5 July 2017

# แก่นฝัน # โคแก่

ท่วงเวลารัก - ท่วงรักที่ 3 : ผู้รักษา

ท่วงเวลารัก ชุดกาลรักหนึ่ง

ผู้เขียน : แก่นฝัน

เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน

© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต





ท่วงรักที่ 3 : ผู้รักษา


            ภายใต้ความมืดสลัวในกระโจมควบคุมบรรยากาศหลังหรูหรา ชาลส์กระโจนเข้าใส่ร่างอวบอิ่มในชุดคลุมตัวสั้นสีดำโปร่งบางสุดเซ็กซี่ ก่อนจะทิ้งกายพาให้ร่างของทั้งคู่ล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มคุกเข่ากดร่างที่ดิ้นรนต่อสู้เอาไว้ มือข้างหนึ่งออกแรงบีบลำคอระหงแน่น ส่วนอีกข้างรวบจับข้อมือขวาของเธอ กระแทกมันลงกับพื้นอยู่สองสามครั้งเพื่อบังคับให้สละอาวุธ นัยน์ตาสีเทาวาวโรจน์มองจ้องหญิงสาวผมทองอย่างขึ้งแค้น ไม่คาดคิดเลยว่าคู่ควงชั่วคราวที่เขาพามาร่วมค้างแรมเป็นการส่วนตัวจะกลายเป็นนักสังหารลอบแฝงตัวมา
            ความเจ็บปวดจากบาดแผลเหวอะหวะเหนืออกทำให้ชาลส์ต้องขบกรามแน่น กัดฟันฝืนออกแรงจับบิดแขนของคนที่ยังไม่ยอมปล่อยอาวุธอย่างรวดเร็วรุนแรง จนเสียงร้องหวีดแหลมอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากปากอิ่ม พร้อมกับแรงยึดอาวุธที่คลายออก ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแย่งปืนกระสุนระเบิดที่ตกพื้นมาถือไว้เอง ก่อนจะจับตัวเธอพลิกคว่ำ กระชากกลุ่มผมหนานุ่มสีทองขึ้นมา แล้วกระแทกใบหน้างดงามลงกับพื้นกระโจมอย่างรุนแรงไร้ความปรานี จบท้ายด้วยการจ่ออาวุธร้ายเข้ากับหลังศีรษะของคนใต้ร่าง
            นับว่าโชคดีที่ประสาทสัมผัสของชาลส์ค่อนข้างว่องไว ในทันทีที่หญิงสาวลุกออกจากที่นอน เขาก็รู้สึกตัวตื่นจากการหลับใหลภายหลังการโรมรันอันร้อนแรง เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจจะส่งเสียงเรียกถาม และเกียจคร้านเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมองคู่นอนสาวที่คงแค่ลุกไปทำธุระส่วนตัว แต่ทว่าในนาทีต่อมา กระแสสังหารอันเข้มข้นก็ปลุกเร้าให้เขาลืมตาขึ้นมอง แล้วต้องรีบพลิกกายลงจากที่นอนในทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเล็งอาวุธตรงมา
            แต่มันก็ยังไม่เร็วพอ...
            จากที่นักสังหารตั้งใจเล็งเป้าตรงศีรษะเพื่อกำจัดเขาทิ้งในนัดเดียว แต่เมื่อเป้าหมายเคลื่อนกายหนี เวลากระชั้นบีบให้ต้องเล็งเป้าใหม่อย่างเร็วรี่ กระสุนนัดแรกจึงเจาะทำลายได้เพียงเหนืออกของเขาเท่านั้น
            “ใครส่งแกมา!” ชาลส์คำรามถาม ตามด้วยด้ามอาวุธตวัดฟาดเข้าตรงข้างศีรษะเธอเต็มแรง
            ในเวลาที่ร่างกายเจ็บปวดเกินทานทนจนโทสะเดือดพล่าน และกับคนนอกกฎหมายอย่างนักสังหารเช่นนี้ ชาลส์ไม่หลงเหลือความปรานีใดๆ ให้แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง
            ครั้งนี้กลับไม่มีแม้แต่เสียงแสดงความเจ็บปวดเล็ดรอด นักสังหารสาวจากองค์กรชั้นหนึ่งกัดฟันอดทนและฝืนปากแข็ง แต่แล้วเธอก็ต้องกรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จริงๆ เมื่อหัวไหล่ข้างหนึ่งถูกกระสุนระเบิดทำลายยับเยินจนกระดูกแตกหัก ความเจ็บปวดเจียนตายนี้แทบทำเอาสติหลุด
            “ตอบมา! ฉันนับถึงสาม... นัดต่อไปจะเป็นขาของแก!
            ชาลส์ฝืนร่างกายรีดเค้นต่อ แม้ว่าเวลานี้สีหน้าเขาจะเริ่มซีดเผือด เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักลงมาตามแผ่นอกเปลือยเปล่าเป็นทาง
            ชายหนุ่มตวาดเสียงเหี้ยมนับหนึ่ง พร้อมกับปลดอุปกรณ์เก็บเสียงออกจากอาวุธร้าย เพราะต้องการให้มีเสียงปืนดังปลุกเรียกเอ็มการ์ดที่เขาสั่งให้เข้าพักในกระโจมแยกห่างไปเพื่อความเป็นส่วนตัวในการหาความสำราญยามราตรี แต่เขายังไม่ทันได้นับถึงสาม ประตูกระโจมก็ถูกเปิดออกโดยเอ็มการ์ดร่างผอมสูงปราดเปรียวคนหนึ่ง
            “เกิดอะไรขึ้นครับบอส”
            ชายในชุดกระชับรูปสีเทาเข้มร้องถามขณะก้าวเข้ามา ก่อนจะชะงักไปกับภาพที่เห็น แล้ววินาทีถัดมาเขาก็เร่งสาวเท้าตรงเข้าไปหาร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเจ้านาย
            “จับตัวมันเอาไว้... สอบมันให้ได้ว่าใครส่งมันมา... แล้วก็เรียกแอมบูแลนซ์โมบิลมาด่วน” ชาลส์ออกคำสั่งเสียงเข้มติดขัดหอบสะท้าน แต่มือยังคงจ่ออาวุธไปยังร่างบนพื้นอย่างมั่นคงไม่ยอมประมาท
            ชาลส์เตรียมจะขยับตัวลุกขึ้นเมื่อคนของเขาเดินเข้ามาใกล้ ทว่าสายตาคมปลาบของเขากลับมองเห็นสิ่งผิดปกติเข้าให้เสียก่อน อาวุธในมือจึงตวัดวาดไปยังร่างสูงที่เดินเข้ามาแล้วส่งกระสุนออกไปสองนัดติด ชิงจังหวะเสี้ยววินาทีก่อนที่ปืนในมือของอีกฝ่ายจะถูกยกขึ้นมายิงกระสุนใส่เขาเช่นกัน
            เอ็มการ์ดทุกคนไม่มีอาวุธผิดกฎหมายอย่างปืนกระสุนระเบิดไว้ในครอบครอง!
            ร่างทั้งสองต่างกระตุกเฮือกจากฤทธิ์ทำลายล้างของกระสุนหัวระเบิด นักสังหารในคราบเอ็มการ์ดนั้นศีรษะกระจุยไปครึ่งแถบ สิ้นใจทันทีก่อนที่ร่างจะล้มตึง ในขณะที่ชาลส์ถูกกระสุนอีกนัดซ้ำเข้าใกล้กับจุดเดิมจนไม่อาจทานทนได้ไหว แรงกระแทกทำให้ร่างเขาล้มหงายลงกับพื้น ร่างกายที่ฝืนกำลังมานานพลันสติดับวูบลงในวินาทีนั้น
            นักสังหารหญิงรีบสะบัดตัวลุกขึ้นมาในสภาพสะบักสะบอม อาการบาดเจ็บสาหัสที่ไหล่ขวาทำให้เธอไม่รีรอชักช้า หรือเสียเวลาตรวจสอบลมหายใจของเป้าหมาย ด้วยคิดว่าเจ็บหนักขนาดนั้น อย่างไรเขาก็ไม่มีทางรอดไปได้ สาวผมทองเร่งพาตัวเองออกจากกระโจม ตรงดิ่งไปยังแอร์โมบิลสองคันที่จอดอยู่ไม่ไกล จัดการติดตั้งระเบิดไว้ใต้ถังเชื้อเพลิงของแอร์โมบิลที่จอดอยู่ใกล้กับกระโจมค้างแรมของผู้นำแมคแกรี่ ก่อนจะอาศัยแอร์โมบิลอีกคันหลบหนีหายไป
            อีกไม่ถึงสามนาทีต่อมา เสียงระเบิดก็ดังสนั่น ตามด้วยเปลวเพลิงที่พวยพุ่งทำลายหลักฐานทุกอย่าง


