รักข้ามเวลา ชุดกาลรักหนึ่ง
เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
กาลที่ 9 : คือใคร?
“เฮ้ย! อะไรกันเนี่ย!”
เพ็ญนรีร้องออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เธอแยกแขวนเอาไว้ก่อนไปทานมื้อค่ำหล่นลงมากองอยู่กับพื้น และเสียงของเธอก็เรียกให้ผู้ช่วยคนสวยอย่างริต้าที่กำลังเดินไปยกโต๊ะรีดผ้าให้หันมามอง ก่อนจะตามมาด้วยอาการตื่นตกใจไม่ต่างกัน
“อร๊ายยย อย่าบอกนะว่าคุณเปอร์แผลงฤทธิ์อีกแล้ว”
คนตั้งสมมติฐานยกมือทาบอก ก้าวเร็วๆ มาเบียดกระแซะคนตัวเล็กกว่า สองตาหลุกหลิกมองรอบห้องที่ใช้เป็นทั้งห้องแต่งหน้าแต่งตัวและเก็บอุปกรณ์ในกองอย่างหวาดๆ
‘คุณเปอร์’ ที่อีกฝ่ายเรียกนั้นมีที่มาจากแคสเปอร์... ตัวการ์ตูนจากเรื่องผีน้อยเพื่อนยาก ที่คนในกองถ่ายใช้เป็นคำเรียกแทนของแรงของที่นี่ จะได้น่ารักไม่น่ากลัว และยังให้เกียรตินำหน้าด้วยคำว่าคุณอีกต่างหาก
ถ้าหากเลือกได้... สาวทั้งสองก็อยากรีบวิ่งหนีออกจากห้องนี้ไปเสียมากกว่า แต่ด้วยหน้าที่ทำให้เพ็ญนรีพยายามข่มความกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ก้มลงไปหยิบเสื้อผ้าสำหรับเข้าฉากในวันรุ่งขึ้นกลับขึ้นมาแขวนบนราวตามเดิมโดยมีริต้าเข้ามาช่วย
แต่ครั้นสไตลิสต์สาวมองเห็นคราบสีน้ำตาลเปรอะเปื้อนบนชุดเหล่านั้นเป็นหย่อมๆ คิ้วเรียวก็ขมวดยุ่ง มือข้างหนึ่งรีบหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมากองบนโต๊ะใกล้ๆ ไม่นานเธอก็รู้สาเหตุของรอยเปื้อน
แก้วกระเบื้องที่แตกกระจาย และกาแฟที่เหลือเพียงคราบว่ามันเคยไหลนองอยู่บนพื้น...
“แต่ละตัวเละเทะดูไม่ได้เลย งานเข้าพวกเราทั้งคืนแน่เจ๊จ้า... คุณเปอร์แกล้งกันแรงเกินไปแล้วนะเจ้าคะ”
ท้ายประโยคนั้น ริต้าหันไปพูดกับความว่างเปล่าในห้อง แม้มือจะพนมกลางอก แต่หางเสียงกลับสะบัดสะบิ้งด้วยความไม่พอใจ
หากทว่า.. ความคิดหนึ่งที่แล่นวูบเข้ามาในหัวของเพ็ญนรี กลับทำให้หญิงสาวเอ่ยค้านออกไปอย่างนึกกรุ่น
“งานนี้จ้าว่าไม่ใช่คุณเปอร์หรอก คนอย่างเรานี่แหละ”
“เจ๊จ้ารู้ได้ไง”
“ถ้าเป็นผีจะทำอะไรพวกนี้ได้ไง”
“อ๊ะๆ” ริต้ายกนิ้วชี้ยื่นมาตรงหน้า รีบขัดทันทีที่อีกฝ่ายหลุดคำต้องห้ามยามค่ำคืน
“อย่าพูดจาเหมือนท้าทายอิทธิฤทธิ์คุณเปอร์อย่างนั้นสิเจ๊”
“เอ่อ... จ้าหมายถึงคุณเปอร์จะทำอย่างนี้ไปทำไม ไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ได้ทำอะไรลบหลู่ไม่ให้ความเคารพสถานที่เสียหน่อย”
“แหม... บทของแรงจะเฮี้ยนจะหลอกคนขึ้นมา มันไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมาซัปพอร์ตหรอกค่ะ”
เพ็ญนรีทำเพียงแค่เม้มปากแน่นไม่ต่อความ เธอยังคงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองติดใจสงสัย เพียงแต่ไม่อยากจะเถียงค้านอะไรให้อีกฝ่ายซักไซ้ต่อว่าทำไมจึงคิดว่าเป็น ‘คนในกอง’ ที่ก่อเรื่องนี้ขึ้น
“เอาเถอะ จะเป็นใครหรืออะไรก็ช่าง ตอนนี้เรามาแก้ปัญหากันก่อนดีกว่า ริต้าลองเช็กให้ดีนะ ว่านอกจากเสื้อผ้าพวกนี้ ตัวอื่นๆ ที่เราจะต้องใช้วันพรุ่งนี้ยังอยู่เรียบร้อยดีไหม จ้าจะไปขอใช้ห้องซักรีดของรีสอร์ตดูก่อน”
เวลานี้ก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่าแล้ว ถ้าหากต้องการให้เสื้อผ้าพวกนี้พร้อมใช้ภายในรุ่งเช้า จะหวังพึ่งบริการซักรีดของที่นี่ก็คงไม่ทัน
เพ็ญนรีบอกแล้วก็ตั้งท่าเตรียมจะหมุนกายออกจากห้อง ทำเอาคนที่กำลังจะถูกทิ้งให้อยู่ในห้องตามลำพังรีบร้องลั่น
“เดี๋ยว!.. ไม่เอา...” ริต้าก้าวเท้ายาวๆ มาจนทันคนตัวเล็กกว่า “ไปด้วยกันนะเจ๊จ้า ริต้าไม่อยู่ในนี้คนเดียวนะ”
เพ็ญนรีมองสีหน้าหวาดหวั่นของผู้ช่วยสาวแล้วก็พลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ หลังจากถูกความร้อนใจกลบฝังไว้ชั่วคราว จึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายเดินตามกันออกไป
ถึงเหตุครั้งนี้เธอจะพอนึกเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถ้าให้เดินดุ่มๆ คนเดียวในตอนค่ำๆ มืดๆ อย่างนี้...
