู่ก็ฟังคล้ายคำทักทายคนรู้จักทั่วไป
แต่คำว่า ‘เอะอะ’ และความไม่น่าไว้ใจของคนพูดก็ทำให้พีณาไม่ลังเลเลยที่จะคิดว่าเขามาหาเรื่องแน่ๆ
“ว่าไง...
พีณา”
คราวนี้ชาลส์เจาะจงคนรับคำถาม
แววตาคมกริบจับจ้องเสี้ยวใบหน้าอ่อนใสที่ผินเมินหลบอย่างขัดตาขัดใจไม่น้อย
ก็ใบหน้าเดียวกันนี้
เมื่อครู่ยังยิ้มแย้มสดใส จนคนที่เพิ่งมาถึงอย่างเขาได้มองแล้วอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ
แต่พอมองสำรวจผู้ร่วมโต๊ะของเธอแล้วเห็นเด็กหนุ่มสองคนนั่งอยู่
ชาลส์ก็ชักอารมณ์กรุ่นขึ้นมาทันตาเห็น
จากที่คิดว่าจะมานั่งจิบกาแฟมองสาวน้อยจนพอใจแล้วกลับไปทำงานต่อ
ก็อดไม่ได้ต้องมาปรากฏตัวขอร่วมวงเสียหน่อย แล้วดูเด็กน้อยทำเข้า พูดแหย่ไม่กี่คำก็เมินหน้าหนีไม่ทักทาย
ช่างไม่มีมารยาทกับเขาเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
แต่แล้วดวงตาสีเทาของชาลส์ก็ต้องหรี่ลงอย่างอันตราย
เมื่อเด็กสาวจงใจถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันมามองหน้าเขาอย่างเสียไม่ได้
“ถึงพวกเราจะเสียงดังไปบ้าง
แต่ก็ไม่ได้ถึงกับรบกวนแขกคนอื่นเสียหน่อยนี่คะ จะเรียกว่าเอะอะได้ยังไง
ส่วนเรื่องที่ว่าเราคุยอะไรกันอยู่ คงไม่จำเป็นต้องเล่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องฟังใช่ไหมคะ”
การตอบคำถามชนิดหาเรื่องกลับอย่างไม่เกรงกลัวหรือเกรงใจ
ทำเอาเฌโรมและทรีวันต้องเบิกตามองเด็กสาวผู้บอบบางน่ารักในสายตาพวกเขาอย่างตกใจ พวกเขาต่างรู้ดีว่าคนที่เข้ามาทักนั้นเป็นใคร
จึงอดนึกหวั่นๆ แทนคนพูดไม่ได้ ในขณะที่ชารีย์กลับนั่งมองเฉย นึกเดาปฏิกิริยาเป็นอริของเพื่อนรักเอาไว้อยู่แล้ว
ส่วนคนได้รับคำตอบนั้น
นัยน์ตาสีเทาวาววาบขึ้นมาวูบหนึ่ง ชาลส์เอียงหน้ามองคนปากกล้าพร้อมคลี่ยิ้มมาดร้าย
ส่งเสียงหัวเราะหนักๆ ในลำคอหนึ่งครั้ง ชวนให้คนได้ยินพานนึกหวาดระแวง ก่อนที่เขาจะเบนความสนใจไปยังเด็กสาวอีกคน
“สวัสดีชารีย์...
ตกลงใจทำงานกับเกรนเด้แล้วใช่ไหม”
“คะ!? อ๋อ... ใช่ค่ะ”
ชารีย์ตั้งตัวไม่ติดในทีแรกที่อีกฝ่ายหันมาคุยด้วย แต่ก็ตอบรับออกไปในตอนหลัง ว่าที่พฤกษแพทย์สาวนึกงุนงงอยู่บ้างที่ผู้นำแมคแกรี่หันมาสนทนากับเธออย่างเปิดเผยต่อหน้าพีณาเช่นนี้
“ดีแล้ว...
ขอต้อนรับสู่การเป็นคนของแมคแกรี่อย่างเป็นทางการ”
ชาลส์ขยับก้าวเข้ามายืนชิดโต๊ะกลม ยื่นมือไปตรงหน้าเด็กสาว
ชารีย์รีบลุกขึ้นยืนจับมือกับผู้นำตระกูลหนุ่ม
ทั้งตื่นเต้นผสมกริ่งเกรง แต่จากนั้นไม่นานก็ต้องยิ้มแหย เมื่อชาลส์เอ่ยฝากฝังให้เธอคอยดูแลต้นไม้ในเรือนพีรามิดแห่งนี้ให้ดีเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะต้นพีโอนีสีขาวสามต้นตรงมุมทิศตะวันออก...