          กลุ่มของพีณามาถึงในจังหวะที่เปลวไฟลุกลามจากจุดเกิดระเบิดไปถึงกระโจมที่พักหรูหนึ่งในสองหลัง ลูกบอลดับเพลิงที่บรรทุกมาในแอร์โมบิลทั้งสองคัน ถูกมือนับสิบเร่งโยนลงไปยังต้นกำเนิดเพลิงและรอบบริเวณที่ไฟลามเลียอย่างรวดเร็ว เมื่อเปลือกหุ้มถูกทำลายด้วยแรงกระแทกและความร้อน สารเคมีภายในก็ทำปฏิกิริยาจนเกิดฟองโฟมละเอียดหนาแน่น พองฟูไหลลามไปครอบคลุมเชื้อเพลิงร้อนจนไม่มีช่องว่างให้ออกซิเจนเข้าถึง อีกทั้งปฏิกิริยานั้นยังดูดความร้อนจากแหล่งเชื้อเพลิงจนอุณหภูมิลดฮวบ พื้นที่ไฟลุกไหม้สีแดงฉานจึงพลันเปลี่ยนเป็นพื้นที่สีขาวราวปกคลุมด้วยหิมะในเวลาไม่นาน
            เมื่อแอร์โมบิลของวิลตันไชลด์ร่อนลงจอดใกล้ๆ กับพื้นที่ตั้งแคมป์ของแมคแกรี่ เพลิงไหม้ก็ดับมอดลงจนหมด เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นควันและไอระอุเบาบางเท่านั้น ผู้เพิ่งมาถึงทั้งหกก้าวลงจากแอร์โมบิลด้วยความระมัดระวัง เบื้องหน้าที่ยืนอยู่ไม่ไกลคือชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังตื่นตระหนกกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นไม่น้อยเลย
            โทเว แมคแกรี่ มองชายร่างใหญ่สองคนในกลุ่มคนที่เพิ่งมาถึงอย่างระแวดระวังและจับสังเกต เมื่อเห็นสัญลักษณ์ของวิลตันไชลด์บนแขนเสื้อของคนทั้งคู่ เขาก็ส่งคำถามที่เต็มไปด้วยระแวงไปให้
            “พวกนายมาได้ยังไง...”
            “เราพักอยู่อีกฝั่งแล้วได้ยินเสียงระเบิด เลยมาช่วยดับไฟ” เรนโซตอบอีกฝ่ายเสียงเรียบ
            ในขณะที่คู่หูอย่างบีเจย์กวาดสายตามองไปรอบบริเวณอย่างแปลกใจระคนระแวง เมื่อไม่เห็นใครอื่นอีกเลยนอกจากชายหญิงตรงหน้า
            “ช่างบังเอิญเหลือเกิน” โทเวว่าเสียงประชด สายตาที่มองพวกเขาฉายความไม่ไว้ใจอย่างโจ่งแจ้ง
            “คนอื่นๆ อยู่ไหน มีใครได้รับบาดเจ็บ หรือต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า” บีเจย์ทำมองข้ามความไม่ไว้ใจนั้นแล้วสอบถาม แต่มันกลับทำให้แววตาของเจ้าของพื้นที่ยิ่งเปล่งประกายไม่ไว้ใจ
            “เลิกระแวงพวกเราได้แล้วค่ะ! เรามาดี แล้วก็ตั้งใจมาช่วยเหลือจริงๆ” พีณาจับคลื่นอารมณ์ที่ถูกส่งมาจากคนตรงหน้าได้ จึงรีบร้องบอกเขาอย่างขัดใจ “ถ้าหากมิสเตอร์จะก่อเหตุร้าย จะพาเด็กๆ อย่างพวกเรามาด้วยเหรอคะ”
            นัยน์ตาสีเทาคมกริบคล้ายกับชาลส์อยู่หลายส่วน ตวัดลงมามองเด็กสาวเจ้าของคำพูดย้อนถามนั้น เมื่อเห็นว่าเธอเป็นใคร แววตาเคร่งเขม็งระวังตัวจัดก็เปล่งแววประหลาดใจ
            “และวิลตันไชลด์คงไม่บ้าขนาดส่งคุณหนูพีณามาในที่เกิดเหตุด้วยตัวเองอย่างนี้... จริงไหม” โทเวส่งคำถามคล้ายต้องการหยอกเย้าเด็กสาว ทว่าน้ำเสียงและใบหน้ากลับเต็มไปด้วยร่องรอยเคร่งเครียดกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น
            “เอ็มการ์ดทั้งหมดถูกฆ่า การสื่อสารทั้งหมดถูกตัดขาดจนไม่สามารถติดต่อใครได้ ส่วนชาลส์กับเมเดนอยู่ในกระโจมหลังนั้น เมื่อครู่ไฟโหมใกล้ประตูพอดี ฉันยังไม่ทันได้หาทางเข้าไปดูพวกนายก็มาเสียก่อน”
            โทเวสรุปสถานการณ์สั้นกระชับ ตอนท้ายเขายังมองไปทางกระโจมหลังที่ว่าด้วยสีหน้าวิตกกังวล จากนั้นก็เดินนำทุกคนไปค้นหาตัวชายหนุ่มที่ยังไม่รู้ชะตากรรม
            “คุณหนูรออยู่ตรงนี้ดีกว่าครับ” บีเจย์หมุนกายมาบอกกับขบวนเด็กหนุ่มสาวที่ทำท่าจะเดินตาม
            เรนโซพยักหน้าให้คู่หู แบ่งหน้าที่กันอย่างรู้ใจ เขาปักหลักรออยู่ด้านนอกเพื่อคุ้มครองเด็กทั้งสี่ พร้อมกับพยายามต่อการสื่อสารไปยัง
ผู้พิทักษ์สันติดูอีกครั้ง แต่ผลก็ยังเป็นเช่นเดียวกับที่โทเวบอกไว้... ไม่สามารถต่อการสื่อสารออกไปได้