เธอก็ไม่เอาเหมือนกัน!
สองสาวหนึ่งแท้หนึ่งเทียมออกจากห้องไปแล้ว เหลือไว้เพียงร่างสูงโปร่งแสงที่เดินตามพวกเธอเข้ามาพร้อมกันเมื่อครู่ อาเธอร์ไม่คิดจะตามไปด้วยเพราะรู้ว่าอีกไม่นานพวกเธอก็คงกลับเข้ามา และตอนนี้เขาก็สนใจเสื้อผ้าสกปรกที่ถูกหยิบขึ้นมากองรวมกันอยู่บนโต๊ะมากกว่า
ชายหนุ่มจากอนาคตถอดถุงมือออกข้างหนึ่ง มือแกร่งขาวจัดล่องลอยให้เห็นตรงหน้า เขาแตะปลายนิ้วลากผ่านเสื้อผ้ากองนั้นช้าๆ เพ่งกระแสจิตอ่านรอยทรงจำของพวกมัน
ไม่นานใบหน้าเรียบเฉยก็ยิ่งบึ้งตึงด้วยริ้วรอยของความไม่พอใจ
พวกมันถูกมือคู่หนึ่งหอบโยนลงไปกองกับพื้นที่มีคราบกาแฟไหลนอง และมันก็เป็นมือคู่เดียวกัน... ที่ถือแก้วกาแฟเข้ามาแล้วปล่อยมือให้มันตกแตกกระจาย เสียดายที่เขาไม่รู้ลึกถึงขั้นบอกได้ว่าเจ้าของมือเป็นใคร รู้เพียงมันเป็นมือคู่เล็กบางซึ่งน่าจะเป็นมือของผู้หญิง
ถ้าให้เดา... เขาก็เดาต่อได้ไม่ยาก หรือถ้าจะต้องหาหลักฐานมายืนยันให้แน่ชัดกว่านี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องลำบากนักเลย
นักข้ามเวลาหนุ่มนึกคาดโทษและวางแผนโต้ตอบตัวต้นเหตุคนนั้นอยู่ในใจ นิสัยหวงของและเอ็นดูสัตว์เล็กที่ครั้งนี้กลับมาก่อเกิดกับคนตัวเล็ก ทำให้คุณชายแห่งเบิร์นสไตน์ไม่พอใจอย่างยิ่ง... เมื่อได้รู้ว่ามีคนกำลังหาเรื่องลองดี คิดร้ายกับเจ้าจิ๋วจ้าของเขา
เกือบห้าทุ่ม เพ็ญนรีและริต้าหอบตะกร้าใส่ผ้าซึ่งซักอบจนหอมสะอาดกลับมายังห้องเตรียมตัวนักแสดง พวกเธอเสียเวลาไปนานเป็นพิเศษกับการแช่ผ้าและช่วยกันขยี้คราบกาแฟจนสะอาดเกลี้ยง โดยคนข้อมือเคล็ดก็พยายามไม่กินแรงผู้ช่วยที่สุดเท่าที่จะทำได้
และตอนนี้พวกเธอก็ได้ฤกษ์เริ่มงานที่ตั้งใจจะมาทำแต่แรกเสียที
เสื้อผ้าแต่ละตัวถูกบรรจงรีดจนเรียบกริบจับกลีบสวยงาม แม้แต่ชุดของตัวประกอบก็ยังต้องเนี้ยบ ไร้รอยยับให้ระคายสายตาผู้รับชมละครผ่านระบบดิจิตอล High Definition สิ่งนี้นับเป็นเรื่องปกติอันน่าแปลกของละครไทยไปแล้ว ที่ทุกอย่างที่ปรากฏบนหน้าจอต้องสวยงามลงตัวน่ามอง แม้แต่นางเอกตอนหลับหรือป่วย ยังต้องหน้าปัง บล็อกตาเต็ม และผมเป็นลอนสวย ดูดียิ่งกว่าคนธรรมดาในชีวิตจริงที่กำลังจะออกจากบ้านไปทำงานเสียอีก
โลกมายา... ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นมายา และผู้รับสารก็ควรรู้จักพิจารณาแยกแยะมันจากโลกความเป็นจริง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เสื้อผ้าของนักแสดงทุกคนที่จะใช้เข้าฉากในวันรุ่งขึ้นก็ถูกจัดแขวนเรียงเอาไว้เป็นชุดๆ เพ็ญนรีตรวจสอบความเรียบร้อยตามตารางการถ่ายทำที่ผู้กำกับได้วางไว้อีกครั้ง ก่อนจะถอนใจโล่งอกผสมเหน็ดเหนื่อย เงยหน้ามองนาฬิกาตรงผนังก็พบว่าเลยเที่ยงคืนไปนานแล้ว
ตอนนี้เธอทั้งง่วงทั้งหงุดหงิดกับการรู้อยู่แก่ใจว่าโดนแกล้ง แต่ยังไม่รู้จะไปเอาคืนยังไงดี แถมตอนนี้ข้อมือก็เริ่มประท้วงด้วยอาการปวดระบมกว่าเก่า ผลจากการที่เธอฝืนใช้งานมันหนักเกินไป
“ได้กลับไปนอนเสียที หวังว่าตื่นมาพรุ่งนี้คงไม่เละอีกนะเจ๊ คุณเปอร์เจ้าขา... อย่าแรงกับพวกเรานักเลยนะเจ้าคะ” ริต้าบอกกล่าวเจ้าถิ่นไร้ร่างส่งท้าย ก่อนจะจัดการปิดล็อกประตูห้องให้เรียบร้อย
บรรยากาศของรีสอร์ตที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ในตอนกลางวัน พอตกดึกกลับชวนให้รู้สึกวิเวกวังเวง จนสองสาวต้องเดินเกาะแขนเบียดชิดตัวติดกัน โคมไฟสนามประดับไว้ตามทางด้วยระยะค่อนข้างห่าง จนแสงสว่างขาดหายเป็นช่วงๆ เท้าสองคู่จึงเร่งจ้ำไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด ดวงตาไม่มีหลุกหลิกออกนอกทางเดินเบื้องหน้า
“จ้า...”
เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านข้างนั้น ทำเอาสองสาวสะดุ้งตัวโยน เท้าที่พลันสะดุดชะงักตั้งท่าจะออกวิ่งอยู่รอมร่อ ถ้าจะไม่มีประโยคต่อมาช่วยเรียกดึงสติของพวกเธอเอาไว้ก่อน
“สองคนไปไหนกันมา ดึกขนาดนี้”
ประโยคสอบถามนั้นทำให้สองสาวรู้ว่าต้นเสียงเป็นใคร จึงหันไปมองชายหนุ่มในชุดเสื้อคอกลมสีขาวและกางเกงผ้ายืดขายาว กวินทร์ยืนอยู่ตรงทางแยกไปสู่กลุ่มบ้านพักหลังเล็กของเหล่านักแสดงนำและผู้กำกับ
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อย เลยเพิ่งเตรียมคอสตูมของพรุ่งนี้เสร็จน่ะ”
เมื่อรู้ว่าหญิงสาวอยู่ทำงานจนดึกดื่น กวินทร์ก็หน้ายุ่งขึ้นมาด้วยความห่วงใย แต่เขายังไม่ทันได้ถามว่ามีเรื่องอะไร คนตัวเล็กก็ยิงคำถามสวนกลับเสียก่อน
“แล้วนายล่ะ ไม่รีบนอน มัวมาทำอะไรอยู่”
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าชายหนุ่มชะงักไปครู่สั้นๆ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ
“ก็ออกมาเดินเล่น นึกทวนบท ชมฟ้าชมดาวไปเรื่อยเปื่อย”
“อารมณ์สุนทรีย์จริงนะ”
เพ็ญนรีส่งค้อนอย่างหมั่นไส้พ่อพระเอกที่มีเวลามาเดินเล่นชมดาว ในขณะที่เธอต้องยุ่งหัวฟูอยู่กับการแก้ปัญหา ซึ่งเธอมั่นใจว่ามีสาเหตุมาจากเขาส่วนหนึ่ง
“อยากเดินเล่นต่อไปส่งพวกเราที่บ้านพักด้วยเลยไหมล่ะ” หญิงสาวหยอดถาม ทั้งจะหาคนเดินเป็นพวกให้ลดความวังเวง ทั้งยังได้แกล้งให้เขาต้องเดินย้อนกลับบ้านมาลำพัง
“เอาสิ” พระเอกหนุ่มกลับเต็มใจรับคำง่ายดายไม่มีอิดออด
คณะเดินกลับบ้านพักหลังใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปราวสามร้อยเมตรจึงมีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน การกระทำของพระเอกหนุ่มเรียกสายตาจับสังเกตจากริต้าได้เป็นอย่างดี
ในขณะดวงตาอีกคู่ที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากล่องหนกลับขุ่นจัด...
ขุ่นมัวพอๆ กับสายตาของใครบางคนที่มองออกมาจากบ้านพักอีกหลัง!
จนเมื่อใกล้จะถึงบ้านพักของทีมงานหญิง ริต้าที่สองคืนก่อนได้เห็นเงาร่างชวนขนลุกบริเวณนี้ก็เร่งรีบบอกลา จ้ำอ้าวตรงไปยังบ้านพักของตนอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เหลือเพียงเพ็ญนรีและพระเอกหนุ่มอยู่ตรงทางแยกเข้าบ้าน
“นายคุยกับแอลให้รู้เรื่องแล้วแน่นะ” หญิงสาวอดถามไม่ได้เมื่อมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง
“อือ” กวินทร์ทำหน้าเมื่อยเหมือนไม่อยากจะคุยเรื่องนี้
ตลอดบ่ายเมื่อวานและวันนี้ทั้งวัน เขาทำตามที่จิรภพกำชับคำสั่งไว้อย่างดี เพราะผู้จัดการหนุ่มขู่ให้เขาต้องยอมรับว่า ถ้าไม่อยากเสียคะแนนนิยม หรือทำให้เพ็ญนรีมีเรื่องยุ่งยาก เขาก็ควรทำตัวสนิทสนม แสดงความสัมพันธ์คลุมเครือกึ่งใช่กึ่งไม่ใช่กับอลิยาต่อไปเหมือนเดิม สักพักข่าวเกี่ยวกับรูปนั้นก็จะถูกกลบให้เงียบไปเอง
“บอกไปแล้วด้วยว่าคราวหลังอย่าไปหาเรื่องจ้าอีก”
“ว่าไงนะ?”
สิ่งที่ชายหนุ่มบอก ทำเอาคนที่เกือบจะวางใจขอตัวเข้าบ้านต้องหันขวับด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงต้องบอกอย่างนั้น”
“ผมเห็นน่ะสิ เมื่อวานแอลไปหาเรื่องอะไรจ้าใช่ไหม”
เขามองตามหญิงสาวอยู่ตลอด และดูจากท่าทางของพวกเธอก็รู้ได้ว่าหัวข้อการสนทนาคงไม่ใช่เรื่องชวนรื่นรมย์นักหรอก
“ก็... ประมาณนั้นแหละ” เพ็ญนรียอมรับตามตรง
เธอไม่ใช่นางเอกแม่พระปากหนัก บอกปัดปกป้องคนอื่นไปทั่วเสียหน่อย โดยเฉพาะกับคนที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับตัวเอง
“แล้วนายรู้ไหม เรื่องที่ทำให้จ้าต้องกลับดึกขนาดนี้มันเรื่องอะไร”
“จะรู้ได้ไง ว่าจะถามตั้งแต่แรกก็ลืมไปเลย”
หญิงสาวไม่รีรอเลยที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอทั้งหมดให้เขาได้รู้ ระหว่างเล่าก็เดินต่อมาเรื่อยจนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านพัก ตบท้ายด้วยข้อเท็จจริงบางอย่างให้เขาได้คิดตามไปด้วย
