ตีพิมพ์ครั้งแรก โดย สนพ. คูลแคท
เผยแพร่ฉบับอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
เผยแพร่ฉบับอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
ฉากที่ 4 : คู่แข่งหัวใจ
บริเวณชั้นสิบสองของอาคารซันไรส์ เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทซูไรการ์ด บริษัทที่ให้บริการด้านการรักษาความปลอดภัยครบวงจร ทั้งที่เป็นรายบุคคล หรือประจำสถานที่และงานสำคัญต่างๆ และในช่วงหลังทางบริษัทก็กำลังขยายกิจการให้ครอบคลุมงานด้านที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมความสามารถให้เหล่าบอดี้การ์ดอาชีพ รวมถึงการสอนศิลปะการป้องกันตัวให้แก่ผู้ที่สนใจอีกด้วย
ท้องฟ้านอกอาคารกำลังมืดลงเรื่อยๆ แต่คนที่อยู่ในห้องทำงานด้านในสุดของชั้นกลับไม่ได้สนใจลุกขึ้นไปเปิดไฟให้ห้องสว่างขึ้นแต่อย่างใด คิ้วเข้มของชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ขมวดย่นเข้าหากันอย่างคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก บนจอเบื้องหน้าปรากฏภาพของชายชาวญี่ปุ่นวัยสี่สิบเศษ เจ้าของผมยาวตรงเป็นมันปลาบที่เจ้าตัวมัดรวบไว้ติดท้ายทอย ชายหนุ่มอ่านบรรดาข้อความที่ถูกส่งมาพร้อมกับภาพแล้วก็เหยียดยิ้มออกมาที่มุมปาก ดวงตาสีดำสนิทของเขาที่จับจ้องไปยังรอยแผลเป็นจางๆ ตรงหางตาของคนในภาพยังคงฉายแววสงบนิ่งเหมือนเคย ยากจะคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แล้วความคิดที่เริ่มจมดิ่งกลับสู่อดีตของเขาก็ถูกเรียกคืนมาด้วยเสียงโทรศัพท์ทำนองเฉพาะตัวสำหรับคนพิเศษ เรียวยื่นมือขาวสะอาดไปคว้าโทรศัพท์เครื่องเล็กที่กำลังสั่นครืดๆ อยู่บนโต๊ะขึ้นมารับสาย
“ครับแม่...” น้ำเสียงของเขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอเวลาที่พูดกับคนพิเศษที่ปลายสายคนนี้
‘ซาโยริ’ หญิงอายุสี่สิบตอนปลายที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้หญิงที่มีลูกชายอายุย่างเข้าวัยยี่สิบหกแล้วอย่างเขา อาจเพราะนางเป็นผู้หญิงร่างเล็กและยังไว้ผมหน้าม้าเลียนแบบพวกวัยรุ่นสาวๆ หรืออาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ของความอ่อนเยาว์ที่เห็นได้ชัดจากยายของเขาก็ไม่อาจทราบได้ ซึ่งกรรมพันธุ์ชั้นดีนี้ เรียวก็ได้รับตกทอดมาด้วย แต่รูปร่างสูงใหญ่กับบุคลิกนิ่งขรึมของเขาได้กลบเค้าความอ่อนเยาว์นั้นหายไปเสียหมด คงไว้แต่ผิวพรรณและโครงหน้าอันหล่อเหลาเท่านั้น
“เรียวมะ...” ชื่อนี้มีแค่มารดาคนเดียวเท่านั้นที่ยังใช้เรียกเขาอยู่ “ค่ำนี้ลูกมีงานที่ไหนหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ แม่มีอะไรหรือครับ” เสียงนุ่มตอบพร้อมกับคลิกเมาส์เลือกลบอีเมล์ที่เขาได้รับมาเมื่อครู่ทิ้ง