            ใครบางคนที่ก่อเรื่องนี้คงตั้งใจทำให้บริเวณนี้กลายเป็นจุดบอดสัญญาณ เพื่อขัดขวางการสื่อสารขอความช่วยเหลือ
            ฝั่งบีเจย์ใช้ไฟฉายขนาดเล็กแรงไฟสูงขึ้นส่องนำทาง ก้าวลุยย่ำไปบนฟองโฟมหนาถึงข้อเท้า ผ่านช่องผนังกระโจมซึ่งถูกเผาทำลายไปแถบหนึ่งจนเปิดโล่ง ก่อนจะต้องผงะไปอึดใจกับร่างไร้วิญญาณในชุดเอ็มการ์ดที่ศีรษะถูกทำลายกระจุย เลือดและเนื้อสมองไหลนองอยู่บนพื้นดูสยดสยอง และเมื่อเขาเบือนสายตากวาดมองหาบุคคลอื่นๆ ก็ได้พบกับชายหนุ่มร่างเปลือยเปล่านอนหงายอยู่บนพื้นห่างไปไม่ไกล บาดแผลทั้งกว้างทั้งลึกและคราบเลือดเกรอะกรังบนร่างนั้น ดูน่ากลัวไม่น้อยไปกว่าร่างแรกเลย
            “ชาลส์!
            โทเวพุ่งเข้าไปหาร่างบนพื้นหลังจากหายช็อก ร่างสูงหนาทรุดกายนั่งลงข้างๆ ร่างที่บาดเจ็บสาหัส มองสำรวจหลุมแผลกว้างน่ากลัวสลับกับใบหน้าซีดขาวเปื้อนรอยเลือดกระเซ็นของญาติผู้พี่อย่างทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งรอลุ้นคำตอบ เมื่อคนของวิลตันไชลด์ก้าวเข้ามาแตะลำคอตรวจสัญญาณชีพของร่างที่แน่นิ่ง
            “ยังมีชีพจร แต่อ่อนแรงเต็มที” บีเจย์รายงาน ในใจนึกทึ่งเกินคาดที่ผู้นำแมคแกรี่ยังทนพิษบาดแผลอยู่ได้ แต่ทว่านาทีถัดมาก็เปลี่ยนเป็นความกังวลว่าร่างนี้อาจจะทนต่อไปได้อีกไม่นาน
            “เราต้องรีบตามแอมบูแลนซ์มาให้ได้” โทเวบอกกึ่งขอร้อง ในเวลาที่การสื่อสารใช้งานไม่ได้เช่นนี้ ทางเดียวที่เหลืออยู่คงต้องพึ่งพาแอร์โมบิลของวิลตันไชลด์เท่านั้น
            บีเจย์พิจารณาสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด การนำตัวชาลส์ไปให้ถึงสถานรักษาที่เพียบพร้อมโดยเร็วที่สุด เป็นทางรอดเดียวของผู้นำแมคแกรี่ วิทยาการทางการแพทย์ทุกวันนี้ก้าวไกลจากอดีตมากมาย จนผู้คนมีอายุยืนยาวถึงร้อยยี่สิบปี แค่บาดแผลที่เห็นว่าอันตรายสาหัสเหล่านี้จึงไม่นับว่าหนักหนาเกินการเยียวยารักษาเลย ขอเพียงแต่ต้องไปถึงมือผู้รักษาให้ทัน ก่อนที่หัวใจจะหยุดเต้นเกินสิบนาที จนสมองขาดเลือดและเสียหายเกินกว่าจะรักษาให้คืนสภาพเดิมเท่านั้น
            แต่สถานรักษาที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างไกลออกไปกว่าสองชั่วโมง ชาลส์จะทนรอให้เขาไปตามแอมบูแลนซ์มาไหวหรือไม่ หรือถ้าหากต้องการร่นเวลาด้วยการฝืนเคลื่อนย้ายคนเจ็บไปส่งด้วยตัวเอง มันจะยิ่งสร้างความกระทบกระเทือนจนเขาสิ้นใจไประหว่างทางหรือเปล่า
            “บีเจย์คะ...” จู่ๆ เสียงของพีณาที่หยุดยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลก็ถูกส่งเข้ามา
            เด็กสาวเห็นคนทั้งสองหายเงียบไปนาน จึงได้เดินตามมาชะเง้อมองอยู่หน้ากระโจม และพลอยได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยปรึกษากันไปด้วย จึงได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไปอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา
            “พีณาเปิดเอสโอเอสแล้ว อีกไม่นานแอมบูแลนซ์โมบิลจะมาถึงเราแน่นอนค่ะ”
            พีณาหมายถึงระบบสัญญาณฉุกเฉินที่ฝังซ่อนอยู่กับจีเนียสวอตช์และเครื่องประดับของเธอ ซึ่งสามารถแจ้งตำแหน่งและส่งเสียงสื่อสารไปยังศูนย์รักษาความปลอดภัย ผ่านทางระบบดาวเทียมของวิลตันไชลด์โดยไม่เกี่ยวข้องกับระบบการสื่อสารทั่วไป และอีกไม่นานเกินรอ ทีมแพทย์ฉุกเฉินและแอมบูแลนซ์โมบิลจะตรงดิ่งมาถึงที่นี่ตามที่เธอร้องขอ
            แต่ระหว่างนั้น เธอคิดว่าตัวเธอและเพื่อนน่าจะช่วยเหลือคนเจ็บได้มากกว่าการรอคอยอยู่เฉยๆ
            “เรนโซเอากล่องปฐมพยาบาลมาจากท้ายโมบิลแล้วด้วย... พีณาเข้าไปได้ไหมคะ เราน่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
            ทั้งหมดที่ได้ยินทำให้บีเจย์โล่งใจลงไปได้บ้าง เขานึกตริตรองอยู่อีกแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ก่อนจะลุกไปคว้าผ้าห่มผืนใหญ่มาคลุมร่างผู้ชายที่ตายสยอง ตามด้วยสะบัดเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเข้มลงบนร่างกายท่อนล่างของคนเจ็บหนัก เมื่อภาพไม่เหมาะสมคู่ควรกับสายตาของคุณหนูถูกปิดซ่อนเรียบร้อย จึงค่อยเอ่ยอนุญาตให้เธอและเพื่อนเข้ามาได้
            ผู้คุ้มกันหนุ่มติดตามดูแลพีณามานานหลายปี ย่อมรู้จักเพื่อนของเธอทุกคนเป็นอย่างดีไปด้วย และรู้ว่าเด็กสาวผู้ใจเย็นสุขุมกว่าใครนั้น เป็นนักเรียนรู้วิชาแพทย์ฝึกหัดที่เป็นที่กล่าวถึงในอันดับต้นๆ ของสถานเรียนรู้เอมฟิลด์


