5 July 2017

# แก่นฝัน # โคแก่

รักข้ามเวลา - กาลที่ 5 : เดินสายแก้บน

รักข้ามเวลา ชุดกาลรักหนึ่ง

ผู้เขียน : แก่นฝัน

เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน

© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต





กาลที่ 5 : เดินสายแก้บน


          เสียงแตรที่ดังจากหน้ารั้วบ้านในยามบ่ายวันเสาร์ เรียกให้คนในบ้านเรือนไทยประยุกต์ที่ต่างกำลังทำกิจกรรมของตน หันไปมองทางหน้าบ้าน แล้วก็เป็นลูกบัวที่รีบวางสมุดหนังสือที่เธอกำลังอ่านทบทวนเพื่อเตรียมสอบลงบนโต๊ะไม้ตัวเตี้ย
            “เดี๋ยวพี่ไปดูเอง บัวอ่านหนังสือไปเถอะ” ฝนปรายที่นั่งดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนคุณยายดวงดาวบอกกับเด็กสาวที่กำลังจะมีสอบในอาทิตย์หน้า แล้วก็ชิงผุดลุกขึ้นรวดเร็ว
            “ค่ะ พี่ขิม” ลูกบัวที่ลุกมาได้ครึ่งตัวแล้ว ส่งยิ้มให้หญิงสาว
            มารดาของลูกบัวซึ่งเป็นคนรับใช้ใกล้ชิดของคุณยายดวงดาว เสียชีวิตไปด้วยโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน นอกจากคุณยายดวงดาวจะรับเลี้ยงเด็กสาววัยยี่สิบปีซึ่งไม่มีญาติที่ไหน ให้อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ดุจลูกหลานคนหนึ่งแล้ว ยังสนับสนุนส่งเสียให้เธอได้เล่าเรียนต่อ และตอนนี้เธอก็กำลังเป็นนักศึกษาวิชาการจัดการโรงแรมที่วิทยาลัยใกล้ๆ บ้านแห่งหนึ่ง
            เมื่อฝนปรายเดินไปถึงประตูรั้ว เธอก็ต้องแปลกใจที่ได้เห็นว่าเป็นรถสีขาวคันโตของเพ็ญนรี แรกนั้นเธอเปิดเพียงประตูเล็กก้าวออกไป คิดว่าเพื่อนอาจแวะมาพูดคุยอะไรก่อนนำรถเข้าบ้าน แต่อีกฝ่ายกลับบอกให้เธอเปิดรั้วเพื่อนำรถตัวเองเข้ามาจอดในบ้านของเธอ
            เพ็ญนรีเคลื่อนรถเข้ามาจอดบนลานปูนซึ่งขนาบข้างด้วยสวนร่มรื่นเรียบร้อยก็ลงจากรถ ร่างเล็กก้าวไปเปิดประตูด้านหลัง คว้าชุดราตรีสองตัวที่แขวนไว้อยู่ในถุงเรียบร้อย ตามด้วยมือหนึ่งหิ้วกล่องเครื่องสำอางสีดำที่เหล่าช่างแต่งหน้ามืออาชีพชอบใช้ เมื่อหมุนตัวไปหาเพื่อนกะว่าจะเรียกให้ช่วยขนของส่วนที่เหลือ เธอกลับเจอใบหน้ายุ่งๆ ที่มองมาด้วยความสงสัย
            “ลืมล่ะสิ แต่ฉันไม่ยอมให้ปฏิเสธนะยะ” เพ็ญนรีรีบดักคอเมื่อเห็นบางอย่างในแววตาของเพื่อนที่มองชุดสวยในมือของเธอ
งานนี้แกจะต้องเกิดไม่สวยจนหนุ่มๆ หันขวับ ฉันไม่ยอม
            วันนี้พวกเธอสองคนจะต้องไปร่วมงานฉลองมงคลสมรสของเพื่อนสาวในรุ่น นานๆ ทีจะมีโอกาสดีขนาดนี้ สไตลิสต์สาวร่างเล็กจึงหมายมั่นปั้นมือเต็มที่ที่จะจับเพื่อนรักมาแปลงโฉมให้สวยสะเด็ด เผื่อจะได้เสด็จลงจากคานที่กอดคออยู่ด้วยกันมานานให้จงได้
            “แกนี่...” ฝนปรายได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้จะพูดปฏิเสธอย่างไรดี
            “นะจ๊ะ ขิมจ๋า... ให้หนูจันทร์จ้าคนนี้ได้ซ้อมมือหน่อยเถอะน้า... ช่วงนี้เด็กๆ ของเจ๊จิลล์มีแต่ผู้ชาย ไม่ต้องลงสีสันแต่งสวย วันๆ แต่งแต่หน้าตัวเองจนเบื่อแล้วเนี่ย” เพ็ญนรีเอียงหน้าไปซบต้นแขนเพื่อน ก่อนจะถูๆ ไถๆ ออดอ้อน... รู้ดีว่าไม่นานเพื่อนสาวของเธอจะต้องใจอ่อน
            แล้วก็เป็นอย่างที่สาวร่างเล็กรู้ทัน ฝนปรายผลักหัวกลมปกคลุมด้วยผมที่ไดร์ปลายงุ้มเข้าสวยงามออกห่าง แกล้งถอนใจหนักๆ ก่อนจะช่วยเพื่อนหอบข้าวของทั้งหมดที่เตรียมมา และเดินนำขึ้นไปบนห้องนอน