“พวกนักเรียนที่มาเรียนกับแม่เขาแนะนำร้านอาหารมาร้านหนึ่ง แม่ว่าน่าไปมากเลยล่ะ” ซาโยริที่ตอนนี้เป็นครูสอนชงชาอยู่ที่โรงเรียนสอนวัฒนธรรมนานาชาติเกริ่นนำเข้าเรื่องที่โทรมาหาลูกชาย
“ร้านอะไรหรือครับ” เรียวถามแล้วสั่งปิดคอมพิวเตอร์ ขณะรอให้หน้าจอจบการทำงานก็หยิบปืนจากลิ้นชักใต้โต๊ะมาเหน็บไว้กับซองหนังข้างลำตัวตามความคุ้นเคยที่ต้องพกมันไว้คู่กายเสมอ ก่อนจะสวมสูทสีดำทับลงไป
“เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนจ้ะ อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนที่แม่สอนเท่าไหร่”
ซาโยริโฆษณาชวนเชื่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่ลูกชายจะยอมตกลงอย่างง่ายดาย
“งั้นเดี๋ยวผมไปหาแม่ที่โรงเรียนก่อนแล้วกันนะครับ แล้วค่อยไปที่ร้านพร้อมกัน” เรียวบอกก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ ทิ้งห้องทำงานที่มืดสนิทและเรื่องราวที่ผ่านตามาเมื่อสักครู่ไว้เบื้องหลัง
เมื่อหนึ่งคุณแม่ยังสาวกับหนึ่งลูกชายตัวโตมาถึงร้าน ทั้งสองก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อพนักงานต้อนรับแจ้งว่าโต๊ะสำหรับค่ำนี้ถูกจองจนเต็มหมดแล้ว
“แม่ก็ลืมนึกไปเลยว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ต้นเดือน” ซาโยริบ่นกับลูกชายขณะเดินกลับมาที่รถ
“มันคงจะไม่เต็มหรอก ถ้าพวกนั้นไม่แห่มาเลี้ยงฉลองกันที่นี่” ว่าพร้อมชำเลืองมองไปยังโต๊ะใหญ่กลางร้านที่มีชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดพนักงานบริษัทนั่งกันอยู่ร่วมสิบคน
เรียวก้มลงมองท่าทางเอาเรื่องของมารดาแล้วอดหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้ เพราะภาพภายนอกและหน้าที่การงานของซาโยริต้องดูสุภาพนุ่มนวลและเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว แต่ความจริงแล้วคุณแม่คนนี้กลับเป็นสาวห้าวขัดกับบุคลิกภายนอกไม่น้อยเลยทีเดียว
“เราไปร้านอื่นก็ได้ครับ ผมมีร้านหนึ่งมาเสนอ”
เรียวไม่อยากให้มารดาต้องผิดหวังจึงเสนอชื่อร้านอาหาร ‘อิ่มสุข’ ที่คู่หมั้นสาวของเจ้านายร่วมลงขันกับเพื่อนอีกสามคนเปิดขึ้น และหนึ่งในหุ้นส่วนก็คือ ‘เพลินพิศ’ ดาราสาวที่เขาเพิ่งได้เจอเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งที่ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงคิดถึงร้านนี้ขึ้นมา
“ก็ได้ ไปไหนไปกัน”
ซาโยริควงแขนลูกชายและออกแรงดึงให้เดินเร็วๆ ไปทางที่รถจอดอยู่ แต่ไปได้ไม่ไกลก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองลูกชายที่หยุดเดินกะทันหัน เธอมองตามสายตาของเขาไป ก็พบกับชายหญิงคู่หนึ่งที่เพิ่งเปิดประตูลงจากรถ
“คนรู้จักเหรอเรียวมะ”
“ครับแม่” เรียวหันมาตอบ ก่อนจะหันกลับไปมองหญิงสาวที่กำลังเดินตรงมาทางเขา
