ผู้เขียน : แก่นฝัน
ตีพิมพ์ครั้งแรก โดย สนพ. บลูเบลล์
เผยแพร่ฉบับอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
เผยแพร่ฉบับอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
กับดักที่ 4 : นัดสัมภาษณ์
บรรยากาศบนชั้นยี่สิบสามของอาคารซันไรส์วันนี้แตกต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง ด้วยเจ้านายใหญ่ของตึกเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าเคร่งเครียด การขออนุมัติโครงการต่างๆ จากที่เคยเข้มงวดอยู่แล้ว วันนี้หัวหน้าแผนกต่างๆ ต้องพากันวิ่งวุ่นแก้ไขหลายรอบกว่าจะผ่านความเห็นชอบมาได้
แม้แต่เลขาคนสนิทอย่างชนะเทพก็ยังตามไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเจ้านาย เพราะเจ้านายของเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน
เมื่อวานตอนจะออกไปดินเนอร์ที่โรงแรมอโณทัย เจ้านายก็ยังดูอารมณ์ดี... ดีมากกว่าปกติด้วยซ้ำ แต่พอมาเช้านี้ทำไมถึงเหมือนกับอารมณ์เสียมาจากไหนไม่รู้
“คุณเชน... ช่วยผมด้วยเถอะครับ โครงการประมูลการก่อสร้างท่าเรือของผม ถ้าไม่ได้รับอนุมัติจากท่านรองวันนี้ก็คงจะพลาดงานให้กับคู่แข่งที่รอตะครุบอยู่แน่ๆ เลยครับ” หัวหน้าโครงการเอ่ยขอความช่วยเหลือด้วยสีหน้าแสดงความเป็นกังวลอย่างชัดเจน
คนถูกขอร้องต้องถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองไปที่ประตูห้องรองประธานกรรมการที่ปิดอยู่ แล้วก็ตัดสินใจกดโทรศัพท์หาคู่หูตัวช่วยอีกคนที่ไม่ได้เข้าบริษัทในวันนี้
“ฉันอยากรู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้างที่อโณทัย ทำไมวันนี้เจ้านายนายถึงอารมณ์เสียนัก มีสาวคนไหนมาทำให้อารมณ์เสียรึไง” ชนะเทพไม่รอให้เสียเวลา เขายิงคำถามเข้าเรื่องทันที
“คนที่มานี่ไม่ทำให้อารมณ์เสียหรอก แต่คนที่ไม่มานี่สิ” เรียวบอกมาตามสาย “เมื่อวานนี้คุณนิราไม่มา เจ้านายเราก็รอเธออยู่นาน สักเกือบชั่วโมงได้”
“อืม… เข้าใจล่ะ แล้วงานที่คุณทรรศน์สั่งไปถึงไหนแล้ว ฉันว่านายรีบเอามารายงานเร็วๆ ก็ดีนะ” ชนะเทพเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี
“ฉันก็กำลังจะเข้าไปรายงานผลที่ซันไรส์ คิดว่าอีกสักประมาณชั่วโมงก็คงถึง” เรียวตอบ เขาพยายามทำงานนี้ให้รวดเร็วที่สุด ...หวังว่าคงพอทันใจคนสั่ง
“อืม งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกัน ให้ฉันไปเคลียร์ระเบิดในห้องท่านรองหน่อย พวกพนักงานพากันกลัวจนไม่กล้าเข้าหาแล้ว” เลขาหนุ่มวางสาย แล้วก็เดินไปยังห้องทำงานสุดหรูที่วันนี้ต้องกลายเป็นโซนอันตรายของตึก
ก๊อก ก๊อก เลขาหนุ่มเคาะประตูและเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้องที่ฟังดูสั้นห้วนกว่าทุกวัน
“ดินเนอร์เมื่อวานไม่สนุกหรือไงครับ ถึงได้อารมณ์เสียตลอดเช้าเลย พนักงานพากันกลัวไปหมดแล้ว” เขาทักเจ้านายทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง
ชนะเทพนั้นกล้าพูดเล่นกับทรรศน์เพราะทั้งคู่ถูกเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก บิดาของเขาก็เป็นประธานบริษัทแห่งหนึ่งในเครือซันไรส์ แต่เขาเลือกที่จะทำงานกับเพื่อนคนนี้ เพราะต้องการจะเก็บประสบการณ์ให้มากที่สุดก่อนจะกลับไปรับช่วงต่อจากบิดา
“เธอไม่มา! นิราไม่มา ทีแรกฉันก็คิดว่าแค่เลท ให้ฉันนั่งรอเธออยู่เกือบชั่วโมงได้” ทรรศน์ปิดแฟ้มงานในมือลงอย่างแรงแล้วตอบอย่างหัวเสีย นึกไปถึงหน้านิ่งๆ ของหญิงสาวตอนที่รับคำก็พลอยคิดไปว่าเธอคงรับปากไปอย่างนั้นเอง “ถ้าไม่อยากมาก็น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก ไม่ใช่รับปากแล้วเบี้ยวอย่างนี้ ยังไม่เคยมีใครกล้าผิดนัดกับฉันมาก่อน”
“เธออาจมีความจำเป็นต้องผิดนัด อาจมีปัญหาหรือไม่ก็ไม่สบายกะทันหัน” ชนะเทพพยายามหาเหตุผลเพื่อช่วยให้เพื่อนที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนอารมณ์ร้อนขึ้นมาใจเย็นลง
“ก็น่าจะติดต่อมาบ้าง” ถึงน้ำเสียงจะยังห้วน แต่ทรรศน์ก็เริ่มคิดตาม
“ติดต่อยังไงล่ะครับ ยังกับเจ้านายเข้าถึงได้ง่ายๆ และที่สำคัญเธอก็ทำท่าเหมือนไม่รู้จักเจ้านาย” ชนะเทพเป็นปากเสียงแทนตัวนิรันตรา เขาจับสังเกตหญิงสาวตั้งแต่แรกก้าวเข้ามาในลิฟต์ รวมถึงจากท่าทีที่เธอพูดคุยกับเจ้านายของเขาด้วย
คนอารมณ์บูดนิ่งเงียบไปสักพักและเริ่มคิดได้เมื่อมีเพื่อนมาเตือนสติ เขาเองก็นึกเห็นด้วยกับเพื่อนอยู่เหมือนกันเรื่องที่นิรันตราไม่น่าจะรู้จักเขา
“ช่างเถอะ เธออาจมีเหตุผลของเธอที่ทำให้มาไม่ได้ เอาล่ะ เรียกพวกที่จะเสนอโครงการที่นั่งรอยืนรอ ชะเง้อหน้ารออยู่แถวๆ โต๊ะของนายให้เข้ามาได้แล้ว เช้านี้งานไปไม่ถึงไหนเลย ให้ตายสิ” ทรรศน์ลบความขุ่นเคืองจากการมีเรื่องขัดใจออกไปและรวบรวมสติกลับมาทำงานใหม่
จนเมื่อเวลาเกือบเที่ยง ทรรศน์ก็ได้รับรายงานประวัติส่วนตัวของหญิงสาวที่เป็นต้นเหตุของความขุ่นเคืองของเขา