           
เวลาเกือบห้าโมงเย็น...
อาเธอร์ก้าวออกมาจากห้องพักของตน หลังจากที่ขลุกอยู่ในนั้นมาตลอดบ่ายเพื่อศึกษาเรียนรู้ระบบภาษาคอมพิวเตอร์ของยุคปัจจุบัน จะได้ดัดแปลงโปรแกรมคำสั่งของปีสามพันสามร้อยมาประยุกต์ใช้เลือกดึงข้อมูลหลายๆ อย่างออกมาประมวลผล
            ชายหนุ่มตั้งใจจะลงไปช่วยหญิงชราเจ้าของบ้านหยิบจับตั้งโต๊ะอาหาร แต่ขายาวๆ ก้าวมายังไม่ทันถึงหัวบันไดก็ต้องชะงัก เมื่อประตูห้องของฝนปรายเปิดออกมาพอดี ตามด้วยร่างเล็กในชุดราตรีเกาะอกสีครีมทองที่ก้าวพรวดพราดออกมาจากห้อง มือข้างหนึ่งของเธอจูงมือสาวร่างสูงโปร่งกว่าในชุดราตรียาวปักดิ้นสีเงินให้เดินตามออกมาด้วย
            “อ้าวอาเธอร์... หวัดดี” เพ็ญนรีร้องทัก
            อาเธอร์พยักหน้าลงหนึ่งครั้งแทนคำทักทาย เขารู้ว่าสาวตัวเล็กมาที่บ้านตั้งแต่ตอนได้ยินเสียงแตรและเขาก็ชะเง้อมองจากหน้าต่างลงไปเห็นรถของอีกฝ่ายแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้พบเธอในชุดสวย ใบหน้าอ่อนใสถูกแต่งแต้มสีสันจนดูเด่นสะดุดตาอย่างนี้
            “เป็นไง...” สไตลิสต์สาวถามพร้อมดึงตัวเพื่อนขยับมาข้างหน้าอีกนิด อวดผลงานของตนเองอย่างภูมิอกภูมิใจเต็มที่
            ทว่านักข้ามเวลาหนุ่มกลับถูกริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดตรึงสายตาให้อยู่กับใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนถาม ดวงตากลมวันนี้ดูโตและโฉบเฉี่ยวกว่าปกติด้วยการเขียนขอบตาอย่างบรรจงและติดขนตาปลอม ร่างเล็กกะทัดรัดอยู่ในชุดเกาะอกสีครีมมีโบขนาดใหญ่รัดใต้อก และกระโปรงสีครีมทองผ้ามันวาวทิ้งตัวเข้ารูปกับสะโพกสวย
            “สวยมั้ย” เพ็ญนรีย้ำถามเมื่อเห็นเขาไร้ปฏิกิริยาตอบโต้
            และนั่นก็ทำให้คนเผลอไผลมองผิวขาวผ่องมีน้ำมีนวลและส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอนิ่ง ต้องรีบเสสายตาหลบ อาเธอร์หันไปมองหญิงสาวร่างสูงโปร่งสวมวิกผมยาวอยู่ในชุดที่ส่งเสริมความสวยสง่า เพียงไม่นานก็พยักหน้าลงหนึ่งครั้ง โดยไร้ซึ่งคำชมใดหลุดจากปาก
            “โหย...” เจ้าของผลงานแต่งสวยประท้วงเสียงลากยาวทันที ขิมสวยวิ้งขนาดนี้ แต่นายมีรีแอกชันกลับมาแค่เนี้ยเฮ้อ... เอาเหอะ จ้าคิดผิดเองแหละที่ถามความเห็นนาย
            เพ็ญนรีบ่นอย่างขัดอกขัดใจแล้วก็ทำหน้าปลงพ่อคนพูดน้อย มือที่จูงเพื่อนออกจากห้องเมื่อครู่เปลี่ยนมาหอบชายกระโปรงยาวระพื้นขึ้นสูง หมุนตัวก้าวลงบันไดเพื่อรีบเอาเพื่อนคนสวยของเธอไปอวดคุณยายดวงดาวและลูกบัว
            ปล่อยให้ชายหนุ่มที่ก้าวตามหลังไปช้าๆ ต้องนิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนตัวเล็กถึงต้องโวยวาย ในเมื่อหญิงสาวเคยบอกเองว่าเข้าใจที่เขาเป็นคนไม่ชอบพูด ขอเพียงแค่พยักหน้าให้เธอบ้างก็เป็นใช้ได้


            หลังจบงานร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าสาวคนล่าสุดของรุ่น ภายในรถยนต์คันกว้างที่แล่นมุ่งหน้ากลับบ้านมีเสียงเพลงทำนองสนุกสนานเปิดไว้เบาๆ คลอด้วยเสียงร้องตามอย่างอารมณ์ดีของคนขับสาว ว่างๆ ก็หันมามองหน้าเพื่อนคนสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อย
            “วันนี้เพ็ญนรีเปลี่ยนลุคนางสาวขิมขมให้เป็นนางฟ้าได้ โอ๊ย... เป็นการประสบความสำเร็จที่ภูมิใจที่สุด!” เธอรำพึงกึ่งแซวเพื่อนสาว
            ในงานวันนี้มีหนุ่มผมทองตาฟ้ามาตกบ่วงฝนปรายเข้าให้ ทั้งยังหยอดคำหวานเรียก ‘My Angel’ จนกลุ่มเพื่อนสาวพากันกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่
            “ก็แค่ฝรั่งเจ้าชู้ที่เคยเจอกันมาก่อนเองน่า” ฝนปรายส่ายหน้า ตลอดงานเธอถูกเพื่อนๆ ยิ้มล้อเลียนและพร้อมใจกันเชียร์ยกใหญ่
            “พรหมลิขิตบันดาลชักพา... ตะแดนตะแดนแตนดลให้มาพบกันทันใด... ตะดึงตะดึงตึง!” เพ็ญนรีมอบเสียงเพลงให้เพื่อนรัก แถมสร้างทำนองดนตรีประกอบขึ้นมาเองเสร็จสรรพ
            “ฮึไร้สาระ” หญิงสาวที่นั่งฟังอยู่ต้องส่งเสียงขัดใจ ก่อนที่มุมปากจะขยับยิ้ม
ยังไงก็ไม่เหมือนแกหรอกน่า ดอกไม้เจ้าสาวหล่นปุ๊ถึงมือจังๆ กำลังจะมีหนุ่มที่ไหนมาตกหลุมชวนสละโสดรึเปล่ายะ
            คนที่ได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาว ทั้งที่มีเพื่อนสาวโสดร่างสูงโปร่งกว่าเธอหลายคนขวางหน้าเป็นกำแพง ยักไหล่ยิ้มกว้างรับ โคลงศีรษะยึกยักตามทำนองเพลงในรถ หลังจากหมุนพวงมาลัยบังคับรถเลี้ยวเข้ามาในซอยแล้ว น้ำเสียงเริงรื่นก็เอ่ยต่อเต็มปากเต็มคำ
            “ขอให้มาจริงเถอะ จันทร์จ้าคนนี้เตรียมอ้าแขนรอรับเลย เสร็จแล้วจะได้จูงมือควงคู่หนุงหนิง พาไปแก้บนกับพระตรีมูรติที่เคยขอผู้ชายเอาไว้ตั้งแต่วันวาเลนไทน์ปีก่อนนู้นด้วย
เพ็ญนรีว่าถึงตรงนี้แล้วก็ชะงัก ก่อนจะอุทานขึ้นมาเสียงดังเมื่อเพิ่งนึกถึงสิ่งสำคัญยิ่งยวดขึ้นมาได้
            “ไอ้ขิมมัวแต่ดีใจที่แกกลับมาเลยลืมไปเลย... จำได้ป่ะที่ฉันบอกว่าตั้งแต่แกหายตัวไปก็ไปไหว้พระ ทั้งขอพรทั้งบนบานมาตั้งสิบเก้าที่... แกเอ๊ย... จากนี้เราต้องหาเวลาเริ่มเดินสายกันแล้วล่ะ” 
            “เดินสายอะไร
            “เดินสายแก้บนน่ะสิ!” 