          หลุมแผลฉกรรจ์เหนืออกขวาของร่างที่นอนอยู่กลางกองเลือดบนพื้นยางควบคุมอุณหภูมิในกระโจม ทำเอาซิลเวียที่แม้จะเคยเห็นร่างกายมนุษย์ทั้งภายในและภายนอกมานับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงเคยเข้าชมและฝึกหัดการผ่าตัดมาแล้วหลายครั้งถึงกับชะงัก ใบหน้าขาวผ่องซีดเผือดลงกว่าเก่า
            ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวบาดแผลเหวอะหวะไม่น่ามอง แต่เธอหวั่นกลัวในความรุนแรงของมันมากกว่า กลัวว่าจะไม่อาจช่วยยื้อลมหายใจของเขาไว้ได้นานพอ
            หน้าอกฝั่งขวาของชาลส์บุบยุบลงไปอย่างเห็นได้ชัด เนื้อหนังกระจุยเสียหายจนไม่เหลือสภาพแน่นแกร่งด้วยกล้ามเนื้อเหมือนอีกด้าน กระดูกซี่โครงสองซี่บนแตกหัก และโดยไม่ต้องใช้เครื่องสแกนใดๆ ซิลเวียก็มั่นใจว่าอวัยวะภายในของเขาต้องเสียหายไปด้วยไม่น้อยเลย
            อานุภาพของกระสุนหัวระเบิดที่ได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก ทำให้เด็กหนุ่มสาวทั้งสี่รู้ซึ้งแก่ใจเลยว่าเหตุใดมันจึงถูกจัดให้เป็นอาวุธป่าเถื่อนไร้อารยธรรมและผิดกฎหมาย เป็นอาวุธร้ายแรงที่ประชาชนทั่วไปไม่อาจมีไว้ในครอบครอง
            มือเรียวเล็กในถุงมือยางค่อยๆ วางแผ่นเจลลดอุณหภูมิหลายแผ่นรอบๆ บาดแผล เพื่อช่วยห้ามเลือดและชะลอการตายของเนื้อเยื่อ จากนั้นก็ใช้คีมคีบสำลีซับเลือดและน้ำเหลืองออกจากหลุมแผล เช็ดทำความสะอาด แล้วใช้กรรไกรปลอดเชื้อตัดเล็มเนื้อตายออกอย่างรวดเร็ว พยายามใจเย็นและควบคุมให้มือนิ่งที่สุด โดยมีวัตต์คอยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ ส่วนพีณาและชารีย์นั้นคอยเฝ้ามองให้กำลังใจ พร้อมร่วมลุ้นไปด้วยกัน
            แต่ในจังหวะที่มือบอบบางกำลังจะพ่นสเปรย์ยาห้ามเลือด ภาพของบาดแผลที่บางส่วนค่อยๆ สมานตัวเองได้อย่างผิดปกติก็ทำให้ซิลเวียต้องชะงัก เพียงครู่เดียวก็เบิกตาโตขึ้น แล้วเงยหน้ามองพีณาที่กำลังใช้สองมือประคองสองข้างศีรษะของคนเจ็บเอาไว้ เด็กสาวแพทย์ฝึกหัดพลันขมวดคิ้วฉับเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดลงจนน่าเป็นห่วง
            “พีณา...”
            คนถูกเรียกซึ่งทิ้งสายตาไว้กับบาดแผลกว้างโดยไม่สนใจรอบด้านถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตาไปมองต้นเสียง
            “พอแล้ว” ซิลเวียเตือนอย่างเป็นห่วง
            “พีณายังไหว”
            คำพูดคุยสั้นๆ แต่ชวนสงสัยไม่เข้าใจนั้น เรียกสายตาของกลุ่มผู้ใหญ่ที่ยืนรอลุ้นผลการปฐมพยาบาลอยู่ห่างๆ ให้จ้องมองเด็กสาวทั้งสองอย่างสงสัย แต่ก่อนที่จะมีใครในพวกเขาได้เอ่ยปากถาม ชารีย์ก็ผุดลุกขึ้นจากข้างกายคนเจ็บ เดินก้าวอาดๆ ไปพูดกับผู้ไม่เกี่ยวข้อง
            “จากนี้ซิลเวียจะต้องการสมาธิมาก และเธอไม่ชอบให้มีสายตาใครต่อใครมาคอยมองรบกวน เชิญออกไปรอข้างนอกได้ไหมคะ”
            เด็กสาวบอกออกไปแล้วก็ได้เห็นสายตากังขาและไม่เห็นด้วยจากผู้ถูกเชิญออกจากพื้นที่การรักษา เธอจึงวางสีหน้าให้ขึงขังน่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่เด็กสาววัยสิบห้าปีเศษจะทำได้ และถึงกับยกเอาชื่อเสียงของสถานเรียนรู้อันดับหนึ่งของยูไนเต็ดขึ้นมาอ้าง
            “ถึงพวกเราจะเป็นเด็ก แต่ก็เป็นนักเรียนรู้สายฮีลลิ่งของเอมฟิลด์นะคะ... โปรดไว้ใจซิลเวีย และปล่อยให้เธอได้ทำหน้าที่ในสภาวะที่ไม่กดดันเถอะค่ะ”
            คำพูดจาจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวดูขัดแย้งเหลือเกินกับบุคลิกสาวกฮิปฮอปของผู้พูด แต่สุดท้ายแล้วผู้ใหญ่ทั้งสี่ก็ยอมออกจากกระโจมไปรออยู่ด้านหน้า เพราะเห็นด้วยกับเธอว่าการที่พวกเขามายืนจ้องอยู่อย่างนี้ อาจทำให้แพทย์ฝึกหัดประสบการณ์ยังน้อยกดดันจนมีผลต่อการรักษา
             จนเมื่อคนนอกออกไปจากกระโจมแล้ว นักเรียนรู้ทั้งสี่ก็สามารถพูดคุยกันได้มากขึ้น เพียงแต่พยายามกดเสียงให้เบาลงจนแทบเป็นกระซิบ
            “พอก่อนเถอะพีณา ก่อนที่ตัวเองจะไม่ไหวเอา” ซิลเวียทักท้วงการกระทำของเพื่อนรักอีกครั้ง
            ถึงแม้เธอจะต้องการช่วยชีวิตชาลส์ไว้ให้ได้ ในฐานะที่ตนเป็นว่าที่แพทย์ผู้มีหน้าที่ให้การรักษา แต่เธอก็ไม่ปรารถนาให้เพื่อนต้องเสียสละพลังชีวิตของตัวเองเกินจำเป็น
            “อีกนิดเดียวนะซิลเวีย พีณาอยากมั่นใจว่าเขาจะรอดตาย” พีณาที่กำลังเพ่งสมาธิสื่อสารกับ ระบบในร่างกายของชาลส์บอกกับเพื่อนอย่างมุ่งมั่น
            ความสามารถพิเศษของพีณาไม่ได้มีเพียงแค่การรับรู้ สื่อสาร และเยียวยาอารมณ์จิตใจผู้คนเท่านั้น ความสามารถของเธอยังพัฒนาไปสู่ความลับซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ คือการรักษาร่างกายที่เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ด้วยการสื่อสารกับ ระบบภายในเพื่อปรับเปลี่ยนหรือเร่งการทำงานของกระบวนการต่างๆ ในร่างกายที่มีการควบคุมด้วยสารสื่อประสาท และสารสื่อกลางต่างๆ
            เหมือนเช่นในตอนนี้ นอกจากพีณาจะปลุกเร่งกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลของชาลส์ให้ทำงานเร็วกว่าปกติ เธอยังคอยส่งคลื่นไฟฟ้ากระตุ้นเป็นจังหวะ ประคับประคองให้หัวใจที่อ่อนแรงของเขายังคงบีบเต้นต่อไปอีกด้วย
            “เขาเป็นคนไม่ดีแท้ๆ พีณาไม่เห็นจำเป็นต้องเสียสละตัวเองขนาดนี้เลย” ชารีย์มองใบหน้าซีดเซียว หน้าผากและไรผมชื้นเหงื่อเม็ดโตของเพื่อนอย่างไม่ชอบใจนัก
            การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยวิธีฝืนธรรมชาติเช่นนี้ ผู้รักษาย่อมต้องสิ้นเปลืองพลังจิตและพลังชีวิตไปมากมาย และยังเสี่ยงต่อการที่ร่างกายจะอ่อนแอลงในระยะยาวอีกด้วย
            “เอาเถอะน่าชารีย์ ช่วยคนแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด อีกอย่าง... นอกจากลูกนกลูกแมวแล้ว เขาเป็น คน เคสแรกที่พีณาได้ทดลองฮีลลิ่งด้วยวิธีนี้เลยนะ แล้วเดี๋ยวพีณาค่อยไปคิดบัญชีกับต้นไม้ในเกรนเด้ทีหลังแล้วกัน”
            พีณาหาข้ออ้างไปเรื่อยเพื่อให้เพื่อนยินยอมคล้อยตาม เมื่อไม่มีใครพูดค้านอะไรอีก เด็กสาวก็พุ่งสมาธิทั้งหมดไปยังอาการบาดเจ็บของคนตัวโต เช่นเดียวกับซิลเวียที่ลอบถอนใจออกมาอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็จำต้องยอมปล่อยให้เพื่อนได้ทำตามต้องการ ก่อนจะลงมือทำหน้าที่ของตนเองต่อไปให้ดีที่สุด
            ในเวลานี้พวกเธอทั้งสี่ต่างตั้งอธิษฐานมุ่งมั่นกันเป็นใจเดียว ว่าขอให้การช่วยเหลือของพวกเธอไม่เสียเปล่า สามารถประคับประคอง ยื้อยุดชีวิตของเขาเอาไว้ได้จนกว่าแอมบูแลนซ์โมบิลจะมาถึง