จุดเดียวกับที่เพื่อนรักของเธอไปก่อเรื่องมาหมาดๆ
พีณาเอนกายหนีห่างจากการเบียดเบียนของร่างใหญ่ไปจนชิดกระจก
ดวงตากลมโตตวัดขึ้นมองเจ้าของต้นขาและสะโพกแกร่งที่เบียดมาใกล้อย่างเคืองจัด พลางนึกต่อว่าต่อขานคนวางท่าวางโต
ทำเป็นอวดตัวพูดข่มว่ารู้ทันเธออยู่ในใจ
“ก่อนหน้านี้มีคนมือบอนมาทำลายพวกมันบ่อยๆ
แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะชารีย์ ต่อจากนี้ฉันคงไม่ยอมปล่อยให้ตัวการหนีหายไปง่ายๆ
อีกแล้ว” ชาลส์พูดกับชารีย์อย่างเป็นการเป็นงาน แต่มือข้างหนึ่งของเขากลับตะปบหมับบนไหล่เล็กบางของ
‘ตัวการ’
พีณาสะดุ้งโหยงใจกระตุกอย่างตกใจ
รีบสะบัดไหล่หนีมือของเขาอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณหวาดระแวงที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเมื่อชาลส์เข้ามาใกล้
แต่ดูท่าเธอจะสะบัดแรงไปหน่อย ศอกแหลมๆ จึงทิ่มเข้าใส่ต้นขาแกร่งจนคนตัวโตที่ไม่ทันตั้งตัวเจ็บแปลบแทบทรุด
“พีณา!” ชาลส์เรียกเสียงดุ นัยน์ตาวาววับตวัดลงมองเจ้าของศอกแหลมที่แหงนหน้ามองเขาตาโต
ชายหนุ่มมองจากอาการตกตื่นนั้นก็พอจะรู้ว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจ
เขากำลังจะให้อภัยและปล่อยผ่านไปอยู่แล้ว แต่เด็กสาวตัวแสบกลับแผลงฤทธิ์ด้วยการไม่ยอมเอ่ยขอโทษ
เท่านั้นไม่พอยังยกมือปิดปากอุทานอย่างเสแสร้ง
แถมยั่วยุอารมณ์เขาด้วยประโยคชวนโมโห
“เสียดาย...
อุ๊ย! โชคดีที่เฉียดไปนิดเดียว
ไม่งั้นมิสเตอร์ได้จุกจนล้มลงไปกองแน่ๆ เลยค่ะ”
ชาลส์เขม้นมองรอยยิ้มท้าทายของเด็กสาวตัวเล็กบอบบางราวตุ๊กตา
แต่ช่างอวดเก่งอวดกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาไม่เลิก เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังกล้ายักคิ้วให้เขาอย่างไม่กลัวเกรง
มือใหญ่ก็คว้าต้นแขนเล็กๆ หมับ ดึงรั้งให้เธอลุกออกจากโต๊ะ
เตรียมฉุดออกไปสั่งสอนเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย
ขืนปล่อยเอาไว้อย่างนี้
ในอนาคตคงได้เสียการปกครองกันแน่!
“เอ๊ะ! ทำอะไร ปล่อยนะ!” พีณาร้องพลางสะบัดแขนให้หลุด
“เฮ้! หยุดนะครับมิสเตอร์ชาลส์
ปล่อยพีณา!”
เฌโรมรีบรุดไปคว้าข้อมือของชายหนุ่มที่สูงกว่าเขาครึ่งช่วงศีรษะเอาไว้
ความตกใจและเป็นห่วงทำให้ลืมกลัวเกรงสายตาเข้มจัดที่ตวัดมอง เขาออกแรงบีบเต็มกำลังหมายบังคับให้มือนั้นปล่อยต้นแขนของพีณา
ชาลส์สบตากับผู้ติดตามวูบหนึ่งเป็นการห้ามไม่ให้เข้ามาช่วย
ก่อนจะบอกเสียงเย็นผสมเยาะ
“ไม่เกี่ยวก็นั่งไป
อย่าเอาตัวมายุ่งเลยเจ้าหนู”
เฌโรมนึกฉุนขึ้นมาทันทีกับคำสบประมาทเรียก
‘เจ้าหนู’ หากแต่เขายังไม่ทันได้นึกคำใดมาตอบโต้คนอายุมากกว่า เสียงใสๆ
จากคนที่ถูกพวกเขายืนประกบซ้ายขวาก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“โรมเป็นคู่เดตของพีณาจะไม่เกี่ยวได้ไงคะ
แล้วเขาก็ไม่ใช่เจ้าหนูด้วย มิสเตอร์ต่างหากที่ ‘แก่’ ถึงได้เที่ยวเรียกคนอื่นเป็นเด็กไปทั่ว”
เดี๋ยวก็เด็กน้อยมั่งล่ะ... เจ้าหนูมั่งล่ะ... ชิ!