           การเดินสายแก้บนเริ่มขึ้นในเช้าถัดจากวันนั้นไปอีกห้าวัน เพราะสองวันแรกนั้นติดที่ฝนปรายต้องไปทำงานถ่ายแฟชั่นที่สตูดิโอในฐานะผู้ช่วยช่างภาพของนิตยสาร ส่วนอีกสามวันก็เป็นเพ็ญนรีที่ต้องออกต่างจังหวัดไปกับกองถ่ายละครที่เธอรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝ่ายคอสตูม
            เช้านี้เพ็ญนรีกำลังวุ่นวายตรวจเช็กรายการสิ่งของแก้บนต่างๆ ที่ทำบันทึกไว้อย่างละเอียดไม่มีตกหล่น และได้จดรายการของที่ต้องซื้อหา สั่งความแม่บ้านและพี่เลี้ยงของเธอให้ช่วยจัดซื้อตระเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน สำหรับการเดินสายแก้บนรอบแรกวันนี้ เธอวางแผนรวบเอาวัดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จำนวนเจ็ดแห่งที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกันและเส้นทางไม่ต้องขับรถย้อนวนไปมาเอาไว้เรียบร้อย
            เพ็ญนรีเอ่ยขอบคุณพี่เลี้ยงที่ช่วยขนทุกอย่างมาใส่ไว้ท้ายรถ ปิดประตูเรียบร้อยก็หันไปหามารดาที่มือหนึ่งอุ้มเจ้ากิ๊กกิ้วที่วันนี้ผูกโบสีเหลืองสดใสเอาไว้
หนูคงกลับมาค่ำๆ นะคะมี้ กะว่าจะแวะหาของอร่อยๆ ทานด้วยเลย
ขณะเอ่ยกับมารดา มือก็หยอกเจ้าลูกสาวของเธอเล่นไปด้วย แต่ตอนท้ายยังเงยขึ้นมาส่งสายตาวิบวับใส่มารดา เย็นนี้ป๊ากลับมาจากฮ่องกง จะได้ปล่อยให้สวีตกับมี้ให้หายคิดถึง โดยไม่มีตัวก้างดีไหมคะ
            “ล้อหม่ามี้... เดี๋ยวเถอะ!” จินดามณีหยิกต้นแขนลูกสาวไม่แรงนัก
            เพ็ญนรีหัวเราะเสียงใสให้มารดาที่ทำตาดุแล้วโบกมือไล่ หญิงสาวก้าวขึ้นรถคันสูง รอให้พี่เลี้ยงช่วยจับเจ้าดุ๊กดิ๊กที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นเอาไว้ให้เรียบร้อยก่อน เธอจึงค่อยโบกมือไหวๆ ให้มารดา แล้วเคลื่อนรถออก
            จุดหมายแรกคือบ้านฝั่งตรงข้าม
            ประตูรั้วบ้านเรือนไทยประยุกต์นั้นเปิดกว้างรออยู่ก่อนแล้ว และเมื่อเพ็ญนรีเคลื่อนรถเข้าไปจอด ฝนปรายก็เดินนำอาเธอร์ที่หิ้วถุงใส่มาลัย ดอกไม้ และของไหว้บางอย่างที่แบ่งกันรับผิดชอบออกมาจากบ้าน
            “เอาไปไว้หลังรถเลยขิม จ้าเผื่อที่ว่างไว้ให้แล้ว” เสียงสดใสบอกพร้อมร่างเล็กที่กระโดดลงมาช่วยจัดวางข้าวของมากมายเต็มหลังรถ เมื่อเรียบร้อยก็ถอยออกมาพร้อมกับปิดประตู
            “นี่... นายอาเธอร์... ไปด้วยกันไหม
จู่ๆ หญิงสาวก็เงยหน้าชวนคนที่ทำท่าจะเดินกลับเข้าบ้าน เมื่อเห็นเขาหมุนตัวมามองก็โฆษณาเชิญชวนเต็มที่
            “วันนี้มีธุระไปไหนหรือเปล่า ไม่สนใจไปเที่ยววัดไทยสวยๆ ด้วยกันเหรอ จ้าจะพาล่องแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยน้า...”
            ฝนปรายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หันไปมองนักข้ามเวลาหนุ่ม นอกจากวันที่ออกไปขายทอง กับอีกวันที่เขาตามเธอไปทำงาน และแวะค่ายมวยฟ้าประทานสถานที่ที่มีนักมวยวัยฉกรรจ์เป็นต้นแบบแมนๆ มากมายเพื่อให้เขา ซ่อม คำพูดวันนั้น ชายหนุ่มก็เก็บตัวอยู่กับบ้านไม่ได้ออกไปไหนอีก
เห็นว่าเขากำลังหาข้อมูลเพื่อเลือกบริษัทนักสืบที่มีฝีมือน่าเชื่อถือสักแห่งสองแห่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นอะไรที่เธอไม่มีข้อมูลเหมือนกัน จึงให้คำแนะนำเขาไม่ได้มากนัก
            “ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีนะคะ” หญิงสาวร่างสูงโปร่งเอ่ย
            “ใช่อย่างขิมว่าเลย... นายตั้งใจมาเที่ยวอยู่แล้วนี่ ต้องไปเปิดหูเปิดตาให้คุ้ม งานนี้จ้าพาทัวร์วัดฟรี พร้อมรับรองว่าอาหารเช้าเที่ยงเย็นเด็ดทุกมื้อ!”
เพ็ญนรีเกลี้ยกล่อมพร้อมเอาของอร่อยเข้าล่อ
เธอจ้องตาเขาแล้วพยักหน้าสองที ประมาณว่า.. ไปเถอะ
          ดวงตาสีน้ำตาลทองทั้งคมทั้งหวานก้มลงสบดวงตาที่มองจ้องรอคอยคำตอบนิ่ง และแล้วในจังหวะที่ดวงตากลมคู่นั้นกะพริบปริบๆ อาเธอร์ก็บอกกับตัวเองว่าออกไปเก็บข้อมูลสังคมภายนอกของยุคโบราณแห่งนี้บ้างก็ดี
ใบหน้าหล่อเหลาชวนมองพยักขึ้นลงหนึ่งที แต่เพียงเท่านี้คนชวนก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างสมใจ
            “โอเคเป็นการตัดสินใจที่ดีเลิศที่สุด