            หลังจากยืนมองส่งชาลส์ขึ้นแอมบูแลนซ์โมบิลแล่นจากไป ทั้งซิลเวีย ชารีย์ และวัตต์ก็ถอนใจออกมาแทบจะพร้อมกัน ในลมหายใจยาวๆ นั้น มีทั้งความโล่งอกและภาคภูมิใจรวมไว้ด้วยกันอย่างกลมเกลียว พวกเธอได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือหนึ่งชีวิต และไม่ทำให้สถานเรียนรู้เอมฟิลด์เสียชื่อ และที่การรักษาฉุกเฉินครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ก็ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของพีณาเป็นสำคัญ
            ทั้งสามหันไปมองเพื่อนตัวเล็กกว่าใครที่หลับใหลหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของบีเจย์ที่อุ้มเธอเอาไว้ แม้พวกเธอจะบอกใครต่อใครที่รีบรุดเข้ามาในกระโจมเมื่อแอมบูแลนซ์โมบิลเดินทางมาถึง ว่าพีณาเพียงแค่กลัวเลือดจนเป็นลมไป แต่ผู้คุ้มกันจากวิลตันไชลด์ก็ดูจะไม่ค่อยเชื่อถือในคำอ้างเหล่านั้นสักเท่าไร
            “มิสเตอร์เลย์ดีนสั่งให้ผมเชิญพวกคุณหนูย้ายไปพักที่วิลตันไชลด์โดมกันก่อน”
            บีเจย์บอกเสียงสุภาพ ก่อนจะนำทางเด็กทั้งสามไปยังแอร์โมบิลคันใหญ่ วางร่างหมดสติของพีณาไว้ตรงเบาะตอนหลัง โดยมีพนักงานขับนั่งประจำด้านหน้าเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แม้เขาจะยังมีเรื่องค้างคาใจ แต่ก็ไม่มีเวลามาซักไซ้ขอคำอธิบายที่ดีกว่านี้ เพราะต้องรีบทำตามคำสั่ง พาตัวเด็กๆ ทั้งหมดออกไปจากที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด เหลือทิ้งไว้เพียงเขา เรนโซ และนักเจรจากฎหมายจากวิลตันไชลด์ที่ต้องอยู่รับหน้าผู้พิทักษ์สันติที่จะเข้ามาสอบสวน
            หลังจากแอร์โมบิลคันใหญ่สองคันหายไปจากพื้นที่ บีเจย์ก็เดินนำนักเจรจากฎหมายเข้าไปตกลงบางเรื่องกับโทเว
            “มิสเตอร์คงเห็นแล้วว่าวิลตันไชลด์ช่วยเหลือเรื่องนี้อย่างจริงจังและจริงใจ และไม่ได้มีเบื้องหลังใดๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น” นักเจรจากฎหมาย และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกลบเกลื่อนหลักฐานเริ่มต้นงานของเขาทันที
            “เราจึงอยากจะขอให้มิสเตอร์ช่วยลืมเรื่องเด็กทั้งสี่คนไปเสีย จำไว้แค่ว่าคนที่เข้ามาช่วยเหลือพวกมิสเตอร์ในค่ำนี้ มีเพียงแค่บีเจย์และเรนโซเท่านั้น”
            คำขอให้บิดเบือนความจริงจากคนของวิลตันไชลด์ ทำให้โทเวต้องจ้องหน้าเขาเขม็งอย่างแคลงใจ ในขณะที่ผู้หญิงผมดำอีกคนซึ่งควงแขนเขาอยู่แสดงสีหน้าไม่เข้าใจชัดเจน เธอหันมามองคู่ควงรูปหล่อตระกูลดังอย่างรอคอยการตัดสินใจจากเขา
            “มิสเตอร์คงไม่อยากให้ปัญหาของแมคแกรี่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับเด็กอายุน้อยเหล่านั้นหรอก จริงไหมครับ” นักเจรจากฎหมายพยายามไกล่เกลี่ย กึ่งชี้แจงกึ่งบีบบังคับ
            “หากผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้รู้ว่ามีใครเข้ามาขัดขวางแผนการบ้าง มิสเตอร์จะรับประกันได้หรือไม่ครับว่าเขาจะไม่ผูกใจเจ็บ จนอยากแก้แค้นคนที่ช่วยรักษาชีวิตมิสเตอร์ชาลส์เอาไว้ แม้พวกเขาจะเป็นแค่เด็กก็ตาม... เราไม่อาจเสี่ยงกับความคิดของผู้บงการและพวกนักสังหารได้เลย มิสเตอร์ว่าจริงหรือไม่ครับ”
            เมื่ออีกฝ่ายพูดดักทางมาขนาดนี้ โทเวจึงทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับข้อตกลง อย่างไรแล้วการเบี่ยงคำให้การนี้ก็ไม่ได้มีผลต่อการสืบสวนมากนัก และเขาเองก็ไม่ได้หวังผลการทำงานของผู้พิทักษ์สันติสักเท่าไร
            หลังจากทั้งคู่ตกลงกันได้ไม่นาน ทีมสืบสวนและตรวจสอบหลักฐานของสำนักงานพิทักษ์สันติก็มาถึงที่เกิดเหตุ การสอบสวนผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่นตามสมควร แต่ไม่ได้คาดคั้นกดดันมากนัก ด้วยว่าคนทั้งหมดต่างก็มีชื่อตระกูลใหญ่กำกับอยู่ด้านหลัง