น่าแปลก... ท่าทางเธอนั้นเหมือนไม่รู้จักเขา แต่หญิงสาวกลับเป็นหนึ่งในผู้สมัครคัดเลือกนายหญิงด้วย เหตุนี้ทำให้ชายหนุ่มเริ่มนึกระแวงสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
ลองไปเจอเธออีกสักทีเป็นไง... คิดแล้วก็วางรายงานในมือลง ก่อนจะเดินออกไปหน้าห้อง
“เชน ไปหาข้าวข้างนอกกินกัน”
ร้านอิ่มสุขที่ทรรศน์และชนะเทพได้เห็นเป็นร้านที่ตกแต่งได้สบายๆ น่านั่งทีเดียว และเนื่องจากพวกเขาเดินทางมาถึงเอาตอนเกือบจะบ่ายโมงแล้ว จึงทำให้ลูกค้ารอบเที่ยงซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทเริ่มบางตาลงไปบ้าง ทรรศน์เดินนำเข้าไปในร้านและกวาดสายตามองหาเพียงไม่นานก็เจอนิรันตรากำลังวุ่นวายกับการเสิร์ฟอาหารอยู่ เขาเลือกเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะริมกระจกบานใหญ่ด้านในสุด
พนักงานชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วส่งเมนูอาหารให้สองหนุ่มลูกค้ารายใหม่ พร้อมกับแนะนำเมนูพิเศษประจำวัน ชนะเทพต้องกลายเป็นคนรับหน้าที่สั่งอาหารมาสองสามอย่าง เพราะตอนนี้ชายหนุ่มอีกคนไม่ได้สนใจเมนูที่อยู่ตรงหน้าเลย สายตาของเขามัวแต่มองตามหญิงสาวร่างเล็กที่เดินเสิร์ฟอาหารไปมาและหยุดพูดคุยกับลูกค้าบางโต๊ะบ้าง ก่อนที่เป้าสายตาของเขาก็เดินหลบเข้าไปด้านหลังร้านโดยไม่สนใจมาทักทายพวกเขาสักคำ
คิดจะหลบหน้าหรือไง... ทรรศน์คิดอย่างเริ่มมีอารมณ์กรุ่นๆ ขึ้นมาอีกนิด เพราะเขามองออกว่าเธอเห็นพวกเขาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้านแล้ว
จนเมื่อทั้งสองจัดการกับอาหารบนโต๊ะเรียบร้อย คนเบี้ยวนัดที่ทรรศน์กำลังวางแผนจัดการก็เดินเข้ามาพร้อมกับขนมหวานสีสวยสองถ้วย
“ผมไม่ได้สั่ง” ทรรศน์พูดเสียงเรียบตีสีหน้าดุ
“ของแถมพิเศษจากทางร้านค่ะ เมนูใหม่ของเรา นี่เป็นสองถ้วยแรกเลยนะคะ” นิรันตราพูดยิ้มๆ ทำใจดีสู้เสือสบสายตานิ่งเย็นที่มองมา
“ถือเป็นการขอโทษที่ฉันผิดนัดคุณเมื่อวาน เขาว่ากันว่า ถ้าคนเราได้ทานของหวานๆ แล้วจะอารมณ์ดี” เธอวางถ้วยขนมในมือลงบนโต๊ะตรงหน้าทั้งสองคน และไม่ลืมเอ่ยถึงจุดประสงค์ “พวกคุณจะได้ไม่โกรธฉันมากเท่าไหร่... นะ”
ง้อแล้วนะ ยอมซะดีๆ เพราะคนอย่างนิรันตราไม่มีง้อรอบสองนะจะบอกให้… คนที่ยังพยายามแสยะยิ้มหวานคิดอย่างเริ่มฉุนกับท่าทางนิ่งๆ เหมือนจะข่มเธอของอีกฝ่าย
ความจริงแล้ว... อารมณ์ขุ่นมัวของทรรศน์เริ่มดีขึ้นตั้งแต่เห็นเธอเดินเอาขนมมาง้ออย่างรู้ตัวว่ามีความผิด หากแต่เขาอยากแกล้งดูปฏิกิริยาของเธอสักหน่อย เพราะยังมีเรื่องคาใจที่เขาอยากรู้อยู่
“นั่งก่อนสิ! จะยืนพูดค้ำหัวกันอีกนานหรือเปล่า” ชายหนุ่มเลือกใช้น้ำเสียงสั่งเหมือนที่ใช้กับลูกน้อง แล้วก็ได้รับการตอบสนองเป็นสายตาพิฆาตเหมือนจะด่าว่าเขาในใจ
หน็อย!! เมื่อวานฉันเป็นคนผิดนัดหรอกนะ ไม่งั้นแม่จะวีนให้ดู... นิรันตรานับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อเก็บอารมณ์โมโห แล้วยืดตัวตรงเชิดหน้าก่อนจะปรายตาลงมาจ้องคนตรงหน้า พยายามรักษาน้ำเสียงไม่ให้โวยลั่นออกมาตามใจอยาก
“ฉันถือว่าฉันขอโทษตามมารยาทไปแล้ว คุณจะรับหรือไม่รับก็เรื่องของคุณ ส่วนค่าอาหารมื้อนี้ของคุณฉันจัดการให้แล้ว ถือซะว่าเป็นการชดเชยที่ติดคุณอยู่มื้อหนึ่ง เท่านี้ก็หายกัน ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะ... คะ” ลงท้ายด้วยหางเสียงที่สุดจะฝืนใจแล้ว หญิงสาวก็หันหลังขวับเดินหนีกลับเข้าไปในครัวทันที
โอ๊ย... ไม่น่าอุตส่าห์ลงมือทำขนมเองเลย คนอะไรมันน่าหาอะไรจิ้มตาชะมัด ตาสวยแต่ดุเป็นบ้า ใหญ่มาจากไหนกันถึงกล้ามาสั่งคนอย่างนิรันตรา อย่าให้ได้เจอกันอีกนะ…
หญิงสาวยังบ่นอย่างอึดอัดใจอีกเป็นพรวน และเมื่อหาอะไรลงไม่ได้ เธอก็ลงกับแป้งที่จะทำขนมปังสำหรับมื้อเย็นนี่แหละ
ทรรศน์มองตามลูกแมวตัวเล็กที่พองขนใส่เขาแล้วก็เดินเชิดหน้าหนีไป พลางนึกถึงคำพูดของเธอ
‘ฉันถือว่าฉันขอโทษตามมารยาทไปแล้ว คุณจะรับหรือไม่รับก็เรื่องของคุณ...’
แล้วชายหนุ่มก็ก้มมองถ้วยขนมหวานตรงหน้า ...ถ้าเขาไม่รับ ก็แปลว่าเขาไม่มีมารยาทสินะ
ทรรศน์เริ่มจัดการขนมหวานในถ้วยไปเรื่อยๆ เหมือนไม่ใส่ใจกับท่าทางโมโหของเธอ แล้วค่อยหยิบกระดาษเช็ดปากมาเขียนข้อความลงไป
...ขนมอร่อยมาก แต่ผมไม่ถือว่าเราหายกันหรอกนะ
เพราะคุณติดให้ผมเลี้ยง ไม่ได้ให้คุณมาเลี้ยงผมสักหน่อย…
อาหารมื้อนี้ทำให้ทรรศน์หายอารมณ์เสียเป็นปลิดทิ้ง และได้ความมั่นใจอีกอย่างว่าแม่ลูกแมวตัวเล็กไม่รู้จักเขาแน่นอน เพราะไม่เคยมีใครกล้าพูดเถียงหรือขึ้นเสียงกับเขาขนาดนี้ มันทำให้เขายิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ว่าเธอเข้าไปสมัครคัดเลือกนายหญิงด้วยทำไม
กำหนดการนัดสัมภาษณ์สำหรับรอบแรกนั้นมาถึงเร็วกว่าที่นิรันตราคิดไว้ถึงสามวัน และข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ทรรศน์ แสงสุรียฉัตร’ ที่ละมุนพรรณเพิ่งส่งมาให้เธอเมื่อเช้าก็แทบทำให้เธอตกเก้าอี้!