“ยัยริต้าคิดว่าเป็นฝีมือคุณเปอร์สำแดงเดชโยกย้ายสิ่งของ แต่ตอนจ้าเข้าไปแยกเสื้อผ้าออกมาจากกล่องก่อนจะไปกินข้าวเย็น จ้ามั่นใจว่าไม่มีแก้วกาแฟในห้องนั้นแน่นอน... คงแปลกพิลึกเลยเนอะ ถ้าคุณเปอร์จะขยันออกฤทธิ์ขนาดเรียกมันมาจากนอกห้อง”
“ถ้างั้น... จ้าคิดว่ามีคนจงใจป่วนกองเหรอ”
“หึ! ป่วนจ้าเองนี่แหละ! คิดดูสิ ถ้าพรุ่งนี้คอสตูมไม่พร้อมใครจะโดนด่า ไม่ใช่จ้าต้องรับเละเหรอ... แต่ทำอะไรไม่รู้จักคิด ถ้าเกิดมันต้องยืดเยื้อเสียเวลาขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องลำบากกันยกกอง ไม่มีเว้นสักคนหรอก” เธอตอบเสียงดังฟังชัดว่าขุ่นเคืองเต็มกำลัง
“พูดเหมือนจ้ามีคนที่สงสัยอยู่แล้ว”
“คนที่เร็วๆ นี้ของขึ้นจนมาพูดจาไม่เข้าหูจ้าก็มีแค่คนเดียวนั่นแหละ”
กวินทร์รู้คำตอบในใจหญิงสาวโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด แต่เขาก็ยังมีจุดข้องใจ
“แต่ตอนทานข้าวเย็น แอลนั่งข้างผมตลอดเลยนะ”
“ตลอดเวลา แบบไม่คลาดสายตาสักวินาทีเลยไหมล่ะ” เพ็ญนรีย้อนถาม ดวงตากลมของเธอมองเหมือนค้อนเพราะคิดว่าอีกฝ่ายปกป้องคนผิด และนั่นก็ทำให้คิ้วเข้มของพระเอกหน้าคมขยับเข้าหากัน
“ก็... ลุกไปห้องน้ำบ้าง”
“ฮึ!” หญิงสาวส่งเสียงในลำคอ “งั้นก็ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนให้เสียเรื่อง”
“แล้วจ้าจะเอาไงกับเรื่องนี้” กวินทร์ถามต่อ ในใจของเขานั้นพร้อมจะยื่นมือช่วยเหลือ แต่คนฟังกลับเข้าใจว่าชายหนุ่มกำลังทำตัวเป็นหน้าด่านให้นางเอกรุ่นน้อง
เพ็ญนรีเอียงคอจ้องคนตรงหน้า ยกมือขึ้นกอดอกอย่างเคยชินยามจะตั้งป้อม แต่ก็ต้องสะดุ้ง เปลี่ยนท่าแทบไม่ทัน เมื่อท่าทางนั้นทำให้ข้อมือพลันเจ็บแปลบ
“เป็นอะไร... เจ็บมือเหรอ” เสียงนุ่มถาม ทั้งยังขยับเข้าไปใกล้
“นิดนึง ช่างมันเถอะ... ส่วนที่ถามว่าจะเอาไง ตอนนี้ยังนึกไม่ออก แต่ขอบอกว่าคนอย่างจันทร์จ้าไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ตายเป็นตาย!”
เพ็ญนรีบอกเสียงเข้มพร้อมยกมือทำท่าปาดคอ จ้องคนตรงหน้าตาดุราวกับว่าเขาเป็นตัวแทนของนางเอกสาว คิดว่าเดี๋ยวเขาคงไปถ่ายทอดคำข่มขู่นี้ และห้ามปรามกันต่อเอง
“แล้วต่อไปนายก็หัดระวังมือไม้เอาไว้ให้ดีด้วย รู้ไว้ซะบ้างว่าจ้าไม่ใช่เพื่อนเล่น”
“รู้ตั้งนานแล้วน่า ว่าไม่ใช่เพื่อน” กวินทร์รับคำ รอยยิ้มและแววตาวาวระยับแฝงความนัยบางอย่าง “อยากเป็นมากกว่า...”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นโดยไร้ผู้กระทำ ทำเอาสองหนุ่มสาวสะดุ้งโหยง ใจหล่นหายไปอยู่ตรงตาตุ่ม ก่อนจะกระดอนเด้งแรงราวจะหลุดจากอก
พลันนั้นในสมองของเพ็ญนรีก็มีคำบอกเล่าของริต้าพรั่งพรูขึ้นมาให้หน้าซีดตัวสั่น
ตรงจุดนี้ไม่ใช่หรือ... ที่ริต้าบอกว่าพบเห็นเงาร่างของบางสิ่ง!
ห้วงเวลาแห่งความเงียบไร้คำพูดจาผ่านไปครู่หนึ่ง และแล้วหญิงสาวก็แทบกระโจนไปกอดพระเอกหนุ่มเมื่อประตูบ้านถูกเปิดออก
“กลับดึกเชียว...” คำพูดของทีมงานสาวที่เป็นคนเดินมาเปิดประตูชะงักอยู่แค่นั้น แววตาเต็มไปด้วยความแปลกใจที่ได้เห็นพระเอกหนุ่มยืนประชิดตัวเพื่อนร่วมบ้าน แถมยังจับมือถือแขนกันอยู่อีกต่างหาก
“จ้ารีบเข้านอนเถอะ ผมไปละ ฝันดีนะจ้า”
กวินทร์ปลดมือเล็กออกจากท่อนแขนอย่างอดเสียดายไม่ได้ ขณะดันหลังให้หญิงสาวเดินเข้าบ้าน เขาก็หันไปทางทีมงานสาวที่ยืนงงอยู่ ส่งรอยยิ้มกว้างดูจริงใจตามแบบฉบับพระเอกหนุ่มเจ้าเสน่ห์
“ผมเห็นริต้ากับจ้าเดินกลับมามืดๆ ก็เลยอาสาเดินมาส่ง... ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
เอ่ยจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินกลับบ้านพักของตนทันที พยายามรักษามาดไม่ให้ดูลนลานน่าขำ แต่ก็ยังเร่งฝีเท้าเต็มที่และไม่คิดจะหันหลังกลับเด็ดขาด แม้จะนึกห่วงหญิงสาวอยู่มาก แต่อย่างน้อยๆ เธอยังมีเพื่อนร่วมห้องให้อุ่นใจ ไม่ต้องเดินกลับและนอนตามลำพังเหมือนเช่นตนเอง