          หลังจากเหตุการณ์ที่พีณาใช้พลังช่วยเหลือชาลส์จนตนเองต้องสลบไสลไปนานสามวันสามคืน แถมยังอ่อนแรงจนต้องพักฟื้นอยู่บนเตียงอีกร่วมสัปดาห์ เด็กสาวก็ถูกครูประจำตัว ซึ่งรับผิดชอบการเรียนรู้ของเธอตั้งแต่แรกเข้าเรียนรู้ในเอมฟิลด์ไปจนกระทั่งจบหลักสูตร มอบคำตำหนิให้ชุดใหญ่ โทษฐานที่เธอเสี่ยงใช้พลังรักษาโดยที่ยังไม่สามารถควบคุมมันได้เชี่ยวชาญพอ แถมยังฝืนตัวเองอย่างไม่รู้จักประมาณตน ไม่คิดถึงผลร้ายเกินคาดการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา
             นับจากวันนั้น ความสามารถอันเป็นความลับของพีณาก็ถูกครูประจำตัวใส่ใจกับมันมากขึ้น ด้วยรู้จักนิสัยของเด็กสาวดีว่าต่อให้สั่งห้าม เธอก็คงไม่อาจเพิกเฉยต่อชีวิตของใครหรืออะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าได้ การรักษาผู้เจ็บป่วยหลายรายในการเป็นแพทย์ฝึกหัดของซิลเวียจึงมีพีณาคอยตามประกบ เพื่อให้เธอได้ฝึกฝนการควบคุมพลังและเรียนรู้ข้อจำกัดของตนเอง โดยมีการบรรเลงเพลงเพื่อความสงบและผ่อนคลายความเครียดของผู้ป่วยก่อนรับการรักษาเป็นข้ออ้างบังหน้าแก่บุคคลภายนอก
            สถานเรียนรู้เอมฟิลด์เป็นสถานเรียนรู้ชั้นนำของยูไนเต็ดที่สิบสาม นอกจากจะมีชื่อเสียงในด้านการจัดหลักสูตรการเรียนรู้ที่ดีเยี่ยมและเหมาะสมกับนักเรียนรู้แต่ละคนแล้ว ที่นี่ยังขึ้นชื่อในด้านการค้นหาและปลุก กิฟต์ที่ซ่อนเร้นในตัวเด็กบางคน และยังมีบุคลากรคุณภาพจำนวนมากที่จะคอยช่วยชี้แนะและฝึกฝนให้เด็กๆ เหล่านั้นสามารถใช้พลังพิเศษของตนได้อย่างเต็มศักยภาพ
            ระบบการเรียนรู้ของยุคนี้จะเริ่มจากการรับนักเรียนรู้เป็นรุ่นๆ ซึ่งจะมีอายุต่างกันอยู่ในช่วงสามถึงสี่ปี ตามแต่ระดับพัฒนาการของตัวเด็กเองว่าพร้อมเข้ารับการเรียนรู้ในปีไหน โดยปกตินักเรียนรู้จะมีครูประจำตัวเพียงคนเดียวตลอดระยะเวลาแปดถึงสิบห้าปีของการเรียนรู้ ครูประจำตัวจะเป็นผู้เฝ้าสังเกตลักษณะนิสัย พฤติกรรม ความชื่นชอบสนใจ และความสามารถของนักเรียนรู้เป็นรายคน เพื่อแนะนำและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรมากมายให้เหมาะสม
            ในช่วงสามปีแรกของการเรียนรู้จะเป็นการปูพื้นฐาน โดยให้ความสำคัญของวิชาพื้นฐานต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ ภาษา สังคม ศิลปะ ดนตรี กีฬา การช่าง และทักษะอื่นๆ มากมายอย่างเท่าเทียม ทั้งหมดเป็นการเรียนรู้โดยไม่มีการวัดผลจัดอันดับ ซึ่งจะเป็นการตีกรอบกดดันให้นักเรียนรู้จำต้องเรียนรู้ได้ดีไปหมดทุกอย่างเพื่อหลีกหนีการเป็นกลุ่มเด็กท้ายแถว
            หลังจากนั้นจะเป็นกระบวนการค้นหาความชอบและความถนัดของนักเรียนรู้ เด็กทุกคนจะเริ่มรู้ชัดถึงสิ่งที่ตนสนใจและทำได้ดี เพื่อนำไปสู่การเลือกทดลองฝึกหัดประกอบอาชีพในกลุ่มงานต่างๆ ซึ่งช่วงเวลาของการทดลองทำงานและตามหาเส้นทางที่เหมาะสมนี้ มักจะกินเวลาช้านานแตกต่างกันค่อนข้างมากในนักเรียนรู้แต่ละคน ทำให้ระยะเวลาของกระบวนการเรียนรู้ไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัว จนเมื่อได้พบคำตอบที่ใช่สำหรับตน ก็จะเป็นการเรียนรู้แบบเจาะลึกและใช้เวลากับสิ่งนั้นอย่างจริงจัง ซึ่งนับว่าเป็นช่วงสุดท้ายของการเรียนรู้
            ทั้งหมดนั้นครูประจำตัวที่มีประสบการณ์และเอาใส่ใจจึงนับเป็นกุญแจสำคัญ ครูจะไม่มีการชี้นำ บังคับฝืนใจ หรือตัดสินว่าอาชีพนั้นดีกว่าอาชีพนี้ แม้แต่เด็กที่ชื่นชอบความสะอาดและรักความเป็นระเบียบ ก็ยังถูกส่งเสริมให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดระเบียบบ้านได้อย่างภาคภูมิ