ทรรศน์กับไอ้ผู้ชายกวนประสาทคนนั้น ...เป็นคนเดียวกัน ตายๆๆ
นิรันตราต้องคิดหนักเพื่อเปลี่ยนแผนใหม่ เพราะท่าทางที่เธอเคยออกฤทธิ์ไว้กับเขาคงไม่เหมาะที่จะแสดงเป็นผู้หญิงที่หลงรักและอยากจะแต่งงานกับทรรศน์เสียจนตัวสั่น ดังนั้นบทที่เธออุตส่าห์ไปซักซ้อมกับเพลินพิศ แม่นักแสดงสาวที่พ่วงด้วยตำแหน่งนักเขียนบทหน้าใหม่ของวงการก็เป็นอันต้องพับเก็บไป
เอาไงดีวะเนี่ย… หญิงสาวเริ่มเครียดหนัก เพราะวันนี้เธอต้องเข้าไปสัมภาษณ์แล้ว เธอรีบอ่านและจดจำข้อมูลที่ละมุนพรรณให้มาจนจบ แล้วจึงเดินทางออกจากบ้าน ขณะขับรถไปที่อาคารซันไรส์เธอก็โทรศัพท์หาเพื่อนสาวอีกคน
“ไอ้เพิร์ล! ถึงคราวซวยแล้ว บทเก่าแกท่าจะใช้ไม่ได้แล้วว่ะ แกหาบทใหม่ให้ฉันด่วนเลยนะเว้ย” นิรันตรารีบโวยวายขอความช่วยเหลือ พร้อมอธิบายความบังเอิญที่เหมือนจะถูกสวรรค์กลั่นแกล้งให้เพื่อนฟัง
ผู้ช่วยอย่างเพลินพิศได้ยินเรื่องก็เงียบไปพักใหญ่
“เวลาเหลือน้อยอย่างนี้ มันก็ต้องเป็นบทที่เป็นตัวแกที่สุด ตอบคำถามไปตามที่แกคิดและที่แกเป็น พยายามอย่าโกหก ไม่อย่างนั้นพวกซันไรส์จับผิดแกได้ชัวร์ เพราะทางนั้นคงไม่โง่ อาจแถมนักจิตวิทยามาจับโกหกแกด้วย” ดาราสาวค่อยๆ วิเคราะห์หาทางออก
“แล้วถ้าเขาถามเหตุผลที่สมัครล่ะ” ตอนนี้นิรันตรายังนึกหาแรงจูงใจใหม่ไม่ออก
“เอาอย่างนี้ แกก็บอกไปว่าพ่อแกบังคับให้มา ไม่ได้โกหกนี่หว่า... พ่อแกให้มาจริงๆ ใช่ไหม” เพลินพิศเริ่มสวมวิญญาณนักเขียนบท
“แล้วถ้าพวกนั้นนึกใจดี ตัดฉันออกเพราะเห็นว่าฉันไม่เต็มใจมาล่ะ” คนที่ต้องการผ่านเข้ารอบให้ได้ยังแย้งหาจุดบกพร่อง
“แกก็บอกไปสิว่า… ถ้าหนูนิราไม่ได้เข้ารอบสุดท้าย คุณพ่อจะจับแต่งงานกับคนอื่น หนูนิราก็แอบหวังไว้ว่า พอเข้ารอบสุดท้ายแล้วคุณทรรศน์ไม่เลือกหนูนิรา หนูนิราจะได้หลุดจากการจับแต่งงานของคุณพ่อ ตามที่สัญญากันไว้… แค่เนี้ย” เพลินพิศพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่ฟังแล้วชวนคลื่นไส้ แต่นิรันตราก็ยังนึกอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออก
“เออ เอาอย่างนี้ก็ดี ดีกว่าบทที่แกให้ฉันซ้อมทีแรก พูดเองจะอ้วกเอง อะไรมันจะไปรักไปหลงได้ขนาดนั้น คิดแล้วก็ขนลุก บรื๋ออ…” นิรันตรานึกย้อนไปถึงบทพูดหวานเลี่ยนที่พร่ำเพ้อถึงความดีพร้อมของนายทรรศน์ ที่เพลินพิศแต่งขึ้นมาให้เธอท่องจำ
“อือ! ฉันใกล้ถึงถ้ำเสือแล้ว แค่นี้นะ เสร็จแล้วจะโทรไปรายงานผล”
นิรันตราพูดแล้วตัดสายไป เธอขับรถวนขึ้นไปตามอาคารจอดรถหาที่จอดเจ้ามินิคู่ใจ พอจอดรถเสร็จก็คว้ากระเป๋าผ้าใบใหญ่ขึ้นสะพายบ่าแล้วเดินเข้าไปในตัวอาคาร ทันทีที่ก้าวแรกผ่านประตูเข้าไป เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกความมั่นใจ
เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน
ภายในห้องรอสัมภาษณ์ นิรันตรามีโอกาสได้พบกับชมพูนุชอีกครั้ง และเธอคนนั้นก็ยังคงความเป็น ‘หญิงชมพู’ ด้วยชุดกระโปรงสั้นสีชมพูหวานที่มีเสื้อคลุมตัวสั้นสีขาวลายดอกไม้สีชมพูเล็กๆ ทับไว้อีกที และเพราะสีชมพูทั้งตัวของเธอนี่เองที่ทำให้นิรันตราสะดุดตาและจำเธอได้ตั้งแต่แรกเห็น จึงเดินเข้าไปทักทายอย่างอารมณ์ดีที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย
“สวัสดีชม นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอชมที่นี่” ชมพูนุชได้ยินเสียงทักทายก็เงยหน้าขึ้นมาจากนิตยสารที่อ่านอยู่
“อ้าว! นิรา ชมก็ไม่คิดว่านิราจะสนใจตำแหน่งนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน” ชมพูนุชทักด้วยน้ำเสียงบ่งบอกชัดถึงความแปลกใจ
“แหม... สาวๆ ตั้งมากมายพากันสนใจ แล้วทำไมนิราจะสนบ้างไม่ได้ล่ะ”
นิรันตราตอบ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างๆ หญิงชมพูที่นั่งอยู่ก่อน
“ก็วันที่เกิดเรื่อง ชมไม่เห็นว่านิราจะสนใจคุณทรรศน์สักเท่าไหร่เลย แถมวันต่อมายังกล้าเบี้ยวนัดที่อโณทัยอีก เชื่อชมไหมล่ะว่า... ถ้าเป็นสาวๆ คนอื่นในที่นี้ ต้องไม่มีใครยอมพลาดแน่ๆ ขนาดชมเอง ตั้งแต่วันนั้นยังตื่นเต้นไม่หายเลย” ชมพูนุชบอกด้วยใบหน้าเคลิ้มฝันที่ทำให้หญิงสาวอีกคนที่นั่งฟังอยู่ต้องแอบยิ้มแหย
“บังเอิญว่าที่ร้านอาหารของนิรามีเรื่องยุ่งๆ พอดีเด็กเสิร์ฟคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุขาแพลงมาทำงานไม่ได้ นิราเลยต้องลงไปช่วยเสิร์ฟแทน ปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย” นิรันตราบอกเหตุผล
“น่าเสียดายจังนะ แต่ว่าได้เจอกับนิราวันนี้ก็ดี เพราะวันนั้นยังไม่ทันได้ขอเบอร์ติดต่อนิราไว้เลย เดี๋ยวนะ... นี่นามบัตรชม” ชมพูนุชหยิบนามบัตรที่ยังคงเป็น สีชมพูหวานในกระเป๋าออกมายื่นแลกกับของนิรันตรา
“กลายเป็นว่ายังไม่มีใครได้เลี้ยงฮีโร่ของงานนี้เลย ไว้ยังไงซะชมจะโทรไปนัดทานข้าวอีกทีนะ แล้วชมก็ไม่ยอมให้นิราเบี้ยวนัดด้วย” หญิงชมพูทำเสียงขึงขังซึ่งดูไม่เข้ากับตัวเธอสักเท่าไหร่
“ถ้าอยากนัดเจอกันอีกก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่ว่าชมไม่ต้องเลี้ยงนิราหรอกนะ กลัวว่าชมจะหมดตัวซะก่อน ถ้าเจอพุงกระสอบอย่างนิรา” คนตัวเล็กพลางตบท้องขู่
“ตัวก็เท่านี้ จะกินเท่าไหร่กันเชียว... อุ๊ย! เขาเรียกเบอร์ชมแล้วล่ะ เดี๋ยวค่อยเจอกันนะ” ชมพูนุชพูดจบก็ลุกเดินไปยังประตูห้องที่มีหญิงกลางคนในชุดสูทสีฟ้าอมเทาเดินออกมาขานหมายเลข
หญิงสาวเจ้าของร่างเล็กกะทัดรัดที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางและการแต่งตัวดูสบายๆ ผมม้าที่รวบไว้ทำให้เธอดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมง ใบหน้ายิ้มน้อยๆ ขณะพูดแนะนำตัวบ่งบอกได้ถึงความมั่นใจในตัวเอง โดยรวมแล้วเธอสามารถเรียกความสนใจจากคณะกรรมการสอบสัมภาษณ์ได้พอสมควร
แล้วทางคณะกรรมการต้องแปลกใจกับแรงจูงใจในการเข้ามาสมัครคัดเลือกของเธอที่ต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ ที่มักจะตอบว่า เข้ามาเพราะความสนใจ หลงปลื้ม หรือรักชอบในตัวทรรศน์ ซึ่งก็มีทั้งที่เป็นตัวของทรรศน์จริง แต่ส่วนใหญ่ก็คงเป็นเพราะฐานะของเขามากกว่า และดูท่าแล้วร่างเล็กตรงหน้าไม่อยากจะได้รับเลือกจากทรรศน์เลยด้วยซ้ำไป ทำให้กรรมการหลายคนยิ่งให้ความสนใจและรู้สึกถูกชะตากับความไม่เสแสร้งของเธอเป็นอย่างมาก อีกทั้งด้วยคุณสมบัติที่เธอกรอกในใบสมัคร ก็ยิ่งทำให้พวกเขาอยากให้เธอผ่านเข้าไปถึงรอบสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ
การสอบสัมภาษณ์ก็เหมือนเป็นการจับโกหกคำตอบที่พวกเธอกรอกไว้ในใบสมัคร ดูท่าทางบุคลิกการวางตัว และดูไหวพริบของพวกเธอในการตอบคำถามแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ
แต่เมื่อการสัมภาษณ์ของนิรันตรามาถึงช่วงสุดท้าย เหล่าคณะกรรมการต่างต้องตกใจระคนแปลกใจ ที่อยู่ๆ ทรรศน์ก็เดินเข้ามาในห้องสัมภาษณ์จากประตูอีกบานหนึ่งซึ่งเชื่อมกับห้องด้านหลัง
“ไม่มีอะไร ผมแค่แวะเข้ามาดูเฉยๆ พวกคุณเชิญต่อกันได้เลย... ตามสบาย” ชายหนุ่มหยุดยืนกอดอกพิงผนังห้องรอฟังการสัมภาษณ์อยู่ไม่ไกลจากประตูที่เดินเข้ามามากนัก เขามองหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคณะกรรมการด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงอารมณ์อะไรให้พวกกรรมการได้จับผิด
“ครับคุณทรรศน์ กับคนนี้นี่ก็เหลือคำถามสุดท้ายแล้วครับ”
‘สิทธิพล’ ชายวัยกลางคนในชุดสูทภูมิฐาน หัวหน้าคณะกรรมการบอกด้วยสีหน้าเหมือนเกรงใจ เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มผู้มาใหม่ไม่เห็นด้วยและไม่ชอบใจกับการคัดเลือกแบบนี้เป็นที่สุด ในใจเขาไม่วายระแวงสงสัยว่าทรรศน์จะเข้ามาก่อกวนแกล้งตำหนิติติงแม่หนูตัวเล็กตรงหน้านี้หรือเปล่า
“คำถามสุดท้ายนี้ เป็นคำถามที่เราถามกับทุกๆ คนเหมือนกันหมด คำถามคือ ถ้าหากว่าวันพรุ่งนี้ซันไรส์กรุ๊ปจะต้องเจอกับการถูกฟ้องให้ล้มละลาย คุณจะทำอย่างไร และจะยังอยากแต่งงานกับคุณทรรศน์ที่เหลือแต่ตัวอยู่หรือเปล่า” คณะกรรมการชายคนหนึ่งถามคำถามขึ้นมาอย่างจริงจัง ขณะที่กรรมการคนอื่นๆ ก็ช่วยกันพิจารณาหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังยืนจ้องตากับทรรศน์อยู่
คำตอบสำหรับคำถามนี้ของแต่ละคนก่อนหน้านี้มีค่อนข้างหลากหลาย บ้างก็ว่า
‘มีเรื่องร้ายแรงอย่างนี้ สิ่งที่ทำได้ก็คืออยู่เป็นกำลังใจให้กับคุณทรรศน์ ให้สามารถต่อสู้กับปัญหาครั้งนี้ให้จงได้ค่ะ’
‘ดิฉันพอจะรู้จักกับทนายเก่งๆ อยู่หลายคน คุณพ่อก็พอมีเส้นสายกับทางอัยการอยู่ไม่น้อย คิดว่าน่าจะพอช่วยเหลือคุณทรรศน์กับซันไรส์ได้นะคะ’
‘ที่บ้านฉันก็มีเงินตั้งมาก มีหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ อีกหลายที่ กิจการของที่บ้านก็กำลังไปได้สวย ไม่ต้องกลัวเรื่องที่คุณทรรศน์จะลำบากหรอกค่ะ ดีซะอีกจะได้มาช่วยบริหารงานที่บ้านให้รุ่งเรืองเหมือนกับของซันไรส์’
ฯลฯ
และสำหรับคำถามที่สอง ทุกคนต่างตอบตรงกันก็คือ
‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังยืนยันที่จะแต่งงานกับทรรศน์ และอยู่เคียงข้างเขา โดยไม่คิดเปลี่ยนใจแน่นอน’
“ไม่รู้สิคะ” นิรันตราเอ่ยขึ้นมาลอยๆ หลังจากที่เล่นจ้องตากับคนตาดุอยู่พักหนึ่ง เธอหันกลับมามองใบหน้าสงสัยของคณะกรรมการ แล้วอธิบายคำตอบของเธอต่อ “ก็พวกคุณถามอะไรที่ดูเป็นไปไม่ได้ ฉันนึกภาพเครือธุรกิจที่มีพื้นฐานทางการเงินมั่งคงที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียอย่างซันไรส์กรุ๊ปต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นไม่ออก...”
“หรือถ้าหากจะเกิดวิกฤตจนต้องล้มละลายจริง นั่นก็แสดงว่าคนที่รับหน้าที่บริหารซันไรส์อยู่ต้อง อืม...” นิรันตราหยุดพูดแล้วแสร้งทำท่าเอียงคอขมวดคิ้วใช้ความคิด ก่อนจะปรายสายตากวนๆ ไปทางชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่หลังห้อง ถึงจะไม่โมโหเท่าที่ร้านวันนั้นแต่เธอก็ยังไม่หายเคืองเขาอยู่ดี
“ผู้บริหารคนนั้นคงต้องงี่เง่าไร้ความสามารถสุดๆ ชนิดลืมเอาสมองมาทำงานเลยล่ะค่ะ” พูดออกไปแล้วเธอก็นึกชอบใจตัวเองที่หลอกว่าทรรศน์ทางอ้อมได้ และยังนึกขำกับใบหน้าคณะกรรมการหลายคนที่หน้าซีดแอบชำเลืองมองไปทางชายหนุ่มที่ยังทำหน้าเรียบเฉยเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำสบประมาทเมื่อครู่ แล้วทั้งหมดก็หันกลับมาเมื่อคนปากกล้าเริ่มพูดต่อ
“ที่พวกคุณถามว่าฉันจะทำยังไง ก็ถ้าเขาไม่ได้เรื่องแบบนั้น ฉันก็ขอไม่ทำอะไรเลยดีกว่า เพราะลำพังแค่ตัวฉันคนเดียวจะเข้าไปช่วยเหลือพนักงานเป็นหมื่นๆ คนของที่นี่ได้ยังไงล่ะคะ” นิรันตรายิ้มเล็กๆ นัยน์ตาหยีลงให้กรรมการรับรู้ว่าที่เธอตอบไปนั้นไม่ได้จริงจังนัก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ ต่างพากันนึกกลัวแทนคนพูดที่ดูไม่ห่วงตัวเองเลย
“แล้วสำหรับคำถามที่สอง ฉันคงปฏิเสธที่จะแต่งงานแน่ๆ ค่ะ ก็ใครจะไปอยากแต่งกับคนไร้ความสามารถแบบนั้นล่ะคะ” เธอพูดไปทั้งหมดแล้วก็สงสารพวกกรรมการที่หน้าซีดลงเรื่อยๆ จึงต้องยอมพูดประโยคที่เธอไม่อยากให้นายทรรศน์คนนี้มาได้ยินด้วยเลย
“แต่ยังไงซะ ฉันก็มั่นใจว่าซันไรส์กรุ๊ปเข้มแข็งมั่นคงพอ ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์แบบนั้นแน่ๆ ค่ะ” นิรันตราพูดอย่างมั่นใจ ซึ่งมันก็ทำให้สีหน้าที่เคยซีดขาวของบรรดาชายหญิงตรงหน้าดูดีขึ้นบ้าง
“เอาล่ะ หมดคำถามสำหรับคุณแล้ว ถอดปลอกนิ้วนั่นออกได้เลยนะคะ” กรรมการคนหนึ่งบอกกับหญิงสาว
เมื่อได้ยินคำอนุญาต นิรันตราก็รีบทำตามอย่างยินดี เพราะรู้สึกรำคาญมันมาตั้งแต่แรก ปลอกนิ้วที่สวมอยู่ตรงปลายนิ้วชี้ข้างซ้ายมันทำให้เธอตอบคำถามตามแผนที่คิดไว้ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะรู้ว่ามันคือเครื่องจับเท็จรุ่นใหม่ที่อาศัยการจับจังหวะชีพจรที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงเป็นสัญญาณของการโกหก เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าที่นี่จะมีอุปกรณ์แบบนี้อยู่ด้วย
สิทธิพลรับฟังคำตอบของหญิงสาวแล้วคิดตามก็ได้รับรู้ถึงสารที่ซ่อนอยู่ เธอมั่นใจในความมั่นคงของซันไรส์ แถมยังนึกห่วงถึงพนักงานของที่นี่ด้วย ไม่ได้มองแค่เรื่องของเงิน ธุรกิจ หรือตัวทรรศน์เท่านั้นเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ
“เอาล่ะ ขอบใจมากนะที่มาในวันนี้ ผลเป็นยังไงทางเราจะติดต่อกลับไปอีกทีแล้วกัน” สิทธิพลบอกเสียงนุ่มซ่อนความเอ็นดู
“จะคัดกันไปก็เท่านั้น ผู้หญิงแต่ละคนมีสมองที่ไหน จะเข้ามาช่วยเหลือ ซันไรส์ได้เท่าไหร่กันเชียว” ทรรศน์พูดขึ้นมาในทันทีที่สาวร่างเล็กซึ่งแอบหลอกว่าเขาก้าวเดินออกจากห้องไป โดยที่เธอยังไม่ทันจะปิดประตูสนิทดีด้วยซ้ำ
“เสียเวลาจริงๆ ผมกลับไปทำงานดีกว่า พวกคุณก็เลิกคิดเลิกทำเรื่องไร้สาระพวกนี้สักทีเถอะ” พูดจบเขาก็หันหลังเดินกลับออกไปทางประตูบานเดิมที่เข้ามา
เท้าเล็กๆ เดินออกจากลิฟต์ได้เพียงสองสามก้าว นิรันตราก็ต้องตกใจเพราะเกือบเดินชนเข้ากับผู้ชายร่างสูงที่จงใจเดินก้าวเข้ามาขวางหน้าเธอ เธอก้าวหลบไปทางซ้ายก็เจอกับเขาที่ก้าวมาตรงกัน จะหลบไปทางขวาเขาก็ยังขยับตามมาเหมือนจะแกล้ง
“นี่!! หลบหน่อยสิ” คนตัวเล็กแต่ใจใหญ่เงยหน้าขึ้นมองจะเอาเรื่อง เธอจึงได้โอกาสเห็นหน้าคู่กรณีชัดๆ และนั่นก็ทำให้เธอนึกหวั่นใจขึ้นมาว่าชายหนุ่มจะตามมาหาเรื่องแก้แค้นที่เธอว่าเขาไปเมื่อครู่หรือเปล่า
“เจอกันอีกแล้วนะ นิรา... จะรีบไปไหนล่ะ ไม่ทักทายคนรู้จักกันหน่อยเหรอ” ทรรศน์เอ่ยอย่างไม่มีอารมณ์ขุ่นมัว จนหญิงสาวต้องมองหน้าเขาดีๆ อีกครั้งให้แน่ใจ แปลกใจว่าทำไมเขาดูไม่โกรธที่เธอว่าเขาตอนสัมภาษณ์เมื่อสักครู่นี้
งั้นก็ดี... ทำไม่รู้ไม่ชี้ตามน้ำไปก่อนดีกว่า
“สวัสดีค่ะคุณทรรศน์ แหม... ยินดีที่ได้เจอกันอีกค่ะ สบายดีไหมคะ” นิรันตราแกล้งยกมือไหว้พร้อมพูดเสียงหวานประชดเข้าให้
“ตัวก็สบายดีนะ แต่ใจสิ มันไม่ค่อยสบายนิดหน่อย เพราะวันนี้มีคนบางคนมาพูดอะไรไม่ค่อยจะเข้าหู มาหาว่าผมไร้ความสามารถ ไม่มีความรับผิดชอบ ทั้งที่ใครคนนั้นก็เคยไร้ความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง...เคยเบี้ยวนัดผมมาก่อน” ทรรศน์พูดและจ้องคนตรงหน้าให้รู้ว่าคนบางคนนั้นคือใคร
“นี่! มันจะอะไรนักหนานะ แค่ฉันไม่ได้ไปตามนัดครั้งเดียว คุณถึงกับต้องตามตอกย้ำกันอยู่ได้ ถ้าโกรธที่ฉันเบี้ยว ฉันก็ชดใช้ให้เป็นค่าอาหารที่ร้านแทนแล้วนี่” นิรันตราแกล้งชิงโวย ...เอาน่ะ โมโหกลบเกลื่อนไปก่อน ก่อนที่เขาจะมาโวยเรื่องในห้องสัมภาษณ์กับเธอ
“ผมก็แค่อยากรู้เหตุผล ว่าทำไมวันนั้นคุณถึงไม่ไป” ทรรศน์ถามอย่างคนใจเย็นกว่า แม้เขาจะชอบมองดูหน้าเธอที่ขึ้นสีเรื่อด้วยความโกรธแบบนี้ แต่เขาก็ยังอยากรู้สาเหตุมากกว่า
“เรื่องของฉันน่ะ!!” นิรันตราปากไวตอบออกมาเพราะอยากจะกวน แต่เมื่อมองไปเห็นสายตาที่เหมือนมีประกายดุลุกวาวขึ้นมาก็เริ่มลังเลที่จะหาเรื่องเขาต่อ
“ผมถามคุณดีๆ นะ นิรันตรา” ทรรศน์เรียกเน้นชื่อเธอเสียงเย็น ก่อนที่จะพยายามข่มความโกรธที่วูบขึ้นมาเมื่อครู่ลงไป
“แค่ที่ร้านมีปัญหาขาดคน ทำให้ฉันปลีกตัวไปไหนไม่ได้ ก็แค่นั้นแหละ ไม่เห็นจะต้องมาขู่กันเลย” ถึงจะเริ่มโมโหจริงๆ กับท่าทางของเขา แต่หญิงสาวก็ยอมตอบไปดีๆ เพราะรู้สึกได้ว่าการทำให้ผู้ชายตรงหน้าโกรธดูไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย
“แล้วทำไมไม่ติดต่อมา คุณก็รู้จักผมไม่ใช่หรือไง” ทรรศน์ล่อถาม
“ฉันเพิ่งมารู้ว่าคุณเป็นใครก็วันนี้นี่แหละ คิดว่าตัวเองดังจนใครต่อใครต้องรู้จักไปหมดหรือไง” นิรันตราตอบตามจริง ...ก็เพิ่งรู้จักจากข้อมูลของไอ้ละมุนเมื่อเช้านี้เอง
“ถ้าไม่รู้จักผม แล้วคุณจะมาสมัครที่นี่ได้ยังไงฮะ” ทรรศน์คาดคั้นไม่ปล่อย เขาไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเธอตอบในห้องสัมภาษณ์ที่เขาให้เรียวติดเครื่องดักฟังไว้เท่าไหร่ แม้เครื่องจับเท็จจะบอกว่าเธอไม่ได้โกหก แต่เขาคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น
“เฮ้อ! ทำไมต้องมาตอบคำถามซ้ำซากน่าเบื่อ ไม่คิดหรือไงว่าฉันอาจจะอยากรวยจนไม่สนใจว่าคุณจะเป็นยังไงก็ได้” นิรันตราลอยหน้าลอยตาตอบในสิ่งที่คิดว่าจี้ใจดำเขาที่สุด เขาจะได้ไปไกลๆ เลิกมาเข้าใกล้เหมือนจะจับผิดกันสักที
“อย่าพูดจาดูถูกตัวเองอย่างนั้น คุณไม่ใช่คนเห็นแก่เงินแน่ ผมมั่นใจว่าอ่านคนไม่ผิด” ทรรศน์บอกหลังจากที่แววตาสะดุดไปเพียงเล็กน้อยแล้วก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม ถ้าไม่สังเกตเขาอยู่ก็คงจับไม่ได้ แต่มีหรือที่หญิงสาวซึ่งจับตามองเขาอยู่จะไม่เห็น เธอรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเหมือนกัน
มีทุกอย่างนอกกายพรั่งพร้อมเกินไปก็ใช่จะดี... ชีวิตนี้จะหาคนจริงใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
หลังจากใช้เวลาเพียงพริบตาในการปรับอารมณ์ ทรรศน์ก็เอื้อมมือมาฉุดข้อมือคนตัวเล็กตรงหน้าให้เดินตามโดยไม่บอกกล่าว ไม่สนใจว่าแม่ลูกแมวตัวนี้จะทั้งสะบัดทั้งจิกทั้งข่วนมือเขาขนาดไหน และอาจจะมีแถมเท้ามาด้วย ถ้าไม่ติดว่าที่ตรงนี้มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ค่อนข้างหนาตา
“เอ๊ะ! คุณทรรศน์ นี่!! ปล่อยเดี๋ยวนี้ จะลากฉันไปไหน” นิรันตราโวยวายขืนตัวไม่ยอมไปกับเขา แต่ด้วยขนาดตัวที่เสียเปรียบอยู่มากทำให้ความพยายามของเธอไร้ผล ในตอนนี้เธอเหมือนปลิวติดมือคนตัวโตไปอย่างง่ายดาย
“ไม่ได้จะพาไปฆ่าทิ้งที่ไหนสักหน่อย อย่าโวยวายนักสิ ไม่อายใครต่อใครหรือไง แค่จะพาไปเลี้ยงข้าวที่ติดหนี้คุณอยู่ต่างหาก”
คนตัวโตใช้ความได้เปรียบทางร่างกายฉุดลากนิรันตรามาถึงรถของตนได้ในที่สุด ชนะเทพที่ยืนรออยู่จะเปิดประตูด้านหลังให้ แต่ทรรศน์กลับเอ่ยห้าม
“ไม่ต้องเชน วันนี้ฉันจะขับเอง”
พูดจบชายหนุ่มก็เปิดประตูด้านข้างคนขับและจับเอาคนตัวเล็กที่ยังไม่หมดฤทธิ์ให้เข้าไปนั่งในรถแล้วปิดประตูทันที เลขาหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รู้ใจ ขยับก้าวเข้ามายืนเฝ้าไว้เผื่อว่าเธอจะเปิดประตูหนีออกมา แล้วทรรศน์ก็เดินอ้อมไปก้าวขึ้นรถทางด้านคนขับ
“คาดเข็มขัดด้วย” หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เขาก็หันมาบอกหญิงสาวที่นั่งหน้างออยู่