กลางดึกคืนนั้น... ประตูบ้านพักของเพ็ญนรีถูกปลดล็อกอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของนักข้ามเวลาหนุ่ม เช่นเดียวกับในคืนนั้นที่เขาย่องเข้ามาเพื่อหลบฝน หน้ากากล่องหนที่อาเธอร์สวมอยู่นั้น นอกจากจะสามารถปิดบังอำพรางใบหน้าได้แล้ว มันยังช่วยให้เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ในบ้านจะมืดสลัว ช่วงขายาวๆ ก้าวผ่านห้องนั่งเล่นไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอน แตะปลายนิ้วไปบนบานประตูเพื่อจับแรงสั่นสะเทือนจากอีกฟาก จนมั่นใจว่าภายในห้องไร้การเคลื่อนไหวและเสียงพูดคุยใดๆ จึงค่อยแง้มเปิดบานประตูเข้าไปช้าๆ
ผู้มาเยือนยามวิกาลกวาดสายตาไปยังสองร่างที่หลับใหลอยู่บนเตียง ก่อนจะล้วงแท่งโลหะเล็กยาวสีดำคล้ายปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หมุนบิดเลือกฟังก์ชัน ‘เวคเลส’ หรือหลับไร้ตื่น แล้วเล็งเป้ายิงใส่ท่อนแขนที่โผล่พ้นผ้าห่มของคนทั้งคู่
รวดเร็วแม่นยำ... เช่นเดียวกับตอนที่เขาเคยยิง ‘พัลซี่’ ฟังก์ชันที่ทำให้เกิดอาการอัมพาตชั่วคราว ใส่พระเอกหนุ่มไปเมื่อตอนที่อีกฝ่ายแกล้งหยอกปนฉวยโอกาสรั้งกอดคนตัวเล็กไว้จนตกเป็นข่าว
‘อินเจกซ์เตอร์’ หรือ Injextor ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ของบลูแพลนต์มาได้หลายร้อยปี ก่อนจะถูกพัฒนาปรับรูปร่างและขนาดให้เล็กลงจนกลายมาเป็นอาวุธสายลับ มันคือปากกาฉีดยาโดยไม่ต้องใช้เข็ม แต่อาศัยแรงดันสูงที่พุ่งออกจากหัวฉีดขนาดเล็กระดับไมโครเมตร เจาะทะลุผ่านผิวหนังและนำส่งสารออกฤทธิ์เข้าไปในร่างกาย หมดกังวลเรื่องการติดเชื้อจากการใช้เข็มที่ไม่ปราศจากเชื้อ และยังตัดความยุ่งยากกับการกำจัดขยะติดเชื้อแหลมคมเหมือนเช่นในยุคนี้
อาเธอร์ก้าวเข้าไปทรุดกายนั่งลงข้างเตียงถัดจากคนร่างเล็ก สายตาอ่อนโยนระคนรู้สึกผิดจับจ้องตรึงอยู่บนใบหน้าที่เล็กกว่ามือของเขาเสียอีก และทันทีที่ได้เห็นคิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่นกลางหว่างคิ้ว คนมองก็ห้ามมือที่ยื่นเข้าไปใกล้ไว้ไม่อยู่ เขาไล้ปลายนิ้วหัวแม่มือคลึงวนเบาๆ ให้มันคลายออกจากกัน แถมยังเลยผ่านไปปัดกลุ่มผมเส้นเล็กออกจากใบหน้านวลให้ด้วย
คงมีแค่ช่วงเวลาที่เขาเสมือนไร้ตัวตนอย่างสองสามวันมานี้เท่านั้น ที่เขามีโอกาสมองหญิงสาวได้อย่างชัดเจนเต็มตา โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีแววตาเป็นประกายหรือรอยยิ้มกว้างมาทำให้หัวใจกระตุกเต้นผิดจังหวะไม่เป็นตัวของตัวเอง และเมื่อได้มองนานเข้า คนที่ไม่เคยใช้สายตาสนใจใส่ใจมองหญิงสาวคนใด ก็ชักจะเพลิดเพลินติดใจกับการได้เฝ้ามองคนตัวเล็กขยับทำนู่นทำนี่อย่างกระฉับกระเฉง ในบางครั้งยังเผลอยิ้มให้กับถ้อยคำช่างเจรจาของเธอกับเพื่อนร่วมงานไปโดยไม่รู้ตัว
นั่งนิ่งจมกับความคิดเจือความสุขใจจางๆ อยู่ครู่หนึ่ง... อาเธอร์ก็ผละถอยออกมาคว้าแขนซ้ายที่วางอยู่บนลำตัวหญิงสาวขึ้นมา ค่อยๆ แกะผ้ารัดข้อมือออกอย่างเบามือ อาการบวมเป่งที่ได้เห็นทำเอาคนจงใจคว้าบิดมันเองกับมือรู้สึกผิดหน่วงหนักอยู่ในอก... จากที่ในชีวิตไม่เคยทำร้ายรังแกคนอ่อนแอกว่ามาก่อน แต่คราวนี้กลับเห็นแก่ตัวจนทำให้คนตัวเล็กนิดเดียวเจ็บตัวข้ามวันข้ามคืน
คิดแล้วชายหนุ่มก็พ่นพรูลมหายใจออกมาไล่ความรู้สึกนั้น และลงมือรักษาอาการของอีกฝ่ายต่อไปเงียบๆ
หลังจากพ่นยาระงับอาการอักเสบปวดบวมจากโลกอนาคตลงไปจนทั่ว ตามด้วยพันเทปผ้ายึดข้อมือเล็กไว้อย่างแน่นหนาดีแล้ว เขาก็วางมันลงบนตัวหญิงสาวตามเดิมพร้อมขยับจัดผ้าห่มให้เรียบร้อย มือใหญ่ลูบศีรษะคนหลับเบาๆ สองสามทีอย่างไม่มีกังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวตื่น ทั้งโอ๋ทั้งกล่อมกึ่งบอกราตรีสวัสดิ์ด้วยความเอ็นดูสงสาร หวังอย่างยิ่งว่าเธอจะหลับสบายขึ้นและตื่นขึ้นมาโดยปราศจากความเจ็บปวดใดๆ ในรุ่งเช้า