วันนี้เปลี่ยนมาควงอีกคนเสียแล้ว
“สวัสดีครับคุณเพิร์ล” บอดี้การ์ดหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน
“สวัสดีค่ะคุณเรียว มาทานอาหารที่นี่เหมือนกันหรือคะ” เพลินพิศยิ้มแย้มตอบ เลี่ยงที่จะถามถึงหญิงสาวที่ควงแขนชายหนุ่มอยู่ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
เห็นนิ่งๆ นี่ร้ายไม่เบาเลยนะ ควงสาวรุ่นพี่แถมยังสวยซะด้วย
“ว่าจะมาทาน แต่ไม่ได้ทานแล้วล่ะครับ”
“อ้าว... ทำไมล่ะคะ นึกว่าทานเสร็จเรียบร้อย แล้วกำลังจะกลับซะอีก”
“พอดีเราไม่ได้จองโต๊ะไว้ก่อนจ้ะ มาถึงโต๊ะก็เลยเต็มหมด แย่จริงๆ” ซาโยริตอบ ก่อนจะหันไปบอกลูกชาย
“เอาไว้คราวหน้าค่อยมากันใหม่แล้วกันนะเรียวมะ”
เพลินพิศได้ยินชื่อที่ฝ่ายหญิงเรียกบอดี้การ์ดหนุ่มก็แสดงความสงสัยออกมาทางสีหน้าเล็กน้อย เรียวที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงดังนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน
“คุณเพิร์ลครับ นี่... คุณแม่ผม แม่ซาโยริ”
พอได้ยินเท่านั้น แววตาสงสัยของดาราสาวก็เปลี่ยนเป็นตกใจทันที
นี่แม่จริงๆ เหรอ ยังสาวขนาดนี้เนี่ยนะ! แล้วก็ไม่บอกแต่แรก ไอ้เราก็หลงผิดคิดอกุศลไปตั้งเยอะ
ยืนอึ้งอยู่ได้ไม่นาน สาวหมวยก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่ต้นแขนจากชายหนุ่มข้างๆ เร่งให้เธอแนะนำเขาบ้าง
“นี่พี่ไก่ ผู้จัดการส่วนตัวของฉันเองค่ะ แล้วนี่ก็คุณเรียว หลานชายของคุณคาโมประธานของซูไรการ์ดค่ะ”
เพลินพิศแนะนำ พอได้เห็นสายตาของศุภชนม์ที่มองไปทางหนุ่มญี่ปุ่นมาดนิ่งก็นึกปลงในใจ เอาอีกแล้วพี่ไก่ มิน่าล่ะ เมื่อกี้ถึงเร่งกันจริง
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ศุภชนม์ยิ้มหวานพร้อมคำทักทาย ก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้า
“เช่นกันครับ” เรียวจับมือหนุ่มตาสวยเขย่าเบาๆ สองสามที ก่อนจะปัดความรู้สึกแปลกๆ กับสายตาของอีกฝ่ายออกทันทีที่ชายหนุ่มถามขึ้น
“ได้ยินว่าไม่มีโต๊ะว่าง ถ้าไม่รังเกียจจะใช้โต๊ะของเราก็ได้นะครับ” ศุภชนม์เสนออย่างใจดี
“ไม่ดีหรอกครับ พวกคุณอุตส่าห์จองไว้แล้ว” เรียวรีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ร้านนี้เป็นของบ้านพี่ไก่เอง นี่คงอยากจะหาลูกค้าเพิ่มมากกว่า” เพลินพิศกระทุ้งศอกเข้าที่ลำตัวของผู้จัดการหนุ่มเบาๆ “ทำดีหวังผล ใช่ม้า...”
“แล้วพวกหนูล่ะจ๊ะ” ซาโยริถามขึ้นด้วยท่าทางลังเล
“เพิร์ลสบายๆ อยู่แล้วค่ะ ทานที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวพี่ไก่ก็หาที่นั่งให้เพิร์ลเอง เพิร์ลมาเป็นตัวกินฟรี เรื่องมากไม่ได้”
“งั้นถ้าพี่อันเชิญเราไปนั่งที่ห้องเก็บของก็ได้ใช่ไหม” ศุภชนม์หยอกดาราสาวเล่น ก่อนจะอธิบายเพื่อไม่ให้แขกทั้งสองนึกเกรงใจหรือปฏิเสธ