“ไม่!! ฉันไม่ได้บอกว่าอยากจะไปกับคุณสักคำ คุณบังคับฉันมาเอง ถ้าตำรวจจะปรับก็เรื่องของคุณ” นิรันตรายกมือกอดอกตอบเสียงห้วน เธอเกลียดการถูกบังคับเป็นที่สุด แล้วยังเจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรคนคนนี้ไม่ได้เลย เพราะจะให้ใช้ความรุนแรงกับเขาก็คงใช่ที่ มีหวังแผนสายสืบลับๆ ของบิดาได้แตกหมด
“งั้นผมคาดให้เองก็ได้” ทรรศน์พูดนัยน์ตาพราวแล้วชะโงกหน้ามาทางฝั่งคนตัวเล็กทันที แต่มือที่กำลังจะคว้าสายเข็ดขัดก็ถูกมือเล็กปัดออกอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้อง! ทำเองได้” นิรันตราใช้มือทั้งสองดันคนตัวโตให้ออกห่าง รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นรัวเร็วขึ้นผิดปกติเมื่อเขายื่นหน้าเขามาใกล้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่โชยมาก็พาให้รู้สึกแปลกๆ
แค่ตกใจแหละน่า... เธอบอกกับตัวเอง ก่อนจะจัดการคาดเข็มขัดแล้วหันไปจ้องเขาไม่วางตาอย่างระแวดระวัง
“ผมเขินนะ” ทรรศน์แกล้งพูดพร้อมจ้องเธอตอบแล้วก็นึกสงสัย
เธอจะรู้ไหมนะว่าสีเรื่อๆ ที่อยู่บนใบหน้าตอนนี้ทำให้เธอดูน่ารักขึ้นตั้งเยอะ และเขาก็ชอบมองมัน... ไม่ว่าจะเรื่อขึ้นด้วยความโกรธที่เคยเห็นบ่อยๆ หรือเพราะขัดเขินแบบตอนนี้ก็ตาม
“อะไร...” นิรันตราส่งเสียงถามแบบไม่ค่อยไว้ใจคนที่นั่งจ้องหน้าเธอกลับเช่นกัน
เธอไม่ชอบนัยน์ตาแบบนี้ของเขาเลยจริงๆ มันดูพราวระยับเหมือนจะมีแผนอะไรบางอย่าง เธอไม่ชอบมันพอๆ กับแววตาหยิ่งๆ ของเขานั่นแหละ
“คุณจ้องผมไม่เลิกอย่างนี้ ผมก็เขินสิ ดูซิ... หน้าแดงไปหมดแล้ว” ปากก็ว่าเขิน แต่สองลูกตาของชายหนุ่มที่จ้องมองมาที่แก้มของเธอก็ทำให้นิรันตราเข้าใจได้ไม่ยาก เขาจงใจล้อเธอนั่นเอง
“ถ้าคุณยังพูดมาก หน้าคุณจะได้แดงยิ่งกว่านี้อีก จะหาอะไรฟาดให้อาบเลือดสักที” นิรันตราคว้ากระเป๋าทำท่าขู่กลบเกลื่อนความเขิน ก่อนจะทิ้งตัวพิงเบาะ
“ถ้าฉันไปกับคุณแล้วรถของฉันล่ะ” คำถามปลงๆ ของนิรันตรา ทำให้ทรรศน์ยิ้มออกมาอย่างสมใจ สุดท้ายเธอก็ต้องยอมไปกับเขา
“คุณก็จอดไว้ที่นี่ หรือไม่ก็เอากุญแจมาสิ เดี๋ยวผมให้คนของผมขับไปส่ง” ทรรศน์แบมือมาตรงหน้า แต่นิรันตรากลับส่ายหน้าจนผมหางม้าสะบัด
“ไม่มีทาง ฉันไม่ยอมให้ใครมาขับรถของฉันเด็ดขาด” คนตัวเล็กแกล้งสร้างปัญหา เธออยากไปด้วยรถของตัวเองมากกว่า ดูแล้วมันน่าจะมีทางหนีทีไล่มากกว่าต้องไปกับเขา
“งั้นทิ้งไว้ที่นี่ แล้วผมจะมาส่งคุณที่รถหลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้ว” ทรรศน์หาทางออก
“ตอนนี้ก็เย็นแล้ว กว่าจะทานเสร็จก็อาจจะดึก ฉันไม่ชอบขับรถกลางคืน” นิรันตรายังไม่ยอมแพ้
“งั้นเดี๋ยวคืนนี้ผมไปส่งคุณที่บ้าน แล้วพรุ่งนี้จะไปรับมาเอารถ” ในที่สุดทรรศน์ก็เริ่มจับจุดประสงค์ของเธอได้
“ไม่เอา พรุ่งนี้ฉันต้อง...” ...รีบไปเปิดร้านแต่เช้า แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดประโยคสุดท้าย ชายหนุ่มก็แทรกขึ้นมาอย่างรู้ทัน
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าผมจะรับคุณไปส่งที่ร้านให้แล้วกัน แล้วพอผมเลิกงานจะรับมาเอารถที่นี่… จบ! ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันอีก” พูดจบทรรศน์ก็ออกรถไปทันที พร้อมๆ กับที่คนจนมุมต้องถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของคนตรงหน้า ยิ่งพูดยิ่งเถียงอะไรก็ยิ่งเข้าตัว นิรันตราจึงได้แต่พยายามคิดในแง่ดีว่า
เอาเถอะ!.. ให้เขาเลี้ยงข้าวสักมื้อ จะได้หายโกรธเธอสักที และอีกอย่างลงว่าคนระดับทายาทแสงสุรียฉัตรเป็นเจ้ามือทั้งที คงมีขนมอร่อยๆ ให้เธอได้ทานไม่อั้นแน่ๆ
ร้านอาหารที่ทรรศน์เลือกเป็นสวนอาหารแถบชานเมืองที่สร้างเป็นบ้านไม้หลังเล็กน่ารักสีสันสดใสแยกเป็นสัดส่วนอยู่ในสวนที่ประดับไฟไว้อย่างสวยงาม ภายในบ้านแต่ละหลังมีโต๊ะอาหารเพียงสามสี่ตัวจัดวางแยกกันไปตามมุมต่างๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว
ที่โต๊ะ... ทรรศน์ก้าวเข้ามาเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวด้วยตัวเอง ก่อนที่ตัวเขาจะเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยมีบริกรเลื่อนเก้าอี้ให้อีกที เมนูอาหารถูกยื่นมาตรงหน้า
“สั่งตามสบายเลยนะ เดี๋ยวจะมาบ่นทีหลังว่าไม่คุ้มที่อุตส่าห์นั่งรถมาตั้งไกล” เจ้ามือบอกกับนิรันตราด้วยน้ำเสียงที่มีแววหยอกเย้า เพราะตลอดทางที่เขาขับรถมา ยังไม่ทันพ้นชั่วโมงแรก หญิงสาวก็เริ่มบ่นว่าทำไมจะต้องลำบากไปไกลขนาดนี้จะทานที่ไหนมันก็เหมือนกันหมด แต่พอเขาขับรถออกนอกเมืองมาได้ เธอก็เปลี่ยนจากบ่นว่าไกลเป็นหวาดระแวง กล่าวหาว่าเขาจะหลอกเอาเธอไปทำอะไรมิดีมิร้าย
น่าแปลก... เกือบสองชั่วโมงที่แม่ลูกแมวตัวนี้ส่งเสียงแง้วๆ อยู่ข้างหู เขาไม่รู้สึกรำคาญเธอเลยสักนิด กลับชอบที่จะพูดคุยต่อล้อต่อเถียงกับเธอ ไม่เหมือนพวกสาวๆ ที่เขาเคยควงมาก่อน
“คุณเปิดโอกาสให้ฉันเองนะ อย่ามาถอนคำพูดทีหลังแล้วกัน” นิรันตราขู่จบก็ก้มลงมองเมนูตรงหน้า
“สั่งมาเท่าไหร่ไม่ว่า แต่ช่วยรับผิดชอบให้หมดด้วย ไม่งั้นจะให้ช่วยจ่ายส่วนที่เหลือเอง” ทรรศน์แกล้งพูดดักคอ
“อยู่แล้วน่า คนอย่างนิรันตรา ไม่เคยกินทิ้งกินขว้างอยู่แล้ว” หญิงสาวตัวเล็กเงยหน้าตอบอย่างภาคภูมิใจ เพราะอย่างเธอฟาดเรียบเป็นอย่างเดียว ไม่เคยเหลือให้เสียของ แล้วก็หันไปสั่งอาหารกับบริกรที่ยืนรออยู่ ฝ่ายเจ้ามือที่ได้ยินต้องถึงกับเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่าเธอจะทานหมดตามที่ยืนยันไว้จริงหรือ ทำให้เขาได้รอยยิ้มกวนเหมือนจะท้าให้รอดูตอบกลับมา ทรรศน์เลือกสั่งอาหารและไวน์แดงให้กับตัวเอง เสร็จแล้วจึงหันกลับมาจ้องหน้านิรันตราที่ตอนนี้ยิ้มหันซ้ายหันขวามองการตกแต่งของร้านอย่างถูกใจ
ด้วยบรรยากาศอบอุ่นสบายๆ กับอาหารรสเลิศที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น และยอมพูดคุยกับทรรศน์เป็นปกติปราศจากอารมณ์ไม่ชอบหน้าอย่างที่ผ่านมา แล้วอารมณ์ของหญิงสาวก็ยิ่งดีมากขึ้น เมื่อได้ลิ้มลองขนมหวานที่คนพามาแนะนำว่าเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งก็คือ เค้กใบเตยนมสดที่มีเนื้อเค้กสีเขียวอ่อนหอมใบเตย แต่งหน้าด้วยครีมนมสดและเนื้อมะพร้าวอ่อนรสชาติหวานมันกำลังดี อืม... ลองทำให้พวกสามสาวชิมตอนวันนัดเจอกันคราวหน้าดีกว่า