อาเธอร์มองหน้าคนหลับอีกครั้งส่งท้าย ก่อนจะก้าวออกจากบ้านพัก ช่วงขายาวเดินอ้อมไปที่ว่างด้านหลัง แล้วล้วงสเตลท์โมบิลย่อส่วนออกมาจากกระเป๋าเป้ วางมันลงบนพื้นหญ้า แล้วใช้ปืนย่อขยายยิงฉายลงไปให้มันคืนกลับสู่ขนาดปกติ ไม่นานพาหนะสีเทาดำลักษณะคล้ายกับรถสปอร์ตทรงเพรียวล้ำสมัยในยุคปัจจุบันก็จอดอยู่ตรงหน้า
นักข้ามเวลาหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งด้านใน แล้วกดปุ่มคำสั่งเปิดระบบพรางตัว ยานพาหนะล่องหนก็เสมือนหายวับไปจากสนามในวินาทีหลังจากนั้น โชคดีที่วันนี้ไม่มีฝนอันเป็นจุดอ่อนในการหักเหแสงอำพรางกายของยานนี้เช่นเดียวกับชุดของเขา
ชายหนุ่มกดปุ่มปรับเบาะที่นั่งให้เอนราบจนสุด กายสูงใหญ่นอนกอดอก และหลับตาลงพักผ่อนเสียที หลังจากนาฬิกาบอกเวลาเกือบตีสามของวันใหม่
เสียงเพลงตั้งปลุกที่ดังขึ้นตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง ปลุกให้เพ็ญนรีสะดุ้งลืมตาตื่น แล้วรีบเอื้อมมือไปปิดเสียงมันอย่างเกรงใจเพื่อนร่วมห้อง เช้านี้เธอตั้งใจตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อจะได้รีบไปนั่งเฝ้าห้องแต่งตัว เอาให้มั่นใจแน่นอนว่าไม่มีใครเข้าไปทำอะไรลับหลังเธอได้อีก เท้าเล็กๆ ตวัดลงจากเตียง ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูที่แขวนอยู่บนราว เดินขยี้ตาเข้าห้องน้ำไปด้วยความงัวเงีย
เมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าอ่างล้างหน้า คนเพิ่งตื่นก็เอียงคอยืดกล้ามเนื้อสองสามที แต่แล้วในขณะที่กำลังจะหยิบแปรงสีฟันและหลอดยาสีฟัน... เธอก็ต้องชะงักกับสิ่งแปลกปลอมบนข้อมือซ้ายที่ยื่นออกไปหยิบของใช้ด้วยความเคยชิน
ในเวลานั้น... เพ็ญนรีเพิ่งจะรู้สึกว่าข้อมือของเธอที่เมื่อคืนยังปวดระบมหนักจนต้องหายาแก้ปวดมารับประทาน ในตอนนี้มันกลับรู้สึกเบาสบาย แทบจะเรียกได้ว่าหายเป็นปลิดทิ้งก็ว่าได้
มือข้างขวาค่อยๆ แกะผ้ารัดข้อมือซ้ายออกเพื่อตรวจดูอาการบวมช้ำให้แน่ใจ เทปผ้าที่พันอยู่ในตอนนี้ แม้จะเนื้อนุ่มบางกว่าผืนที่เธอใช้อยู่ แต่ก็ให้แรงกระชับกำลังดี เพ็ญนรีมองความคุ้นตาของมันด้วยความสงสัยอยู่ไม่นาน เธอก็นึกออกว่ามันเหมือนกับผ้ารัดที่อาเธอร์เคยใช้ปฐมพยาบาลให้เธอไม่มีผิด ความระลึกรู้นี้ยิ่งก่อความสับสนประหลาดใจ จนคนประสบเหตุการณ์เกินอธิบายได้ยิ่งหน้ายุ่ง
แม้ในสมองจะยังมีคำถามมากมายเกาะติดชนิดสะบัดมันไม่หลุด แต่หลังจากได้อาบน้ำ แต่งตัวและแต่งหน้าด้วยมือทั้งสองข้างอย่างว่องไวได้ดังใจดังเดิม สีหน้าของเพ็ญนรีก็เบิกบานขึ้นกว่าตอนตื่นนอนหลายเท่าตัว
ระหว่างทางเดินไปยังห้องแต่งตัวนักแสดง หญิงสาวถึงกับร้องเพลงตามบทเพลงจังหวะสนุกในหูฟังอย่างอารมณ์ดี เงยหน้ามองท้องฟ้าสีส้มทองและฝูงนกที่บินผ่านไปโผเกาะยอดไม้ ชื่นชมดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัวแล้วก็อดไม่ได้ต้องยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพท้องฟ้าและก้อนเมฆสวยๆ ไปอวดชาวโซเชียล แต่เพ็ญนรียังไม่ทันลดมือลง เธอก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็เห็นมาลีรินทร์ในชุดกีฬาอวดหุ่นสวยกำลังวิ่งตรงมา
“ตื่นเช้าจังเจ๊จ้า” นางร้ายสาวร่างสูงโปร่งหยุดทักทาย มือหนึ่งก็ยกผ้าขนหนูขึ้นซับเหงื่อที่เกาะพราวข้างแก้ม
“แต่คงไม่เช้าเท่ามีนหรอก” เพ็ญนรียิ้มให้ มองหญิงสาวรุ่นน้องอย่างอดชื่นชมไม่ได้ มาลีรินทร์ติดอันดับดาราที่มีหุ่นเฟิร์มกระชับจนแฟนคลับยกให้เป็นต้นแบบของการดูแลตัวเองทั้งการออกกำลังกายและรับประทานอาหาร
“มีนชินตื่นเวลานี้ไปแล้วค่ะ อืม! เจอเจ๊จ้าก็ดีเลย ช่วยถ่ายรูปแล้วส่งให้มีนหน่อยสิคะ พอดีไม่ได้ติดมือถือออกมาด้วย”
เพ็ญนรีพยักหน้าให้อย่างยินดี สไตลิสต์สาวนัดแนะว่าให้อีกฝ่ายค่อยๆ ทำเหมือนกำลังวิ่งมาแบบไม่จงใจถูกถ่าย ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นเล็งหามุมเหมาะๆ ให้เห็นบรรยากาศสวยๆ ของรีสอร์ตไปด้วย แต่มองดูแล้วองค์ประกอบภาพก็ยังไม่ได้ดั่งใจนัก เธอจึงก้าวถอยหลังเร็วๆ ขยับห่างออกไปอีกหน่อย
“โอ๊ะ! ขอโท... หือ!?”