           ขบวนเดินสายแก้บนที่นำทีมโดยเพ็ญนรีผู้หาข้อมูลมาแน่นปึ้ก เริ่มต้นด้วยคติกองทัพต้องเดินด้วยท้อง จุดหมายแรกหลังออกจากบ้านเรือนไทยริมคลอง จึงเป็นร้านโจ๊กชื่อดังที่มีหมูนุ่มเด้งก้อนโตเต็มปากเต็มคำ ใส่เป๋าฮื้อและเม็ดแปะก๊วยเคี้ยวหนุบหนับ แถมตอกไข่ลวกโปะหน้าหนึ่งฟอง และเมื่อหญิงสาวได้เห็นสมาชิกอีกสองคนกวาดโจ๊กเรียบจนเห็นก้นชามแล้ว คนพามาก็ยิ้มกริ่มที่เลือกปักหมุดลายแทงของอร่อยถูกที่ สีหน้าภูมิอกภูมิใจราวกับเป็นคนปรุงเองกับมือ
             เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ถึงเวลาของการแก้บนจุดแรก ซึ่งไม่ถึงกับเป็นการแก้บนจริงจังเสียทีเดียว เพราะเพ็ญนรีนั้นได้มาทำบุญโลงศพที่มูลนิธิด้านหน้าวัด เพื่อสะเดาะเคราะห์เสริมดวงชะตาในนามของเพื่อน และอธิษฐานว่าหากเพื่อนพ้นภัยหนักครั้งนี้ได้จะกลับมาทำบุญอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้คณะของเธอก็ทำบุญด้วยจำนวนโลงศพเป็นสองเท่าของที่เคยทำไว้ และตบท้ายด้วยการไถ่ชีวิตโคกระบือภายในวัดด้านหลัง
            ออกจากวัดแห่งแรกมาแล้ว เพ็ญนรีก็ขับรถพาฝนปรายและอาเธอร์ไปเดินสายต่ออีกสองแห่ง จากนั้นก็มาจอดรถไว้ที่ลานจอดรถข้างๆ ศาลเจ้าแห่งหนึ่งบริเวณเสาชิงช้า ซึ่งเป็นจุดหมายของการเข้าไปแก้บนจุดถัดไป เครื่องถวายสองถุงใหญ่ที่เตรียมมาได้แรงงานชั้นเยี่ยมอย่างอาเธอร์คอยหิ้วเดินตามต้อยๆ โดยไม่พูดไม่บ่นอะไรสักคำ
            เมื่อเดินออกมาจากศาลเจ้าที่มีควันธูปคลุ้งหนาแน่นจนหายใจลำบาก เพ็ญนรีก็สูดหายใจเข้าปอดได้เต็มที่ แต่เมื่อหันไปมองคนที่ไม่ค่อยได้พูดอะไรมาก นอกจากเวลามีคำถามเกี่ยวกับสถานที่แต่ละแห่ง ก็เห็นว่าเขากำลังทำหน้ายุ่ง
            “เป็นอะไรอาเธอร์” หญิงสาวเอ่ยถาม
            คำถามของเพ็ญนรีทำให้ฝนปรายหันไปมองชายหนุ่มด้วยเช่นกัน
คนถูกถามเหลือบตาลงมองดวงตากลมที่แดงเรื่อด้วยควันธูป ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัย
            “ทำไมต้องจุดธูปให้ควันหนาทึบขนาดนั้น” อาเธอร์ถามเพียงสั้นๆ ทั้งที่ในใจยังบ่นต่อไปยาวเหยียด...
            ควันเหล่านั้นทั้งติดขัดทางเดินหายใจ ระคายเคืองเยื่อบุนัยน์ตา แถมยังมีกลิ่นติดผมเผ้าเนื้อตัวและเสื้อผ้าจนเขาต้องย่นจมูกด้วยความไม่ชอบใจ นอกจากนี้ยังไม่รู้ว่าพวกมันมีสารคาร์ซิโนเจนหรือสารก่อมะเร็งปะปนอยู่ด้วยมากมายแค่ไหน
            ทั้งเพ็ญนรีและฝนปรายเจอคำถามนี้ของ เจ้าหนูจำไมตัวยักษ์’ เข้าไป ก็ต้องหันมามองหน้าสบตากันอย่างปรึกษาหารือ เห็นว่าใครๆ เขาก็ปฏิบัติต่อๆ กันมา พวกเธอก็แค่ทำตามธรรมเนียมกันไป ไม่เคยนึกสงสัยและคิดหาคำตอบมาก่อน
            “เอ่อ... จ้าก็ไม่รู้สิ เค้าก็จุดกันมาอย่างนี้ สงสัยจะให้ควันธูปที่ลอยขึ้นสูงๆ เป็นสื่อกลางส่งคำสวดมนต์กับคำอธิษฐานของเราไปถึงสวรรค์ล่ะมั้ง” หญิงสาวตอบแบบคิดเอาเองล้วนๆ
แต่เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ยอมคลายความสงสัยหรือยอมรับในเหตุผลนี้ก็ชักจะหงุดหงิดขัดใจขึ้นมาเล็กน้อย คิดเองเออเองว่าหัวหน้าคณะเดินสายอย่างเธอกำลังถูกต้อนให้จนมุม...
คอยดูเถอะ คืนนี้จะกลับไปถาม อากู๋’ ให้รู้เรื่อง!
            “เอาน่ะช่างธูปเทียนกันก่อนเถอะ นี่ก็เลยเที่ยงจนจะบ่ายแล้ว หิวกันหรือยัง จ้าหิวมากกก” เพ็ญนรีเปลี่ยนเรื่องฉับไว พาลากเข้าเรื่องการตามล่าของอร่อยที่เธอรอบรู้แม่นยำกว่ามาก พูดจบก็ล้วงโทรศัพท์เครื่องบางออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง ปลายนิ้วเล็กๆ ปัดหน้าจอไปมาสี่ห้าทีก็มีภาพแผนที่ลายแทงของอร่อยโดยรอบเสาชิงช้าแห่งนี้แสดงขึ้นมา
            “จ้ามีให้เลือกระหว่าง ราดหน้ายอดผัก ข้าวมันไก่เบตง ขนมจีนไหหลำ หรือร้านอาหารในตำนานตั้งแต่สมัย ร.5 เลย
            อาเธอร์นั้นไม่รู้จักรายการอาหารที่เธอร่ายมาสักอย่าง จึงไร้ความเห็นอย่างที่เพ็ญนรีไม่ได้ตั้งความหวังกับเขามากนัก ส่วนฝนปรายนั้นตอบกลับได้อย่างรวดเร็ว
            “ไปร้านอาหารในตำนานของแกเหอะ แหม... โฆษณาซะลำเอียงขนาดนี้
            “ขิมจ๋ารู้ใจจ้าที่สุด... งั้นไปกันเลยนะ เดี๋ยวแวะซื้อเผือกทอดระหว่างทางด้วย เจ้านี้นะ เค้าว่ากรอบนอกนุ่มใน น้ำมันไม่ดำ หอมกลิ่นเผือกเน้นๆ แล้วจากนั้นถ้าท้องเหลือพื้นที่ก็ไปร้านขนมปังปิ้งนมสดกันต่อ
คนเสนอทางเลือกยิ้มกริ่มให้เพื่อนรักที่ช่างรู้ใจกัน ก่อนจะรวบรัดจัดลำดับการตระเวนชิมต่อไปอย่างไม่ให้ขาดตอน จนผู้ตามทั้งสองชักไม่แน่ใจแล้วว่าโปรแกรมหลักของวันนี้ ยังเน้นหนักที่การเดินสายทำบุญและแก้บนอยู่หรือเปล่า
            อาหารกลางวันในร้านห้องแถวเล็กๆ มื้อนั้น สองสาวเลือกสั่งต้มยำกุ้งน้ำข้น ผัดโป๊ยเซียน ข้าวผัดรถไฟ และหมี่กรอบ จากบรรดาป้ายชื่ออาหารที่ติดอยู่ตามผนังและตามที่เพ็ญนรีพอจดจำได้ว่ามีคนยืนยันว่าเด็ด
แล้วคนทั้งสามต่างก็ได้ลิ้มรสความอร่อยสุดอิ่มหนำในราคามิตรภาพสมคำร่ำลือ โดยคนที่ดูจะถูกใจอาหารมื้อนี้ที่สุด คงเป็นชายหนุ่มคนเดียวในโต๊ะ ที่แม้จะถูกความเผ็ดร้อนของต้มยำกุ้งแผลงฤทธิ์จนใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นแดงปลั่งเหงื่อตก แต่เขายังตักน้ำซุปรสจัดจ้านเข้าปากด้วยมาดผู้ดีจัดไม่เข้ากับบรรยากาศร้านสุดๆ และไม่ยอมหยุดจนหยดสุดท้าย
            “เป็นไงบ้าง
เพ็ญนรีอดไม่ได้ ต้องยื่นกระดาษทิชชูส่งให้ ซึ่งชายหนุ่มก็กล่าวขอบคุณเรียบๆ ก่อนจะรับไปถือไว้ในมือ ใช้มันซับเหงื่อบนหน้าผากและริมฝีปากเพียงครั้งเดียวหลังจากทานอาหารเสร็จ
            แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เพ็ญนรีฉีกยิ้มกว้าง กับการเลือกปักหมุดความอร่อยถูกร้าน
กินเรียบอย่างนาย พ่อครัวแม่ครัวรักตายเลย