ทรรศน์มองภาพเพื่อนร่วมโต๊ะที่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับขนมแบบไม่สนใจเขาที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอเลย ท่าทางเธอเวลาทานอะไรก็ดูมีความสุขน่าอร่อยไปหมด ทำให้มื้อนี้เขาเจริญอาหารขึ้นมากทีเดียว ชายหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม
“เป็นไงบ้าง เล่นทานอย่างเดียวไม่สนใจใครเลยนะ”
หญิงสาวได้ยินเสียงผู้ร่วมโต๊ะก็เงยหน้าละความสนใจจากเค้กเนื้อละมุนตรงหน้า
“ดีค่ะ อาหารอร่อยทุกอย่างเลย แล้วเค้กเนี่ย อืม... กินแล้วมีความสุขที่สุดเลย ถือว่าคุ้มค่าน้ำมันที่ต้องขับรถมาตั้งไกล” เธอตอบพร้อมยกนิ้วให้อย่างอารมณ์ดี แววตาฉายแววมีความสุขจริงๆ
“งั้นถือว่ามื้อนี้เป็นตัวแทนสัญญาสงบศึกระหว่างเราแล้วกันนะ” พอสบช่อง ชายหนุ่มก็รีบฉวยโอกาสรวบรัด
“ถ้าคุณไม่มองฉันด้วยสายตาหยิ่งๆ กับทำเสียงดุๆ ให้ฉันหมั่นไส้ก่อน ฉันก็ไม่เคยไปหาเรื่องอะไรคุณก่อนสักหน่อย” นิรันตราโยนความผิด
“แต่เอาเถอะ จากนี้ไปฉันจะนับว่าคุณเป็นเพื่อนใหม่แล้วกัน แล้วตอนนี้... ถ้าเพื่อนใหม่ของคุณอยากขอสั่งเค้กเพิ่มอีกชิ้น จะได้ไหมคะ” ฝ่ายนิรันตราก็รีบฉวยโอกาสใช้สิทธิ์ของความเป็นเพื่อนบ้าง
“ถ้าคุณยังไหวก็ตามสบายเลย จะสั่งกลับบ้านด้วยไหม” ทรรศน์ถามทีเล่นทีจริง พลางนึกสงสัยว่า ...ลูกแมวตัวนี้กินจุดีจริงๆ แต่ทำไมยังตัวเล็กกระจิดเดียวเอง
พร้อมกับเริ่มวางแผนในใจว่าจะทำอย่างไรกับลูกแมวตัวนี้ดี
นิรันตรากำลังก้าวลงบันไดมาจากชั้นสองของตัวบ้าน แต่เสียงของผู้ชายสองคนที่พูดคุยกันในห้องนั่งเล่นก็เรียกให้คิ้วเรียวของเธอขมวดขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะเสียงหนึ่งเป็นของพ่อของเธอแน่ๆ แต่อีกเสียงนี่สิ มันไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้ เธอจึงเดินเข้าไปดูให้แน่ใจ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนที่กำลังคุยอยู่กับบิดาของเธอ
“อ้าวนิ! มาพอดี มีคนมารอรับแน่ะ” กษมาบอกพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ
“คุณมาได้ยังไง” นิรันตราถามขณะก้าวเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าชายทั้งสอง
“ก็ผมบอกแล้วว่าจะมารับไปส่งที่ร้านให้”
“ฉันว่าฉันบอกคุณไปแล้วนะว่าจะให้รถที่บ้านไปส่ง ไม่ต้องลำบากคุณมารับ” ถึงจะยอมญาติดีกับเขาแล้ว แต่เธอก็ไม่ชอบให้ใครมาก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของเธอมากเกินไป
“ไม่เห็นลำบากตรงไหน ผมบอกจะมาก็มาสิ” ทรรศน์ชักไม่ค่อยชอบใจเมื่อรู้สึกถึงกำแพงที่เธอเริ่มสร้างขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่นิรันตราจะได้ตอบอะไร กษมาก็เอ่ยห้ามทัพขึ้นก่อน
“เอาน่าลูก ไหนๆ เพื่อนก็มารับแล้ว อย่าให้เขาเสียเที่ยวเลย แต่ก่อนอื่นไปทานข้าวเช้ากันก่อนดีกว่า แม่เขารอแย่แล้ว” กษมาเดินเข้ามาลูบหัวและดันหลังลูกสาวไปทางห้องอาหาร และไม่ลืมหันหลังมาเอ่ยชวนแขกหน้าใหม่ของบ้าน
“เชิญคุณทานกับเราด้วยนะ”
ทรรศน์ลุกขึ้นตามคำชวน และเดินตามสองพ่อลูกที่เกาะแขนหยอกล้อกันออกไป ภาพที่เห็นทำให้เขาเผลออมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
จนเมื่อเรียบร้อยจากมื้อเช้า นิรันตราจึงขึ้นรถออกจากบ้านไปพร้อมกับทรรศน์ โดยมีกษมาและภรรยายืนมองตาม
“แผนครั้งนี้ท่าจะง่ายกว่าที่คิดนะ คุณว่าไหม” กษมาหันมาพูดกับคนข้างตัว
“แต่รดาก็ยังอดเป็นห่วงลูกไม่ได้ แกชอบทำอะไรเป็นเล่นไปหมด คุณก็เตือนๆ ให้แกระวังตัวด้วยนะคะ” นิรดาพูดด้วยความเป็นห่วงตามประสาของคนเป็นแม่
ขณะที่ทรรศน์ขับรถมาเกือบจะถึงร้านอาหารของหญิงสาว กลุ่มคนที่มุงดูอะไรบางอย่างอยู่ที่ป้ายรถเมล์ก็เรียกความสนใจจากนิรันตราที่กำลังนั่งมองข้างทางอยู่เพลินๆ ให้หันไปมอง หลังจากเพ่งมองแล้วเธอก็เห็นถึงสิ่งผิดปกติ
“เดี๋ยวคุณ!! จอดรถหน่อย” นิรันตราร้องบอก มือก็คว้าแขนเสื้อคนขับรถกิตติมศักดิ์เขย่าเร่งให้จอด
“ใจเย็นสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” ทรรศน์พยายามชะลอรถเข้าข้างทาง แต่ยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิท คนใจร้อนก็รีบก้าวลงจากรถวิ่งไปทางกลุ่มคนทันที
“เดี๋ยวนิรา! รอก่อน!” ทรรศน์รีบล็อกรถแล้ววิ่งตาม ชายหนุ่มพยายามแทรกตัวฝ่าฝูงชนเข้าไปบ้างแต่ก็เป็นไปอย่างค่อนข้างลำบากกว่าอีกฝ่าย
ภาพที่นิรันตราได้เห็นที่ป้ายรถเมล์ คือชายผอมโซอายุประมาณเกือบสามสิบปีที่มีหมวกและแว่นดำปิดหน้าปิดตา สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำตาลมีคราบเปื้อนอยู่หลายแห่ง เบื้องหน้าชายคนนี้คือหญิงชราที่ถูกจับล็อกคอไว้เป็นตัวประกัน มือข้างขวาของเขาถือปืนจ่อไว้บริเวณใบหน้าหญิงชราที่ตอนนี้ร้องห่มร้องไห้แข้งขาอ่อนเหมือนจะเป็นลม โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายพยายามเข้าควบคุมสถานการณ์และพูดเกลี้ยกล่อมให้ชายหนุ่มยอมมอบตัว
จากบทสนทนาโต้ตอบระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนร้าย ทำให้หญิงสาวเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ว่า ชายคนนี้ถูกนายตำรวจนอกเครื่องแบบล่อซื้อยาเสพติดและพยายามหลบหนีการตามจับ จนเมื่อเข้าตาจนก็จับหญิงชราเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองให้ปล่อยตัวเขาไป ดูจากลักษณะแล้วชายคนนี้เองก็น่าจะมีอาการจิตหลอนที่เกิดจากยาเสพติดอยู่ด้วย เหตุนี้ฝ่ายตำรวจจึงยังไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
“คุณยายขา! ฮือๆๆ” นิรันตราร้องตะโกนบีบน้ำตาเรียกความสนใจจากทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนร้ายที่หันมามองทางเธอเช่นกัน
“คุณยาย!! ฮึกๆๆ” เธอแกล้งยกมือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น
“หนู... หนูให้รออยู่นี่เดี๋ยวเดียว... แค่จะไปเข้าห้องน้ำหน่อย... ฮึก... กลับมา... แล้ว... ฮือ ทำไม...ฮือๆๆ” หญิงสาวพูดติดๆ ขัดๆ เพราะ... คิดบทไม่ทัน!