“เพิร์ลเขามีที่ประจำอยู่แล้วล่ะครับ วันนี้เราแค่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศนั่งโต๊ะในร้านเฉยๆ”
คำพูดที่ศุภชนม์ต้องการให้คนฟังทั้งสองสบายใจ กลับทำให้เรียวเห็นถึงความสนิทสนมของทั้งคู่มากยิ่งขึ้น สงสัยที่ไม่อยากให้เป็นข่าวกับหนุ่มลูกครึ่ง คงเพราะกลัวถูกคนนี้จับได้มากกว่าละมั้ง
“นี่ก็เลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้ว เชิญคุณน้ากับคุณเรียวในร้านเถอะค่ะ” เพลินพิศชักชวน พร้อมกับจูงมือซาโยริให้เดินกลับเข้าไปในร้าน
“ขอบใจมากนะจ๊ะ” ซาโยริยิ้มมองบรรยากาศรอบตัวอย่างถูกใจ เมื่อเพลินพิศเดินมาส่งถึงโต๊ะในส่วนชานระเบียงเปิดโล่งด้านข้างตัวร้าน
เบื้องหน้าเธอเป็นโต๊ะไม้ตัวกลมปูผ้าลายหมากรุกสีขาวแดง กลางโต๊ะมีเทียนแฟนซีรูปหัวใจสีแดงจุดสว่างอยู่ในที่ครอบแก้ว โคมไฟสีนวลและกระถางไม้ดอกสีสดประดับอยู่บนเสาที่ตั้งอยู่เป็นระยะตลอดแนวยาวของราวระเบียงไม้สีขาว บรรยากาศในส่วนนี้จึงทั้งอบอุ่นและโรแมนติก
ส่วนผู้ที่ออกแบบตกแต่งร้านในส่วนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกชายคนเดียวของลุงศุกฤต... ผู้จัดการส่วนตัวของนางเอกสาวนั่นเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอให้มีความสุขกับมื้อค่ำนี้นะคะ” เพลินพิศตอบซาโยริ ก่อนจะหันไปบอกกับชายหนุ่มที่ยังมีสีหน้าไม่สบายใจ
“นี่คุณ ไม่ต้องทำท่าคิดมากขนาดนั้นก็ได้” เกลี้ยกล่อมกึ่งแซวชายหนุ่มเสร็จ สาวหมวยก็เดินจากไป
เรียวมองตามหลังของหญิงสาวที่เดินเข้าไปในตัวร้าน เมื่อเห็นเธอถูกผู้จัดการหนุ่มดึงตัวให้เดินผ่านโต๊ะของพนักงานบริษัทกลุ่มใหญ่หายไปด้วยกันก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับศุภชนม์ยิ่งกว่านายพระเอกลูกครึ่งที่เจอกันคราวก่อนเสียอีก
“นี่! เรียวมะ” ซาโยริต้องเรียกซ้ำ แล้วยื่นมือไปสะกิดแขนลูกชายที่ไม่ยอมสั่งอาหารสักที
“ครับแม่”
ชายหนุ่มขานรับเมื่อรู้สึกตัว หันมาก็เห็นมารดาชี้นิ้วมายังหน้าเมนูอาหารที่กางอยู่ตรงหน้าเขา แล้วเหลือบสายตาไปมองบริกรหนุ่มที่ยืนรออยู่ เรียวจึงรีบกวาดสายตามองและเลือกสั่งอาหารทันที ก่อนจะส่งเมนูคืนให้บริกรที่รับไว้แล้วเดินแยกออกไปอย่างสุภาพ
“น่ารักดีนะ” คนเป็นแม่เริ่มชวนคุย
“ครับ ตกแต่งได้น่ารักทีเดียว” เรียวแกล้งทำไม่รู้เรื่องที่มารดาตั้งใจพูดถึง
“หึๆ เรียวมะ... ลูกคิดว่าจะปิดแม่ได้งั้นเหรอ” สายตารู้เท่าทันถูกส่งมาจากมารดาผู้อาบบ่อน้ำพุร้อนมาก่อน
“ไปรู้จักกับดาราสาวสวยคนนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ซาโยริเริ่มกระบวนการซักฟอก