            ในช่วงบ่าย... สองสาวและหนึ่งหนุ่มก็เริ่มเดินสายทำบุญกันต่อ แต่เป็นเพราะสถานที่ทั้งสามแห่งที่เหลือค่อนข้างหาที่จอดรถลำบาก เพ็ญนรีจึงวางแผนว่าควรจอดรถทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งแล้วเลือกใช้บริการรถสาธารณะ แต่พอโบกเรียกแท็กซี่หลายคันก็ต่างพากันส่ายหน้า คงเพราะระยะทางใกล้ไปและต้องผ่านแยกรถติด จนสาวร่างเล็กฮึดฮัดเปลี่ยนใจไปโบกตุ๊กตุ๊กไทยแลนด์แทนเสียเลย
            เมื่อไปถึงที่หมายแรกก็ต้องผจญกับการเบียดเสียดกับผู้คนมหาศาล กว่าที่คนทั้งสามจะได้เข้าไปถวายผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกและไข่ต้มร้อยฟอง พร้อมมาลัยดอกไม้พวงใหญ่ตามที่เพ็ญนรีจดจำได้โดยไม่ต้องพึ่งเช็กลิสต์
            จากนั้นผู้นำทางสาวก็พาผู้ร่วมทางทั้งสองเดินลัดเลาะต่อไปยังจุดหมายถัดไป หญิงสาวยังคงแจ่มใสเปี่ยมด้วยพลังมากมายล้นเหลือ รองพื้นและเครื่องสำอางที่ลงไว้บางๆ อย่างเป็นธรรมชาติก็ยังติดทน สมเป็นฝีมือของมืออาชีพ
            มาถึงตรงนี้... ร่างสูงที่หิ้วถุงใส่ของแก้บนอยู่ในมือทั้งซ้ายขวาก็เริ่มแน่ใจในสิ่งที่รู้สึกตงิดมาสักพัก เหตุผลที่คนตัวเล็กออกปากชักชวนเขามาด้วย นั้น คงเพราะอยากได้แรงงานมาช่วยถือของแน่นอน
            เอาเถอะ!
ไหนๆ ก็ตกหลุมตามเธอมาแล้ว เขาก็คงทำได้แค่เดินหิ้วของตามหลังพวกเธอต่อไป จะให้แขนเล็กๆ เหมือนแขนเด็กโตไม่เต็มที่นั้นหิ้วของหนักก็ขัดตาขัดใจเกินไปหน่อย
            ภายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง เพ็ญนรียื่นมือไปรับห่อกุหลาบสีชมพูร้อยดอกมาจากคนตัวโต แบ่งครึ่งกันกับฝนปรายนำไปถวายในถังน้ำที่มีดอกไม้ชนิดเดียวกันนี้ปักไว้ก่อนแล้ว เมื่อคลานเข่ากลับมาก็เห็นร่างสูงนั่งคุกเข่ารออย่างเรียบร้อย ต่างจากเมื่อเช้าที่ยังทำตามพวกเธออย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ชวนให้ยิ้มตามในความพยายามของเขา หญิงสาวมองใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อด้วยไอแดดแล้วก็ส่งยิ้มปลุกปลอบใจไปให้
            “เดี๋ยวออกไปจ้าเลี้ยงน้ำหวานกับไอติมแล้วกัน
เพ็ญนรีหลอกล่อเขาแล้วก็หันไปยังสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องหน้า หลับตาพนมมือแล้วก้มลงกราบ เหมือนกับฝนปรายที่ทำเช่นเดียวกัน
             อาเธอร์เห็นเช่นนั้นก็ก้มกราบบ้างเพื่อไม่ให้ตนดูแปลกแยกจากผู้คนในที่แห่งนี้ แม้จะไม่ได้รู้สึกเคารพบูชารูปปั้นสีทองตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย...
ที่บลูแพลนต์นั้นไม่เหลือความเคารพต่อศาสดา ไม่มีการแบ่งแยกศาสนา ไม่มีความศรัทธาต่อสิ่งใดแรงกล้าอย่างเช่นที่เขาเห็นมนุษย์ยุคนี้เป็นกัน มีเพียงความเคารพในตนเองและผู้อื่น ใช้หลักการไตร่ตรอง พิจารณาแยกแยะความดีร้ายถูกผิดเท่านั้น
            “นี่... นายลองขอพรดูสิ” เสียงใสแนะนำหลังจากที่เขาเงยหน้าขึ้นมาจากการก้มกราบ
            อาเธอร์มองคนแนะนำพร้อมขมวดคิ้วเล็กๆ เธอคนนี้เรียกเขาว่า นี่ๆ นายๆ มาตลอดทั้งวัน จากที่ขัดหูเพราะไม่เคยมีใครกล้าเรียกเขาด้วยถ้อยคำไม่เคารพมาก่อน แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว พอเธอเรียก นี่’ เขาก็หันไปหาทันทีอย่างลืมตัว... มันน่าขัดใจตัวเองด้วยจริงๆ
            “ขอพรให้นายได้เอกสารสำคัญคืนไง ขอให้ไอ้โจรกลับใจเอาไปทิ้งไว้ แล้วมีพลเมืองดีส่งกลับคืนให้ อะไรทำนองเนี้ย... เจ้าแม่ที่นี่โด่งดังเรื่องคนหายของหายมากๆ เลยนะ” เพ็ญนรีอธิบายต่อ เมื่อเห็นเขายังนั่งนิ่งก็พยักพเยิดหน้าให้ ลองดูสิ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว
            เห็นอีกฝ่ายคะยั้นคะยอขนาดนั้น อาเธอร์ก็ยอมพนมมือหลับตาลงเพื่อตัดรำคาญ ทั้งที่ไม่คิดจะขออะไรจริงจัง
แต่เพียงแค่หลับตา ในใจกลับผุดภาพของผู้หญิงที่มีสร้อยเข็มทิศกาลเวลาของพี่ชายลอยขึ้นมา จึงลองเอ่ยอธิษฐานต่อในใจว่าขอให้เขาได้พบในสิ่งที่ต้องการตามหาเสียที
            เมื่อลืมตาขึ้นมาก็มีตากลมๆ จ้องมองรออยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยรอยยิ้มพึงพอใจที่เขายอมทำตามคำแนะนำ
            “โอเค... เรียบร้อยแล้วเราก็ไปที่หมายสุดท้ายของวันนี้กัน
            เพ็ญนรีบอกแล้วก็กระเถิบคลานเข่าออกจากพรมที่ปูหน้ารูปปั้นเจ้าแม่ เมื่อลุกขึ้นยืนได้แล้วก็เดินนำออกไปข้างนอก พร้อมกับล้วงในกระเป๋าสะพายข้างใบย่อม ปากก็พูดบอกไปเรื่อยๆ
            “ที่สุดท้าย... เราต้องข้ามแม่น้ำไปฟากนู้น เดี๋ยวจ้าขอดูในโน้ตก่อนว่าเราต้องลงเรือข้ามฟากไปขึ้นที่ท่าไหน...”
            บอกจนจบแล้ว แต่มือที่ล้วงในกระเป๋าก็ยังไม่หยุดค้นหา คิ้วเรียวบรรจงเขียนมาอย่างได้รูปสวยขมวดยุ่งเมื่อไม่พบโทรศัพท์มือถือในช่องเล็กที่มักจะใส่เอาไว้ประจำ พอรื้อค้นจนครบถ้วนทุกช่องก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตากลมเบิกโตแตกตื่น
            “ไอ้ขิมมือถือฉันหาย!”
ทั้งที่แน่ใจไปแล้วเกือบเต็มร้อย แต่มือเล็กๆ ก็ยังไม่หยุดค้นหาเผื่อว่าจะหลงหลุดลอดไปไหน
            “หือหายได้ไง” ฝนปรายถามเพื่อน พร้อมชะโงกหน้าไปมองในกระเป๋าสีดำใบเล็กแบรนด์ดังอย่างตกใจไม่แพ้กัน แต่ยังมีสติเตือนให้เพื่อนนึกทบทวนดีๆ
“แกไปลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า
            “ไม่รู้ดิ จำได้แค่ล่าสุดก็ใช้ถ่ายอาหารแล้วโพสต์ แต่ตอนนั้นฉันมั่นใจว่ายัดลงกระเป๋าแล้วนะ” เสียงเอ่ยเร็วๆ นั้นฟังดูร้อนรน
            “งั้นมีใครมาล้วงกระเป๋าแกเหรอ ตอนเจอคนเยอะๆ แกรู้สึกโดนเบียดโดนกระตุกแปลกๆ อะไรบ้างไหม
            คนทำของสำคัญหายฟังข้อสันนิษฐานของเพื่อนแล้วก็ยิ่งหน้ายุ่ง เธอโดนเบียดอยู่หลายที แต่เห็นว่าไม่แปลกเพราะคนหนาแน่น เลยทำให้เธอไม่ทันได้คิดอะไร
            “ตายๆๆ ทั้งชีวิตของไอ้จ้า...”
ทั้งเบอร์โทรติดต่อผู้คนมากมาย ทั้งนัดหมายงาน ทั้งอะไรต่อมิอะไร เธอก็เก็บไว้ในมือถือเครื่องนี้แทบทั้งหมดเลย แม้จะสำรองข้อมูลไว้บ้าง แต่นั่นก็นานเป็นเดือนมาแล้ว
            อาเธอร์ยืนฟังสองสาววุ่นวายใจอยู่เงียบๆ บนใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติมีเพียงแววตาแสดงการครุ่นคิดเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่เขาจะขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็กๆ ที่โวยวายร้อนใจ มือใหญ่คว้ากระเป๋าหนังสีดำใบเล็กมาโดยไม่บอกไม่กล่าว เป็นเหตุให้คนที่กำลังนึกกลัวว่าถูกล้วงกระเป๋าต้องกระตุกสายกระเป๋าเอาไว้แล้วหันขวับ
            “ทำอะไรน่ะ!?”
            อาเธอร์แสร้งปิดล็อกฝากระเป๋าที่อยู่ในมือช้าๆ เมื่อเรียบร้อยก็เอ่ยบอก กระเป๋ายังไม่ได้ปิด...”
            “อือขอบคุณนะ แต่ทีหลังบอกเอาก็ได้ ตกใจหมดนึกว่าจากโดนล้วงแล้วยังจะโดนกระชากกระเป๋าต่ออีก” สาวเจ้าของกระเป๋าบ่นว่าเสียงฉุนด้วยพื้นอารมณ์ไม่ดีนัก
            “คุณจ้าไม่ได้ถูกล้วงกระเป๋าหรอก” ชายหนุ่มเอ่ยต่อไปอย่างไม่ได้ใส่ใจคำตำหนิของเธอ
            “รู้ได้ไง
            “ผมเห็น...” อาเธอร์สะดุดคำพูดไปครู่หนึ่ง แล้วอธิบายต่อโดยที่คนฟังจับผิดไม่ได้ ผมเดินตามหลังคุณจ้าตลอด ไม่เห็นว่ามีใครล้วงกระเป๋าคุณจ้าจริงๆ
            “จริงเหรอ?”
            “จริงสิ
            “แน่นะ?”
            “แน่ใจสิ...”
            “ไม่มั่วนะ...”
            “ไม่มั่ว...”