บางสิ่งที่สาวร่างเล็กถอยไปชนทำเอาต้องหมุนตัวไปกล่าวขอโทษ แต่ความว่างเปล่ากลับทำเอาเพ็ญนรีต้องงุนงงเป็นไก่ตาแตก
เมื่อครู่เธอรู้สึกว่าแผ่นหลังไปชนกับใครสักคนเข้าให้จริงๆ แถมใครคนนั้นยังช่วยจับยึดหัวไหล่ พยุงให้เธอทรงตัวไว้ได้อยู่เลย
“เป็นอะไรคะ” มาลีรินทร์ถามคนที่มีอาการแปลกๆ
“เอ่อ... ตะกี้จ้ารู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างหลังน่ะ” จบคำที่เธอบอกเท่านั้น คนฟังก็ทำหน้าเหมือนเธอพูดเรื่องประหลาด
“มีนไม่เห็นใครเลยนะคะ”
เวลานี้เพ็ญนรียิ่งหน้ายุ่งเข้าไปใหญ่ เมื่อครู่เธอก็เห็นด้วยสองตาแล้วว่าไม่มีใครจริงๆ แต่สัมผัสแน่นตึงแต่มีความยืดหยุ่นที่กระทบแผ่นหลัง กับความอุ่นร้อนที่ฝากไว้บนหัวไหล่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องคิดไปเองแน่นอน
“ง่า... งั้น... งั้นก็ช่างมันก่อนเถอะ ถ่ายรูปให้เสร็จแล้วรีบไปกันดีกว่า” เสียงติดขัดเบาแผ่วเอ่ยเร็วรัว
เพ็ญนรีตั้งท่าถ่ายรูปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แล้วรีบชักชวนมาลีรินทร์ให้เดินต่อไปทางบ้านพักของอีกฝ่ายด้วยกัน ไม่กล้าเดินต่อคนเดียวอีกแล้ว ระหว่างเดินไปก็จัดการส่งภาพที่ถ่ายได้เข้าไปในโทรศัพท์ของดาราสาว เพื่อให้มาลีรินทร์ได้อัพเดทกิจกรรมยามเช้าให้ผู้ติดตามนับแสนได้ร่วมรับรู้
พอถึงคราวต้องเดินต่อไปยังห้องแต่งตัวนักแสดงตามลำพัง เพ็ญนรีไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะความหวาดระแวงหรืออย่างไร ที่ทำให้รู้สึกราวกับมีสายตาลึกลับมองมาจากด้านหลัง แต่เมื่อรวบรวมความกล้าหันขวับไปมอง เธอก็ได้พบแต่ทางเดินที่ว่างเปล่า
แต่แล้วในวินาทีที่กำลังจะหันกลับ เพ็ญนรีก็ต้องสะดุ้งเฮือก ใบหน้าเล็กยุ่งจัดตื่นกลัวจนแทบอยากจะร้องไห้ เมื่อลมอุ่นๆ วูบหนึ่งเป่ารดใบหูและข้างแก้ม และเพียงแค่ได้สัมผัสความรู้สึกเหมือนมีใครมาเกี่ยวปอยผมทัดเก็บข้างหูให้เท่านั้น สองเท้าที่แข็งค้างเมื่อครู่ก็ออกวิ่งแจ้นตรงไปยังห้องอาหารด้วยสปีดนักวิ่งสี่คูณร้อย
“โอ๊ย!”
เสียงร้องลั่นของอลิยาเรียกความสนใจจากทุกคนที่อยู่ในห้อง เมื่อหันไปมองก็เห็นเจ้าของเสียงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้เต็มแรง ก้มลงไปถอดรองเท้าปลายแหลมซึ่งเพิ่งสวมออกจากเท้าอย่างรวดเร็ว และเมื่อเทคว่ำมันลงก็พบเศษกระเบื้องร่วงกราวลงมาสามสี่ชิ้น
“ว้าย! ทำไมมันไปอยู่ในรองเท้าได้” เสียงตกอกตกใจของริต้าที่เป็นคนหยิบรองเท้าคู่นี้มาให้ จากนั้นเธอก็รีบร้อนถามนางเอกสาวอย่างร้อนใจ
“โดนบาดตรงไหนบ้างรึเปล่าคะน้องเอลิส”
อลิยาพยายามก้มมองนิ้วเท้าแล้วก็สูดปากเสียงซี้ด ทันทีที่เห็นบาดแผลมีเลือดซิบๆ ตรงปลายนิ้วชี้ ดวงตาลุกพองด้วยความโมโหก็ตวัดขึ้นมากวาดมองไปรอบห้องแต่งตัว ก่อนจะหยุดลงที่ผู้รับผิดชอบเครื่องแต่งกายนักแสดงที่กำลังก้าวเร็วๆ เข้ามาหา
“พี่จ้าจงใจแกล้งแอลใช่ไหม” อลิยาใช้น้ำเสียงผู้ถูกกระทำที่น่าสงสาร ชี้ตัวเอาเรื่องคนผิดอย่างมั่นใจ
“พูดบ้าอะไรน่ะ!” คนถูกกล่าวหาโต้กลับเสียงดังทันที “อย่ามาหาเรื่องกันง่ายๆ สิ พี่จะทำอย่างนี้ทำไม”
“แอลจะไปรู้กับพี่จ้าเหรอคะ ว่าคิดอะไรขึ้นมาถึงทำอย่างนี้”
“เอาน่ะๆ เจ๊ว่าเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะนะคะ... ตอนนี้รีบทำแผลให้น้องเอลิสก่อนดีกว่า”
แป๋วแหววซึ่งมีอาวุโสที่สุดในห้องเข้ามาแทรกปรามความขัดแย้ง เธอหันไปสั่งช่างแต่งหน้าผู้ช่วยของตนให้ไปหาอุปกรณ์ทำแผลมา
กองถ่ายละครต้องหยุดชะงักไปเกือบครึ่งชั่วโมงเพื่อทำแผลให้อลิยา และให้เธอได้มีเวลาพักสักครู่ หลังจากนางเอกสาวยืนยันกับผู้กำกับและทุกคนว่าวันนี้เธอยังถ่ายไหว
การแสดงสปิริตไม่งอแงเรื่องมากของอลิยา เรียกสายตาชื่นชมจากคนในกองได้เป็นอย่างดี และยิ่งส่งผลให้ความเห็นใจที่เธอถูกกลั่นแกล้งยิ่งเพิ่มพูน
วันนั้นทั้งวัน พอทีมงานมีเวลาว่างก็จะจับกลุ่มตั้งข้อสงสัยว่าใครกันที่จงใจกลั่นแกล้งนางเอกสาว และบุคคลที่นักอยากสืบในกองพุ่งเป้าแปะป้ายจำเลยเป็นคนแรก ก็คือเพ็ญนรีที่ถูกคนเจ็บประกาศคำกล่าวหานั่นเอง
ขณะที่ริต้าได้โอกาสอยู่ตามลำพังกับคนที่วันนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเคร่งเครียด แถมยังปลีกตัวจากทุกคนในกองถ่าย ผู้ช่วยฝ่ายคอสตูมก็อดไม่ได้ต้องสะกิดเรียกเสียงกระซิบกระซาบ
“นี่เจ๊จ้า...”