“เฮ้ย!! มาร้องไห้อะไรวะ หนวกหู!” คนร้ายตะโกนด่าทอมาทางหญิงสาวร่างเล็ก ทำให้เธอแอบยิ้มที่เรียกความสนใจได้ ก่อนจะยกมือทำท่าเช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นมา
“น้า... น้าจ๋า... ปล่อยยายของหนูไปเถอะนะจ๊ะ... น้าจ๋า...” นิรันตราแกล้งทำหน้าอ้อนส่งเสียงหวาน
“ไม่ต้องมาพูดให้โง่! ขืนกูปล่อยยายมึง พวกตำรวจมันก็มาลากกูเข้าตะรางสิวะ!!” คนร้ายตะโกนตอบ
“งั้นน้าเอาหนูไปแทนก็ได้” นิรันตราอาสาแข็งขันจนทุกคนในที่นั้นต้องหันมาทางเธออย่างไม่เชื่อหู
“หนูสงสารยาย แกยิ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย ตกใจมากไม่ได้...” น้ำตาเป็นสายยังไม่หยุดไหลจากสองตา “ดูสิ ฮือ... ยายหนูจะเป็นลมอยู่แล้ว... ยาย!!” เธอกรีดร้องเสียงหลงเมื่อเห็นหญิงชราหมดสติไป “ยายจ๋า…”
“บ๊ะ!! อีแก่นี่ เป็นลมไปซะแล้ว ทั้งหนักทั้งเกะกะเลยโว้ย!” เมื่อร่างไร้สติของหญิงชราทิ้งน้ำหนักตัวลงมา ชายติดยาก็เริ่มโวยวายและเห็นว่าหญิงชรากลายเป็นภาระในการหลบหนี
“เฮ้ย!! แกเป็นหลานอีแก่นี่ใช่ไหม ถ้าใช่ก็เดินมานี่!”
คำสั่งของคนร้ายทำให้หญิงสาวพยักหน้าตอบซื่อๆ แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาช้าๆ
“อย่านะหนู!” นายตำรวจคนหนึ่งตะโกนห้าม
“เฮ้ย! ถ้าแกไม่มาอีแก่นี่ตายแน่” มันขู่ซ้ำพร้อมเดินถอยหลังให้ห่างกลุ่มคนไปอีก ก่อนจะทิ้งตัวหญิงชราลงกับพื้นและเล็งปืนขู่
“อย่านะ!!” นิรันตราร้องห้าม
“งั้นเดินมานี่! ช้าๆ นั่นแหละ”
นิรันตราค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ ตาก็จ้องอยู่กับปืนที่เริ่มส่ายไปมาเพื่อขู่ไม่ให้ใครเข้ามาขัดจังหวะการเปลี่ยนตัวประกัน หญิงสาวรอโอกาสตอนที่เจ้าโจรมันขยับหันกระบอกปืนมาทางเธอ เมื่อระยะห่างพอดีเธอก็เตะขาขึ้นสูงฟาดปลายรองเท้าเข้าบริเวณข้อมือด้านที่ถือปืนอยู่อย่างแรง ทำให้อาวุธในมืออีกฝ่ายกระเด็นหลุดไป ขณะที่คนร้ายเสียหลัก ร่างเล็กที่เต็มไปด้วยพิษสงก็หมุนตัวศอกกลับเข้าที่คอหอยและใช้ฝ่ามือด้านล่างเสยเข้าที่ปลายคางของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว... เป็นผลให้มันต้องหงายหลังล้มทั้งยืน
ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์สองคนรีบเข้าไปตะครุบรวบใส่กุญแจมือและควบคุมตัวคนร้ายไว้ ส่วนอีกคนก็แยกไปเก็บอาวุธปืนไว้เป็นหลักฐาน
นิรันตรารีบปราดเข้าไปดูอาการของหญิงชราที่ล้มฟุบอยู่ทันที เมื่อครู่คนร้ายมันทิ้งตัวหญิงชราลงมาอย่างไม่เบามือเลย เธอจึงต้องเช็กดูว่ามีแผลกระแทกตรงไหนหรือเปล่า แผลฟกช้ำตามตัวหญิงชรานั้นดูไม่น่าเป็นห่วง แต่ที่น่ากลัวก็คือตรงหน้าผากที่มีเลือดซึมออกมา เห็นแล้วหญิงสาวถึงกับสบถโมโหอยู่ในใจ
ฟาดแค่สามทียังน้อยไปสำหรับไอ้คนรกโลก... เธออยากจะตามไปซ้ำมันอีกสักรอบสองรอบ แต่ก็ทำได้แค่มองตามมันถูกตำรวจพาตัวไปขึ้นรถโดยต้องผ่านไม้ผ่านมือของประชาชนที่ช่วยกันประชาทัณฑ์มันไปคนละทีสองที
หวังว่าคงไม่ช้ำในตายไปก่อจะได้รับโทษในคุกแล้วกัน... คิดแล้วเธอก็หันมาปลดกระดุมเสื้อของหญิงชราออกให้ไม่รู้สึกอึดอัด
ทรรศน์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ก้าวเร็วๆ เข้ามาย่อตัวนั่งลงข้างคนตัวเล็กแล้วมองเธออย่างสำรวจ ตอนที่เห็นเธอเดินเข้าไปหาไอ้คนร้ายนั่น แม้เขาจะนึกเป็นห่วงมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกลัวจะไปขัดขวางแผนของเธอแล้วทำให้เรื่องยิ่งเสี่ยงไปใหญ่
“ผมโทรเรียกรถพยาบาลให้แล้ว สักพักคงมาถึง” ทรรศน์บอกนิรันตราที่ตอนนี้กำลังเอายาดมที่ค้นจากในกระเป๋ามาจ่อที่จมูกของหญิงชรา
“เป็นยังไงบ้าง” ทรรศน์ถามพลางมองสำรวจไปทั่วร่างเล็ก น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยชัดเจน
“ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ แผลที่หัวนี่อีก... น่าเป็นห่วงมากเลย”
“ผมถามถึงคุณต่างหาก ทีหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ ให้ต้องเป็นห่วงอย่างนี้อีกนะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมแววตาที่ยืนยันความหมายของคำพูดได้เป็นอย่างดี นิรันตราที่หันหน้ามาสบสายตานั้นเข้าก็รู้สึกได้ว่าใจตัวเองกระตุกไปเหมือนกัน จึงหลบตาเสไปมองทางคนร้ายที่กว่าจะขึ้นท้ายรถตำรวจไปได้ก็สะบักสะบอมเต็มที
“สมน้ำหน้า! แต่มันน่าจะเจอหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ” เธอว่าอย่างใส่อารมณ์แก้ความรู้สึกเขินแปลกๆ ที่เกิดขึ้น
“เจอศอกเต็มๆ ที่คอหอยก็ทรมานไม่น้อยแล้วนะ” ทรรศน์แกล้งลูบคออย่างหวาดๆ ...ทั้งคอหอยทั้งปลายคาง สาวตรงหน้าเขาเล่นแต่จุดอันตรายทั้งนั้น
“หึ!!” นิรันตรากระแทกเสียงเหมือนยังโมโหไม่หาย
“แต่ที่ผมยังสงสัยก็เป็นน้ำตาของคุณนี่แหละ ไปบีบมาจากไหนกันถึงไหลพรากๆ ได้ขนาดนั้น ฮึ” คนที่สังเกตการณ์อยู่ตลอดถามอย่างสงสัย
“แหม... เรื่องแค่นี้ รู้จักมารยาหญิงไหมคุณ มันเป็นเคล็ดลับเฉพาะ บอกผู้ชายไม่ได้” นิรันตราตอบลงท้ายเสียงสูง ยกมือขึ้นโบกไปมาให้ชายหนุ่มเลิกสนใจ
และนั่น... ก็ทำให้คนถามได้กลิ่นหอมเย็นๆ ที่โชยมาจากมือของเธอ ไอ้มารยาหญิงตราวาเป็กซ์ที่เธอให้คุณยายดมอยู่นั่นแหละ
นี่คงป้ายไปซะเยอะ ดูสิ! ตอนนี้ในตาโตๆ ยังมีน้ำตาคลออยู่เลย...
นึกแล้วทรรศน์ก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับสิ่งที่ได้รู้
อ่านต่อ >> กับดักที่ 5 : งานเลี้ยง
หรือเป็นเจ้าของความฟินกันแบบเต็มๆ ได้เลย!
สั่งซื้อรูปเล่ม... ที่เว็บ สนพ. Coolkat หรือร้านหนังสือออนไลน์
โหลดฉบับอีบุ๊ค... ได้ตามแหล่งที่ถูกใจเลยค่ะ
โหลดฉบับอีบุ๊ค... ได้ตามแหล่งที่ถูกใจเลยค่ะ
Meb : https://goo.gl/b1pvx7
The1Book : https://goo.gl/sE3v54
Hytexts : https://goo.gl/aD9WaA
Ookbee : https://goo.gl/d6C85o
NaiinPann : https://goo.gl/J4zsB2
Dek-D : https://goo.gl/Ly4x67
No comments:
Post a Comment