           
            วันเวลาในชีวิตของพีณาเดินผ่านไปในท่วงทำนองแสนสุขสงบราบรื่น เผลอครู่เดียว การสั่งสมความเชี่ยวชาญทั้งการใช้พลังเสียงบำบัด และพลังรักษาลับๆ ของเธอก็ผ่านไปได้สองปีเศษ
            จากเด็กสาวตัวเล็กบางในวันเก่า วันนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีเศษร่างโปร่งบางอ้อนแอ้น ใบหน้าน่ารักเรียวลงเล็กน้อยและฉายความสวยเด่นชัดกว่าเดิม จนผู้ที่ได้พบเห็นไม่อาจมองผ่านไปได้ง่ายๆ การทำงานในวงการคีตบำบัดมากว่าสามปีทำให้เด็กสาวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ประกายความฉลาดซุกซนในดวงตาของเธอกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
            นอกจากจะเป็นนักบรรเลงไวโอลินสายคีตบำบัดที่อายุน้อยที่สุดในวงการแล้ว ด้วยความโดดเด่นในการสร้างสรรค์บทเพลงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศบริสุทธิ์สดใสไม่ต่างจากตัวเธอเอง ทำให้พีณาเริ่มถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะเมโลดิสต์สาวน้อยมหัศจรรย์ และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า... หลังจากการทุ่มเททำงานร่วมกับทีมมาตลอดปี บทเพลงคีตบำบัดชุดที่สองของเธอซึ่งมีเพลงที่แต่งขึ้นด้วยตนเองกว่าครึ่งก็จะถึงกำหนดเปิดตัว
            เด็กสาวร่างสูงโปร่งในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนจางแบบเรียบๆ ก้าวออกจากห้องซ้อมดนตรีพร้อมกับเด็กหนุ่มในรุ่นเดียวกัน ใบหน้าของคนทั้งคู่ประดับด้วยรอยยิ้มขณะพูดคุยเรื่องดนตรีกันอย่างถูกคอ ในเมื่อคนหนึ่งคือเมโลดิสต์สาวพลังบำบัด ส่วนอีกคนเป็นผู้คุมวงฝึกหัดอัจฉริยะที่มีหูวิเศษ สามารถแยกแยะเสียงสูงต่ำได้อย่างแม่นยำ และยังสามารถจดจำโน้ตพร้อมบรรเลงเพลงได้หลังจากการฟังเพียงครั้งเดียว
            โซนวิชาดนตรีตั้งอยู่บริเวณห้าชั้นบนสุดของอาคารเรียนรู้ทรงต้นไม้สูงสิบสี่ชั้น โดยชั้นบนสุดที่เป็นโดมกว้างขวางประหนึ่งกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่นั้นเป็นโรงแสดงสดขนาดย่อม ที่มีโปรแกรมโชว์จากนักเรียนรู้สายการแสดงสาขาต่างๆ จัดแสดงอย่างสม่ำเสมอ ส่วนชั้นสิบสองที่พีณายืนอยู่ตรงนี้เป็นพื้นที่ทรงกลมที่มีห้องซ้อมดนตรีผนังกระจกใสเรียงรายล้อมเป็นวงอยู่รอบอาคาร ตรงกลางคือโถงทางเดินโล่งกว้าง ชุดโต๊ะเก้าอี้เล็กๆ หลายชุดมีนักเรียนรู้สาขาดนตรีกำลังนั่งพูดคุยพบปะกันก่อนหรือหลังซ้อม ส่วนใจกลางสุดคือลิฟต์โดยสารทรงสามเหลี่ยมสี่ตัวที่ประกบด้านแหลมเข้าด้านในและหันประตูออกสี่ทิศ
            “นางฟ้าน้อย... ผู้พิทักษ์ของเธอมาแล้ว” จู่ๆ ทรีวันก็เอ่ยเย้ายิ้มๆ เมื่อมองเลยผ่านใบหน้าคู่สนทนาไปเห็นเด็กสาวในชุดกระชับรูปสีเขียวเข้มกำลังเดินตรงดิ่งมา
            พีณาย่นจมูกให้คนเรียกล้อเลียนจากชื่อผลงานเพลงชุดใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดตัวของเธอ ก่อนจะละสายตาจากเด็กหนุ่มผิวสีน้ำตาลเข้ม เจ้าของดวงตาโตและหวานหยดด้วยแพขนตางอนยาว ผู้โดดเด่นด้วยผมหยิกฟูตัดทรงกลมดิก เธอหันไปมองตามสายตาของเขาก็เห็นเพื่อนรักกำลังเดินตรงมาหาพร้อมมองคนข้างตัวเธอด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก
            “พีณาไม่ยอมรับการสื่อสารจากชารีย์เลย” สาวฮิปฮอปมาถึงก็บ่น
            “ตะกี้อยู่ในห้องซ้อมนี่ ไม่อยากให้มีเสียงอื่นรบกวน พีณาเลยระงับสัญญาณสื่อสารไว้”
            “ก็เดาว่าอย่างนั้น เลยลองเสี่ยงเดินมาหาที่นี่ดู” ชารีย์บอกพร้อมพยักหน้าเป็นจังหวะ ปากก็เคี้ยวหมากฝรั่งหงุบหงับ
            “ตามหาพีณามีอะไรเหรอ”
            “ชารีย์แค่มาหาเพื่อนกินมื้อเย็นน่ะ วันนี้แด๊ดดี้กับปาป้าเลิกงานดึกทั้งคู่เลย พีณาไม่ได้รีบกลับบ้านใช่ไหม” เด็กสาวเอ่ยชวน
            “ไม่รีบกลับหรอก พีณากับทรีวันกำลังว่าจะไปเดินเล่น หาอะไรอร่อยๆ กินที่บลูเซ็นเตอร์พอดี งั้นเราก็ออกไปด้วยกันเลยดีไหม” พีณาบอกพร้อมกับเดินมาหยุดยืนรอตรงหน้าลิฟต์
            คำตอบของเธอทำให้ชารีย์ตวัดตามองเด็กหนุ่มผู้กดเรียกลิฟต์ด้วยดวงตาขวางดุกว่าเดิม ก่อนจะหันมายิ้มให้เพื่อนสนิท
            “เอาสิ!” เธอตอบรับง่ายดาย
            ชารีย์โอบไหล่เพื่อนรักที่ตัวเล็กบางกว่าให้เดินเข้าไปในลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดออก เมื่อหมุนตัวกลับมาก็เอียงหน้ายักคิ้วเยาะเย้ยเด็กหนุ่มที่ถูกเธอพาตัวเองมาเป็นส่วนเกิน ทำให้ต้องชวดการออกเดตแบบเนียนๆ กับพีณาสองต่อสองไป
            ทั้งสามคนออกจากอาคารเรียนรู้ทรงต้นไม้ เดินตัดผ่านสนามหญ้าเทียมสีเขียวเข้มกว้างใหญ่ มีอาคารเรียนรู้รูปทรงต้นไม้สูงราวห้าสิบเมตรตั้งกระจัดกระจายกันอยู่นับสิบอาคาร กิ่งก้านสาขาด้านบนสุดแผ่กางเป็นรูปหกเหลี่ยม ด้านบนนั้นเป็นโดมจัดการแสดง โรงยิมอเนกประสงค์ หอประชุมใหญ่ และส่วนที่เหลือเป็นที่พักของนักเรียนรู้ระดับพื้นฐาน โดยสุดขอบแต่ละด้านเชื่อมติดกับอาคารหลังข้างเคียง กลายเป็นหลังคาป้องกันรังสีขนาดใหญ่ ปกคลุมพื้นที่ภายนอกอาคารทั้งหมดไปจนจรดเขตรั้วของสถานเรียนรู้
            ไม่นานพวกพีณาก็มาถึงอาคารสีขาวสูงหกชั้นทอดยาวไปทั้งสองข้างของประตูใหญ่ ที่นี่เป็นอาคารจอดโมบิลสำหรับบุคลากร ผู้มาติดต่อ และนักเรียนรู้ระดับฝึกความเชี่ยวชาญขึ้นไปที่ไม่ต้องค้างประจำอยู่ที่สถานเรียนรู้ ทรีวันและพีณาหยอดเหรียญที่ได้รับมาตอนนำแอร์โมบิลมาจอดลงไปตรงช่องด้านหน้าลิฟต์รับโมบิลคนละตัว ยืนรออยู่ไม่นาน ประตูลิฟต์ก็เลื่อนเปิดออก โดยมีแอร์โมบิลสีเทาอมชมพูคันกะทัดรัดของพีณา และคันสีดำรูปทรงปราดเปรียวของทรีวันจอดอยู่ด้านใน ส่วนชารีย์ที่ไม่มีพาหนะเป็นของตัวเองก็อาศัยนั่งไปกับเพื่อนรัก
            ตลอดการเดินเล่นที่บลูเซ็นเตอร์... อาคารสูงสีฟ้าเข้มที่รวบรวมร้านอาหาร และร้านขายสินค้าประเภทต่างๆ เอาไว้มากมาย ชารีย์จับมือควงแขน เดินประกบเพื่อนรัก คอยเอาตัวคั่นกลางคนหน้าเข้มตาหวาน และจัดการผูกขาดการสนทนากับพีณาเกือบตลอดเวลา สมกับฉายา ผู้พิทักษ์ที่เด็กหนุ่มใช้เรียกเธอลับหลัง