“ว่าไง? จะถามว่าจ้าเป็นคนทำหรือเปล่าหรือไง” เพ็ญนรีดักคอด้วยน้ำเสียงเกือบประชด
ตอนนี้เธอกำลังหงุดหงิดขัดใจสุดขีด เมื่อเช้าเธอถูกผู้กำกับเรียกไปคุย แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้บอกว่าปักใจว่าเธอเป็นคนลงมือ แต่ถ้อยคำกำชับตักเตือนว่าขอให้เธอรอบคอบ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้งานเสียหาย และอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนตั้งใจจริงจังกับงานเสมอมาจะรับได้เลย แล้วยังมีสายตาที่เต็มไปด้วยความแคลงใจจากคนในกอง จนเธอหมดอารมณ์จะไปตีหน้ารื่นเริง พูดคุยกับทุกคนเหมือนทุกวันราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แหม... เจ๊ก็ถามมาซะตรงเชียว แล้ว... เจ๊ทำจริงๆ ไหมคะ”
แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ไหน แต่ความสงสัยและอยากรู้ก็เอาชนะความรู้ควรทุกอย่าง
“จ้าไม่ได้ทำ! จ้าจะทำไปเพื่อ?” หญิงสาวย้อนถามเสียงห้วน
“ก็... ประมาณแก้แค้นเรื่องเมื่อคืนไงคะ” คนที่พกพาความสงสัยมาเต็มกระเป๋ายังไม่ยอมหยุด “ริต้าเห็นจะๆ เลยนะคะ เศษกระเบื้องพวกนั้นเหมือนแก้วกาแฟเมื่อคืนเป๊ะ แถมเมื่อคืนเจ๊ก็พูดอย่างกับว่ามีคนทำมากกว่าจะเป็นคุณเปอร์”
เรื่องเศษกระเบื้องเหล่านั้น เพ็ญนรีเองก็เห็นและเก็บข้อสงสัยเอาไว้กับตัว มั่นใจว่าคนก่อเรื่องพวกนี้จะต้องเป็นคนเดียวกันแน่นอน จากที่เคยมั่นใจว่าอลิยาเป็นคนลงมือกลั่นแกล้งเธอเรื่องเสื้อผ้า ก็กลายเป็นเริ่มลังเลใจว่าอาจจะไม่ใช่ เพราะอีกฝ่ายไม่น่าลงทุนจนถึงขั้นทำให้ตัวเองเจ็บตัวขนาดนี้
เพ็ญนรีเม้มปากแน่นเมื่อมีคนพยายามผูกความผิดเข้ากับตัว ไม่นานก็หรี่ตามองหน้าคนช่างผูกเรื่องใส่ร้ายกันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามกลับ
“แล้วริต้าได้บอกใครเรื่องนี้บ้าง”
สายตาจับสังเกตของริต้าเปลี่ยนฉับเป็นลุกวาว มองมาเหมือนมั่นใจว่ารุ่นพี่ถามไปเพราะกลัวคนอื่นรู้ความผิด และมันก็เรียกสายตาโมโหอยากอาละวาดจากคนถูกใส่ร้ายลับหลังได้ทันที โดยไม่ต้องรอฟังคำตอบกับหูก็รู้ว่าจุดเชื่อมโยงเหล่านี้คงถูกบอกเล่า และกระจายข่าวกันปากต่อปากไปจนทั่วกองแล้ว ทีมงานบางคนถึงได้ปักใจเชื่อตามและยังทำท่าทางไม่ดีกับเธอไปด้วย
“เยี่ยม!.. ประเสริฐที่สุดในโลกหล้าเลย!”
เพ็ญนรีสรรเสริญเพื่อนร่วมงานอย่างกระแทกกระทั้นทิ้งท้าย ก่อนจะเดินหนีไปหลบมุม หาที่เงียบสงบใช้ความคิดหาทางแก้ไขเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้น
ตอนนี้มันเป็นช่วงเทพีอุ้มชูประจำกายของเธอหนีไปพักร้อนหรืออย่างไร นอกจากวันก่อนต้องเจ็บตัวข้อมือเคล็ด ถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้เป็นครั้งคราวคอยตามรังควาน แถมร้ายที่สุด... ตอนนี้ยังถูกใครบางคนวางตัวเป็นศัตรูคอยจ้องหาเรื่องลับหลัง ทำให้เสียประวัติการทำงานไม่พอ ยังทำให้เธอไร้คนยิ้มแย้มพูดคุยด้วยอีกต่างหาก
“ฮึ่ม... อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร จะบรรจงเอาคืนให้สวยๆ เลย”
ติดตามความรักข้ามเวลา
ของนักข้ามเวลาร่างยักษ์และสไตลิสต์สาวตัวจิ๋ว
ต่อได้ในฉบับเต็มค่ะ
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
โหลดฉบับอีบุ๊ค...
Meb : https://goo.gl/NMjUZU
The1Book : https://goo.gl/YBDkJg
Hytexts : https://goo.gl/AG1Hxy
Ookbee : https://goo.gl/FMfeuY
NaiinPann : https://goo.gl/X5dZpR
Google Play : https://goo.gl/ZJ8RWG
Dek-D : https://goo.gl/MyUR2K
No comments:
Post a Comment