น้อยครั้งนักที่เธอจะเห็นลูกชายสุดที่รักให้ความสนใจกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ และยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ถึงกับมองตามโดยลืมไปเสียสนิทว่ามีเธอนั่งอยู่ด้วยอย่างคราวนี้
“คุณเรียวเขาเคยเป็นบอดี้การ์ดให้คุณทรรศน์มาก่อน แต่ตอนนี้ย้ายออกมาดูแลงานของซูไรการ์ดแล้ว”
เพลินพิศที่โดนศุภชนม์ลากตัวมาก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างกับชายหนุ่มด้านนอกระเบียงนั่นสักเท่าไร
“ซูไรการ์ดเหรอ อ๋อ... บริษัทรปภ.ไฮโซนั่นเอง น่าสนใจขึ้นอีกเยอะ”
“แหม... ไม่ต้องพึ่งบริษัทเขาหรอกค่ะ แค่หน้าตาพี่ก็สนใจเขาจะแย่แล้ว เร่งเพิร์ลให้แนะนำตัวยิกๆ แถมยังไปแอบแต๊ะอั๋งจับมือ ส่งตาหวานเยิ้มให้เขาอีก ระวังเขาจะกลัวเอานะ” เพลินพิศยิ้มหยอกล้อผู้จัดการหนุ่ม
เห็นหนุ่มหน้าใส หล่อสไตล์พระเอกเอเชียนซีรี่ย์ทีไร อาการออกทุกทีเลยนะพี่เรา
“นิดๆ หน่อยๆ ละน่า ถือเป็นอาหารตาอาหารใจ”
เมื่ออยู่กันลำพัง ศุภชนม์ก็ไม่จำเป็นต้องระวังคำพูดหรือปกปิดตัวเองมากนัก “หรือว่าหวง”
“บ้าเหรอ เพิร์ลจะหวงเขาทำไม ไม่เกี่ยวกันซะหน่อย” เพลินพิศรีบบอกปัด ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วไหนว่าจะเลี้ยงฉลองที่โฆษณาตัวใหม่ของเพิร์ลได้ออกอากาศไงคะ นอกจากจะยกโต๊ะให้คนอื่นเป็นการอ่อยเหยื่อหวังผลแล้ว ยังไม่รีบหาของกินมาให้น้องนุ่งอีก”
“พี่อ่อย แต่ผลประโยชน์ที่ได้มันอยู่กับเพิร์ลทั้งนั้นนะ อย่างพ่อซามูไรหนุ่มรูปหล่อคนนั้นน่ะ พี่ก็แค่มองไม่คิดแย่งเพิร์ลหรอก” ศุภชนม์อ่านเกมได้ตรงเป้าเด็ดขาดอย่างผู้เชี่ยวชาญ แค่มองสายตาที่สองคนสบกันก็รู้แล้วว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล
“พี่ไก่นี่ พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” เพลินพิศเริ่มจะโวยวายสู้กับสายตาวิบวับที่เขม่นมองอย่างล้อเลียนของศุภชนม์
“เอ้า! ไม่รู้เรื่อง? งั้นพี่ก็รุกนายซามูไรได้เต็มที่เลยนะ”
“ก็ถ้ามั่นใจก็เชิญ” เพลินพิศท้าอย่างมั่นใจเพราะรู้ว่าศุภชนม์ไม่เอาจริงอย่างที่พูดแน่
ศุภชนม์ปกปิดเรื่องรสนิยมของเขาเป็นความลับมานาน มีเพียงเพื่อนบางคน คุณนายพราวพลอยและเพลินพิศที่สนิทสนมกันมานานเท่านั้น ที่รู้ว่าเขาเป็นชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน หนุ่มตาหวานหยดไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้อีก เพราะไม่อยากให้ทางบ้านต้องไม่สบายใจหรืออาจจะถึงขั้นรับไม่ได้ที่ลูกชายเพียงคนเดียวกลับไม่ใช่ลูกชายอย่างที่เข้าใจกันมาตลอดเกือบสามสิบปี
“มีคนมาเสนองานใหม่ให้เพิร์ลด้วย” ศุภชนม์พูดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่เริ่มลงมือทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