ถ้อยคำของพีณาพลันจุดไฟในดวงตาของชาลส์ให้ลุกพรึบ
จากที่แสร้งทำฉุนขาดเพราะอยากแกล้งเด็ก กลับกลายเป็นโมโหขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว แต่นับว่ายังดีที่เขายังควบคุมตัวเองได้
จึงไม่เผลอออกแรงบีบต้นแขนเล็กๆ จนเจ็บช้ำ หรือจับมันเขย่าระบายความฉุนเฉียวอย่างใจอยาก
ชาลส์ก้มลงมาจ้องตาเด็กสาวที่เขายังยึดต้นแขนเธอเอาไว้
โดยมีมือของเด็กหนุ่มยึดข้อมือเขาไว้อีกทอด เสียงเรียบเย็นถามช้าชัด
“ว่า-ไง-นะ”
พีณาเผลอขยับถอยห่างออกมาครึ่งก้าว
ยอมรับตามตรงว่าชักจะเริ่มหวั่นกับอารมณ์เกรี้ยวโกรธที่ส่งผ่านมาให้สัมผัสได้ ถึงแม้ว่าสีหน้าท่าทางของชาลส์แทบจะไม่ต่างจากไปเมื่อครู่...ตอนที่เขาออกแรงฉุดเธอลุกจากที่นั่งเลยก็ตาม
แต่ตอนแรกนั้นเขาแค่แกล้งโมโห... เธอ ‘รู้’ หรอก
แต่จะให้แสดงความหวั่นกลัวออกไปให้เสียชื่อวิลตันไชลด์
เธอไม่มีทางยอมเด็ดขาด เด็กสาวจึงหันมาใช้วิธีตีหน้าเบื่อหน่าย
ไม่สนใจกับอารมณ์โกรธ... อารมณ์สีแดงเข้มขมุกขมัวแต่ดูแล้วไม่ถึงขั้นพลุ่งพล่านกระจัดกระจายจนคุมไม่ได้ของเขา
รวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยรำพึงเบาๆ พร้อมพยักหน้ากับตัวเองหงึกหงัก
“พูดกันใกล้ๆ
ขนาดนี้ยังไม่ได้ยิน... สงสัยจะแก่แล้วประสาทหูเสื่อมแน่ๆ เลย”
“พีณา!”
“คะ?”
พีณาแสร้งสะดุ้งขานรับ ทำหน้าทำตาเหลอหลาไม่รู้ไม่ชี้
ชาลส์มองคนตัวเล็กตีหน้าซื่อมองเขาโดยไม่หลบตา
สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพ่นออกแรงๆ พอเธอเอียงหน้ากะพริบตากลมโตปริบๆ คล้ายจะรอฟังเขาพูดต่อ
ชายหนุ่มก็เม้มริมฝีปากแน่น คิ้วเข้มที่พาดเหนือนัยน์ตาคมดุดันขมวดเข้าหากันเป็นปม
กดข่มอารมณ์บางอย่าง
“เด็กกวนประสาท!” ชายหนุ่มกระแทกเสียงห้วนจัด
พูดจบก็สะบัดมือปล่อยตัวเธอ แล้วเร่งพาใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาเดินหนีไปทันที
ทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่จะได้ไม่เผลอตัวทำอะไรที่ไม่สมควรให้อภัยตัวเองออกไป...
อย่างเช่น... การยิ้มส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจให้กับดวงตากลมเป็นประกายสุกใส แต่ไม่ได้
‘ซื่อ’ เลยสักนิดคู่นั้น ซึ่งมันคงจะทำให้เด็กตัวแสบยิ่งได้ใจไปกันใหญ่
แล้วชาลส์ก็ปล่อยให้ตัวเองได้ทำเช่นนั้นจริงๆ
ในทันทีที่ก้าวพ้นประตูคาเฟ่ โดยมีเพียงผู้ติดตามคู่ใจเท่านั้นที่มีโอกาสได้เห็น
ทว่าใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มมีรอยยิ้มติดอยู่เพียงไม่นาน
ก็ผันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดครุ่นคิด เมื่อนึกถึงไอ้เจ้าหนูผมทอง ‘คู่แข่ง’ หน้าอ่อนที่จู่ๆ
ก็ปรากฏตัวขึ้นมา
ในใจยามนี้อื้ออึงไปด้วยเสียงหงุดหงิดของหนุ่มเลือดร้อน
ขี้โมโห และเอาแต่ใจตัวเองบางคน... ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเขาเอง
ไม่เจอกันจังๆ
ตั้งนานก็ยังฤทธิ์มากไม่เปลี่ยน...
หึ...
อายุเท่านี้ริจะมีคู่เดต... อยากเป็นสาวเร็วๆ นักหรือไง
เดี๋ยวทนรอไม่ไหวแล้วจะรู้สึก!
อ่านต่อ >> ท่วงรักที่ 5 : เร่งจังหวะ
หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ ได้เลยค่ะ
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
โหลดฉบับอีบุ๊ค...
Meb : https://goo.gl/rP0Jmj
The1Book : https://goo.gl/vCXodr
Hytexts : https://goo.gl/tO7Buv
Ookbee : https://goo.gl/TjzWu9
NaiinPann : https://goo.gl/zPJdfH
Google Play : https://goo.gl/NuGawa
Dek-D : https://goo.gl/wBdqq0
No comments:
Post a Comment