            ฝนปรายที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ อยากจะหลุดขำจริงๆ กับการโต้ตอบของสองหนุ่มสาว ที่ดันไปเข้าทำนองเพลงคู่ พ่อแง่แม่งอน’ เสียอย่างนั้น เธอคิดเดาเอาจากการกระทำของนักข้ามเวลาหนุ่มเมื่อครู่ บางทีอาเธอร์อาจทำการอ่านรอยทรงจำจากกระเป๋าของเพื่อนสาว แล้วพบว่าไม่มีมือโจรคนไหนล้วงเข้าไป
            แต่ฝนปรายไม่ทันรู้หรอกว่าหลังสิ้นคำว่า ไม่มั่ว’ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองก็เรืองแสงสีทองวาบวาวขึ้น และไม่กี่วินาทีจากนั้น เพ็ญนรีก็เข่าอ่อนเซทรุดจวนจะล้ม แต่ยังดีที่คนร่างสูงช่วยรวบหลังเอวรั้งตัวเอาไว้ได้ทัน
            “ไปนั่งพักก่อนนะคุณจ้า” อาเธอร์ก้มลงบอกกับร่างเล็กที่เขาประคองให้ยืนพิงกับอก ทันทีที่สิ้นคำก็ตวัดท่อนแขน อุ้มตัวเธอก้าวไปตรงม้านั่งที่เห็นอยู่ใกล้ๆ รวดเร็วเสียจนคนถูกอุ้มได้แต่เบิกตาโต ยังไม่ทันได้มีคำประท้วงใดออกจากปาก ชายหนุ่มก็วางร่างเบาหวิวที่เพิ่งรับรู้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าตัวเธอเล็กมากจริงๆ ลงอย่างเบามือ
            “เป็นไงบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าปกติ ใบหน้าขาวซีดของหญิงสาวทำให้ทั้งเป็นห่วงระคนรู้สึกผิด
            “โอเค... มั้ง?”
เพ็ญนรีบอกเสียงเบา สติสตังยังกลับมาไม่ค่อยครบร้อย ทั้งใจเสียที่โทรศัพท์หาย และทั้งตกใจที่โดนอุ้ม
            หลังจากพ้นวัยเด็กมาก็เพิ่งโดนอุ้มวันนี้นี่แหละ
ความรู้สึกของนางเอกละครมันฟินเบาๆ แบบนี้นี่เอง...
คิดอย่างนั้นแล้วคนถูกอุ้มก็อมยิ้มซุกซนออกมา ใบหน้าซีดเซียวเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาให้เห็น
            ฝนปรายเห็นอาการของเพื่อนแล้วก็หันไปมองนักข้ามเวลาหนุ่มด้วยแววตาสงสัย จำได้ว่าวันที่เขาใช้พลังอ่านเธอ หลังจากนั้นเธอก็หมดสติวูบหลับไม่รู้เรื่องไปเช่นกัน
            “ไม่เห็นจ้าโดนล้วงกระเป๋า แล้วคุณเห็นอะไรอีกหรือเปล่าคะ
            อาเธอร์หันไปมองสาวผิวสีน้ำผึ้ง เจ้าของคำถามที่เผยแย้มให้รู้ว่าเธอรู้ว่าเขาทำอะไร มุมปากบางสีสดยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาบอกคนที่นั่งอยู่บนม้านั่ง
            “ผมเห็นคุณจ้าเสียบชาร์จแบตในรถ แล้วก็ลืมไว้เอง ไม่ได้หายไปไหน
            จบคำที่เขาบอก เพ็ญนรีก็กะพริบตาปริบทีหนึ่งอย่างลังเลใจไม่อยากจะเชื่อ ใบหน้าเล็กยุ่งเหยิงพยายามนึกทบทวน แล้วก็เหมือนว่าช่วงเวลาที่สองมือเธอทำไปตามความเคยชินนั้นจะค่อยปรากฏขึ้นมาลางๆ ให้นึกได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก
            “จริงเหรอ?”
            “จริงสิ
            “แน่นะ?”
            “อืม... แน่สิ
            “ไม่มั่วนะ?”
            “ไม่มั่ว...”
            การตอบโต้ยึกยักกันไปมานั้นทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ หวิดจะหลุดขำออกมาอยู่รอมร่อ โชคดีที่ทั้งคู่ยังไม่ต่อกันจนถึงท่อน คนอวดดี คนอวดรวยก็ตัดจบเรื่องอย่างใจป้ำ
            “ถ้ากลับไปที่รถไม่เจอ ผมซื้อใหม่ให้เลย
            “หึไม่ต้องมาทำป๋าเลย รอได้เอกสารใหม่ กับติดต่อธนาคารของนายให้ได้ก่อนเถอะ
เพ็ญนรียิ้มส่ายหน้าให้คนถังแตกชั่วคราว อารมณ์ดีๆ กลับคืนมารวดเร็ว หลังจากโล่งใจที่ของสำคัญไม่ได้หายไปอย่างที่ร้อนใจในคราแรก
            นักข้ามเวลาหนุ่มชะงักคำพูดไปในทันทีที่เธอย้อนกลับมา ลืมไปเสียสนิทว่าตนเองยังทำตัวเป็นคนสิ้นไร้ทรัพย์สิน และยังไม่ได้คืนเงินให้อีกฝ่าย เพราะเกรงว่าจะดูน่าสงสัยในที่มาของเงินเหล่านั้น ตั้งใจว่าจะถ่วงเวลาอีกสักพัก ให้เหมือนมีการติดต่อทำเอกสารแสดงตนต่างๆ เรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน


คณะเดินสายแก้บนปิดท้ายวันด้วยมื้อค่ำกันที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศของโกดังเก็บของเก่าถูกตกแต่งใหม่ให้ดูเท่สไตล์ลอฟต์ ผนังด้านริมน้ำถูกเปลี่ยนเป็นกรอบหน้าต่างและบานกระจกตลอดแนว มองเห็นวิวแม่น้ำที่มีเรือโดยสารและเรือสำราญล่องผ่านไปมายามค่ำ อาหารของที่นี่เป็นสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน และยังมีค็อกเทลซิกเนเจอร์ให้เลือกอีกหลากหลาย
            “อิ่มไหม” เพ็ญนรีถามชายหนุ่มคนเดียวในโต๊ะอย่างใส่ใจ
            อาหารแต่ละจานที่ถูกนำมาเสิร์ฟ ล้วนจัดวางตกแต่งเก๋ไก๋สวยงามซึ่งเธอถ่ายรูปโพสต์ขึ้นโลกโซเชียลไม่ทันไรก็มีคนถูกใจหลายสิบ วัตถุดิบที่ใช้ล้วนชั้นเลิศ พ่อครัวจัดเต็มทั้งเครื่องเทศเครื่องปรุง แน่นอนว่ารสชาตินั้นย่อมดีงามแปรผันตามราคา เสียแต่ปริมาณจัดว่าน้อยไปสักนิด เหมาะกับการมานั่งทานอะไรเบาๆ ฟังดนตรีแจ๊สเล่นสดๆ พูดคุยสนทนาพร้อมจิบค็อกเทล ดื่มด่ำบรรยากาศเสียมากกว่า
            อาเธอร์ที่เพิ่งจัดการกุ้งล็อบสเตอร์อบเนยที่เสิร์ฟพร้อมหน่อไม้ฝรั่งย่างจนหมด มองคนถามที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาพยักหน้าให้หนึ่งครั้งพร้อมใช้มุมผ้าเช็ดปากซับแตะบนริมฝีปากด้วยมาดผู้ดีชวนมองอย่างยิ่ง
            “แน่นะ?” เพ็ญนรีถามย้ำ คิดว่าบางทีเขาอาจจะเกรงใจ ในเมื่อเห็นมาแล้วตลอดวันว่าเขาไม่ใช่คนกินน้อยเลยสักนิด
            “ครับ เท่านี้กำลังดี” อาเธอร์ตอบให้อีกฝ่ายมั่นใจ ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนกินจุอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่บลูแพลนต์ก็รับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ และเสริมด้วยเม็ดสารอาหารบำรุงพิเศษในปริมาณเท่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันเท่านั้น
            “ทีตอนกลางวันเห็นกินเยอะออก” หญิงสาวยังไม่ยอมเชื่อ
            “ผมทานเพราะไม่ต้องการให้เหลือทิ้งเท่านั้น” ชายหนุ่มจำต้องยอมเอ่ยปากอธิบายต่อ เพื่อให้สายตาที่มองมาอย่างกังวล ห่วงว่าเขาจะไม่อิ่มได้คลายลงไปเสียที
            “โอเค นายว่าไงก็ว่างั้น แล้วจะมาหาว่าจ้าหลอกพามาใช้แรงงานทั้งวัน แต่เลี้ยงอาหารแบบอดๆ อยากๆ ไม่ได้นะ” เพ็ญนรีพยักหน้ายอมรับคำตอบของเขา ยิ้มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะคว้าแก้วเครื่องดื่มสีแดงเข้มมีชิ้นผลไม้ลอยผสมกับก้อนน้ำแข็งขึ้นมาจิบต่อ
            คำพูดดักคอของหญิงสาวทำเอาอาเธอร์แทบจะยกมุมปากยิ้ม แต่เขาก็ทำเพียงนิ่วหน้าเล็กน้อย ในที่สุดคนตัวเล็กก็ยอมรับเองว่าตั้งใจชวนเขามาหลอกใช้แรงงานช่วยถือของจริงๆ
            “มื้อนี้ฉันรับผิดชอบเองนะจ้า” เสียงของฝนปรายเอ่ยขัดขึ้นมา
            “หือได้ไงมื้อนี้กระเป๋าฉีกที่สุดของวันเลยนะ แล้วฉันก็เป็นคนอยากมาลองเอง แกแค่โดนฉันหลอกให้มาเป็นเพื่อนเฉยๆ” เพ็ญนรีส่ายหน้ารวดเร็ว แต่ไม่กี่ทีก็ต้องหยุดเพราะรู้สึกมึน
            “เอาน่ะ ถือว่าฉันอยากเลี้ยงผู้มีพระคุณ ทั้งแกที่อุตส่าห์เดินสายขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ฉันได้กลับมา แล้วก็เลี้ยงอาเธอร์ด้วยอีกคน” ฝนปรายยกเหตุผลเข้าสู้
            “ก็ได้
สาวร่างเล็กผู้ทำตัวเป็น เจ๊เปย์’ มาตลอดทั้งวันยอมแพ้แต่โดยดี ดวงตาสุกใสหรี่มองเพื่อนอย่างเพิ่งรู้ทันว่าที่อีกฝ่ายไม่แย่งจ่ายมาทั้งวันก็เพราะมีแผนแย่งชิงรับผิดชอบมื้อค่ำนี้เอง
            ครู่หนึ่งผ่านไป เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ก็หลุดออกจากปากเล็ก
งานนี้มีคนเลี้ยงทั้งที งั้นสั่งแซงเกรียมาจิบเล่นอีกแก้วดีกว่า
            “สั่งได้ แต่ห้ามเมานะยะ” คนเป็นเจ้ามือเตือนดักคอ
            “หูย... ดูถูก ระดับจันทร์จ้านะ...”
            “แก้วเดียวมึน แก้วสองเมา!” ฝนปรายเอ่ยต่อให้ทั้งที่เพื่อนยังโอ้อวดตัวเองไม่จบ
            “แหม... ดูจ้าถูกจริงๆ เลย!” เพ็ญนรียิ้มหัวเราะเบาๆ จิบไวน์พันช์หวานอมเปรี้ยวหอมกลิ่นผลไม้สดชื่นของตนอีกครั้งก็หมดแก้ว
ตอนนี้สาวคออ่อนกำลังอยู่ในสภาวะมึนนิดๆ อารมณ์ดีมากๆ และหัวเราะง่ายสุดๆ
            อาเธอร์นั่งเงียบมองการโต้ตอบกันของผู้ร่วมโต๊ะด้วยความรู้สึกแปลก ไม่บ่อยนักที่เขาจะมานั่งทานอาหารในบรรยากาศสบายๆ ละเลียดจิบเครื่องดื่มกับหญิงสาวสองคนที่ไม่ได้นับว่าเป็นมิตรสหายที่มีความสนิทสนมเลยด้วยซ้ำ
แต่ทั้งวันที่ได้ตะลอนเดินทางกลางอากาศร้อนและผู้คนวุ่นวาย แวะชิมอาหารตามที่คนตัวเล็กเลือกสรร เขากลับไม่มีความรู้สึกอึดอัดรำคาญใจ ไม่นึกต้องการวางตัวเหินห่าง หรือก่อกำแพงขึ้นต้านขวางการทำตัวสนิทสนมของคนช่างพูดอย่างที่เคยเป็น
            ยิ่งเมื่อได้มองใบหน้าเล็กที่ตอนนี้ถูกแอลกอฮอล์ย้อมเป็นสีชมพู มองดวงตากลมที่หยีเล็กโค้งลงดั่งจันทร์เสี้ยวยามเจ้าตัวยิ้มหัวเราะให้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปทั่ว นักข้ามเวลาหนุ่มยิ่งนึกแปลกใจตัวเองนัก ว่าเหตุใดมุมปากของเขาถึงคอยอยากจะขยับยกยิ้มตามเธอไปด้วยอย่างนี้ 


อ่านต่อ >> กาลที่ 6 : ขอใกล้เธอ


หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ ได้เลยค่ะ
สั่งซื้อรูปเล่ม... 
www.KanFunBook.com 
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer

โหลดฉบับอีบุ๊ค... 

Meb : https://goo.gl/NMjUZU
The1Book : https://goo.gl/YBDkJg
Hytexts : https://goo.gl/AG1Hxy
Ookbee : https://goo.gl/FMfeuY
NaiinPann : https://goo.gl/X5dZpR
Google Play : https://goo.gl/ZJ8RWG
Dek-D : https://goo.gl/MyUR2K




No comments:

Post a Comment