ที่ประจำสำหรับทั้งคู่ในร้านนี้ก็คือ ห้องพักผ่อนที่ทางร้านจัดไว้ให้เหล่าพนักงานและบรรดาพ่อครัวได้นั่งพักผ่อนกันในช่วงเวลาระหว่างมื้อที่ไม่ค่อยมีแขกมากนัก
“โอย… อย่าเอาเรื่องงานมาตัดกำลังเพิร์ลสิคะพี่ไก่” เพลินพิศบ่น
“แต่งานนี้พี่ว่าเพิร์ลต้องชอบ” ศุภชนม์ย้ำคำพูดเดิมทุกครั้งเวลาที่ต้องการให้เพลินพิศรู้สึกอยากรับงาน ชายหนุ่มหยอดน้ำเสียงที่เรียกให้คนฟังอยากรู้จนต้องเงยหน้าขึ้นมาจากอาหารในจาน
“งานอะไรคะ” เพลินพิศละความสนใจจากพาสต้ากลิ่นหอมรสชาติอร่อยคุ้นลิ้นอย่างห้ามความอยากรู้ไม่อยู่
นั่นไงล่ะ ศุภชนม์ยิ้มในใจ
“ละคร”
“ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนนี่คะ” ได้ยินเท่านั้นนางเอกสาวก็ทำหน้าเบื่อ แล้วก้มลงทานอาหารต่อ
“ได้บทบู๊นิดๆ ด้วยนะ” ศุภชนม์เริ่มอธิบาย
สำหรับเพลินพิศแล้ว เธอเคยรับบทบู๊มาสองสามเรื่อง ด้วยบุคลิกที่ดูทะมัดทะแมงของเธอ อีกทั้งความสามารถเฉพาะตัวที่เธอมีอยู่แล้วอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้ดาราสาวแทบไม่ต้องใช้ตัวแสดงแทนเวลาถ่ายทำฉากต่อสู้ให้วุ่นวาย ผู้กำกับคิวบู๊หลายคนจึงชอบใจกับการได้ร่วมงานกับดาราสาวคนนี้มาก
“มียิงปืนบ้าง ปีนผาบ้างนิดหน่อย” ศุภชนม์เริ่มเรียกน้ำย่อยของดาราสาวทีละนิด
พอได้ยินคำว่า ‘ปีนผา’ เพลินพิศก็หูผึ่ง รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
“มีฉากเดินป่าด้วยนะ”
“มีแคมป์ปิ้งหรือเปล่า” นางเอกสาวรีบถาม แววตาวาวระยับด้วยความตื่นเต้น
“พี่ว่าน่าจะมีนะ เห็นว่าได้ไปค้างคืนในป่าด้วย” ศุภชนม์ใช้ความใฝ่ฝันของหญิงสาวเข้าล่อ
ดาราสาวหน้าหมวย เธอซุกซ่อนความเพ้อฝันว่าอยากท่องป่าหาสมบัติเหมือนนางเอกละครเรื่องหนึ่งที่เคยดูตอนเด็กๆ แต่ชีวิตอิสระโลดโผนที่ได้ผจญภัยในป่า ดูเป็นความฝันที่ช่างห่างไกลจากชีวิตจริงยิ่งนัก เพลินพิศไม่เคยได้เที่ยวป่าจริงๆ เลยสักครั้ง เพราะติดที่คุณแม่สุดหวงสั่งห้ามลูกสาวไว้เด็ดขาด
“โอเค เซย์เยสไปเลยพี่ไก่” เพลินพิศรีบรับคำโดยไม่ฟังรายละเอียดใดๆ อีก ในใจก็คิดเพียงว่า เข้าป่า ปีนผา นอนแคมป์
ไม่ผิดคำพูดกับคุณนายพลอยด้วย เพราะไม่ได้เข้าไปเที่ยวป่าอย่างที่เคยสัญญาไว้เสียหน่อย แต่เข้าไปทำงานต่างหาก
หึๆ ป่าไม้เมืองไทยเขียวขจี รอเพลินพิศคนนี้ด้วยนะ...
อ่านต่อ >> ฉากที่ 5 : รวมพลคนรักสาวหมวย
หรือเป็นเจ้าของความฟินกันแบบเต็มๆ ได้เลย!
สั่งซื้อรูปเล่ม... ที่เว็บ สนพ. Coolkat หรือร้านหนังสือออนไลน์
โหลดฉบับอีบุ๊ค... ได้ตามแหล่งที่ถูกใจเลยค่ะ
โหลดฉบับอีบุ๊ค... ได้ตามแหล่งที่ถูกใจเลยค่ะ
Meb : https://goo.gl/FockyR
The1Book : https://goo.gl/AR33tY
Hytexts : https://goo.gl/RL9qJX
Ookbee : https://goo.gl/iia4wb
NaiinPann : https://goo.gl/RczUnR
Dek-D : https://goo.gl/dqU2Zz
No comments:
Post a Comment