                       
          “พีณาคิดว่าไง ถ้าชารีย์จะรับข้อเสนอ ตกลงเข้าทำงานที่เกรนเด้การ์เด้นหลังจบการเรียนรู้เดือนหน้า”
            คำถามกึ่งปรึกษาของชารีย์ ดังขึ้นในแอร์โมบิลสีเทาอมชมพูที่กำลังแล่นช้าๆ ไปบนเลนภาคพื้นดินเพื่อส่งชารีย์กลับที่พัก พีณาที่ใช้โปรแกรมบังคับโมบิลอัตโนมัติ หันไปมองเพื่อนอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
            นี่คงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่โอเอซิสศูนย์สองหกในคืนนั้น... แม้บิดาของเธอเคยกำชับให้พวกเธอเก็บเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบสังหารชาลส์ไว้เป็นความลับ เช่นเดียวกับที่ได้เจรจากับทางแมคแกรี่ไว้แล้ว แต่เธอคิดว่าโทเวคงไม่ได้เก็บงำเรื่องนี้กับชายหนุ่มที่ถูกปองร้าย ผู้ชายคนนั้นจึงคอยหาทางตอบแทนพวกเธออย่างไม่โจ่งแจ้งมาตลอด
            หลังจากเกิดเรื่องราวสามเดือน ปาป้าของชารีย์ก็ได้รับการเสนองานจากที่ใหม่ซึ่งให้ค่าจ้างมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว ส่วนแด๊ดดี้ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ไม่ต่างกับทางบ้านของวัตต์ที่เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน แต่สำหรับเธอและซิลเวียนั้นไม่ได้รับการช่วยเหลืออุปถัมภ์ใดๆ เป็นพิเศษจากทางแมคแกรี่ คงเพราะพวกเธอทั้งสองไม่ได้มีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรอยู่แล้ว
            ดังนั้นความไม่ชอบหน้าชาลส์ แมคแกรี่ ของชารีย์และวัตต์จึงไม่ได้มากมายเข้มข้นเหมือนเช่นเธอและซิลเวีย และอาจค่อนไปทางชื่นชมในความสามารถและความเก่งกาจของนักธุรกิจหนุ่มคนนี้ด้วยซ้ำ
            และครั้งนี้... เกรนเด้การ์เด้นได้ติดต่อมายังสถานเรียนรู้เอมฟิลด์ ว่าต้องการรับพฤกษแพทย์ที่กำลังจะจบในปีนี้ทั้งหมดเข้าทำงาน ตามแต่ความสมัครใจของนักเรียนรู้เอง ช่างเป็นรางวัลก้อนใหญ่ เพราะจะมีผู้รักษาต้นไม้และพืชพรรณคนไหนบ้าง ที่ไม่ต้องการมีประสบการณ์ทำงานในสวนพฤกษชาติที่ใหญ่โต สวยงาม และทันสมัยที่สุดในยูไนเต็ดที่สิบสาม
            “มันเป็นโอกาสดีๆ ของชารีย์เองนี่นา อย่าคิดปฏิเสธแค่เพราะที่นั่นเป็นของคนที่พีณาไม่ชอบหน้าเลย พีณาคบชารีย์เพราะตัวชารีย์ ไม่เกี่ยวหรอกว่าชารีย์จะทำงานที่ไหนหรือทำให้ใคร” พีณาตอบเพื่อนอย่างที่คิดเช่นนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะให้เพื่อนสบายใจ
            คำตอบของเพื่อนรักทำให้ชารีย์ส่งยิ้มโล่งใจออกมา ใบหน้าสีโกโก้ที่เจาะจมูก เขียนขอบตาเสียดุจึงดูสดใสน่ามองขึ้นทันตา เธอรำพึงเบาๆ อย่างชื่นชม
            “ความจริงมิสเตอร์ชาลส์ก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอย่างที่คิดเลยนะ”
            พีณาได้ยินอย่างนั้นก็มองค้อนเพื่อนสนิทที่ถูกผู้ชายคนนั้นซื้อใจไปได้กว่าครึ่ง
            “เพราะเขาหันด้านดีให้ชารีย์ไง อย่างน้อยๆ ก็แปลว่าเขายังมีความดีอยู่บ้าง ส่วนพีณาที่เจอเขาหันแต่ด้านร้ายกาจใส่น่ะ ไม่มีทางลืมหรือนึกชื่นชมเขาขึ้นมาได้หรอก” เด็กสาวว่า
            ชารีย์มองเพื่อนรักด้วยสายตาแปลกๆ พลางโคลงศีรษะไปมา แต่ครู่หนึ่งว่าที่พฤกษแพทย์สาวก็ถามถึงอีกเรื่อง “แล้วถ้าชารีย์ทำงานที่นั่น พีณาจะยังมีแผนไปซับพลังที่เกรนเด้อีกหรือเปล่า”
            ตลอดสองปีที่ผ่านมา พีณาได้ทำตามที่ลั่นคำพูดเอาไว้ในคืนนั้นจริงๆ เธอตามไปคิดบัญชีที่เกรนเด้การ์เด้นด้วยการแอบไปซึมซับพลังจากต้นไม้แสนงามของที่นั่นแทบจะทุกเดือน แล้วถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะไม่ตกเป็นภาระของเธอในการฟื้นฟูต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาลงเหล่านั้นหรือ
            “อ่า...จริงสินะ” เด็กสาวนึกเข้าใจที่เพื่อนถามขึ้นมาทันที จากนั้นก็วางแผนด้วยน้ำเสียงซุกซน “งั้นพีณาต้องรีบไปที่นั่นเป็นการส่งท้ายสินะ พรุ่งนี้เลยเป็นไง วันหยุดพอดี พีโอนีสวยๆ จะได้ฟื้นตัวทันก่อนชารีย์จะเริ่มทำงาน”
            ชารีย์เห็นสีหน้าและแววตาวิบวับของเพื่อนตัวแสบหน้าใสแล้วก็ส่ายหน้า นัยน์ตาสีเทาของสาวฮิปฮอปฉายแววขบขัน พร้อมกับซุกซ่อนความคิดบางอย่างเอาไว้อย่างมิดชิด
            พีณาไม่เคยนึกเฉลียวใจบ้างเลยหรือไร ว่าเหตุใดชาลส์ที่เคยจับได้แล้วว่าเธอเป็นตัวต้นเหตุทำให้ต้นไม้เหี่ยวเฉาผิดปกติ ยังทำปิดหูปิดตา ปล่อยให้เข้าไปแผลงฤทธิ์ในอาณาเขตของเขาอย่างย่ามใจ ไม่มาต่อว่าข่มขู่เอาเรื่องเธออีกเลย
            แล้วอย่างนี้... พีณายังจะหาว่าไม่ได้รับการ หันด้านดีใส่เป็นพิเศษได้อีกหรือ

            ว่าแต่... เรื่องที่พีณาจะไปเกรนเด้พรุ่งนี้ เธอควรจะรีบรายงานให้ว่าที่เจ้านายของเธอได้รู้เรื่องดีหรือเปล่า?          



อ่านต่อ >> ท่วงรักที่ 4 : คู่แข่ง


หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ ได้เลยค่ะ
สั่งซื้อรูปเล่ม... 
www.KanFunBook.com 
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer

โหลดฉบับอีบุ๊ค... 

NaiinPann : https://goo.gl/zPJdfH
Google Play : https://goo.gl/NuGawa



No comments:

Post a Comment