ท่วงเวลารัก ชุดกาลรักหนึ่ง
ผู้เขียน : แก่นฝัน
เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
บทนำ
ณ
ยูไนเต็ดที่สิบสาม บลูแพลนต์ปี 3309
ภายในโรงจัดการแสดงสดขนาดย่อมของแอลเอวัน... โดมควบคุมบรรยากาศขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดโด่งดังแห่งหนึ่งของยูไนเต็ด
แหล่งรวบรวมกิจกรรมสร้างความบันเทิงอันครบครันหลากหลาย เสียงเพลงบรรเลงท่วงทำนองอ่อนหวานนุ่มนวลราวกับบทเพลงจากสรวงสวรรค์
ดังก้องกระจายไปถึงผู้ชมทุกที่นั่งด้วยคุณภาพเสียงอันยอดเยี่ยม ประหนึ่งนั่งฟังเสียงดนตรีสดจากเครื่องดนตรีชั้นเลิศ
ไร้ซึ่งการแปลงขยายกำลังเสียงจากเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ใดๆ
เวลานี้บนเวทีค่อนข้างมืดสลัว ไอหมอกขาวหนาทึบลอยเคลื่อนอยู่เหนือพื้นเวที
ฉากด้านหลังเป็นภาพกลุ่มเมฆวูบไหวเป็นริ้วคลื่น โดยมีลำแสงสีทองเรืองรองสาดส่องลงมาเฉพาะจุดชวนให้ตื่นตา
เหล่านักบรรเลงดนตรีเกือบห้าสิบชีวิตบ้างนั่งบ้างยืนเป็นแนวโค้งครึ่งวงกลม ทั้งหมดอยู่ในชุดกระชับรูปสีเทา
คลุมทับด้วยเสื้อโค้ตคอตั้งตัวยาวสีเทาจางจนแทบจะกลืนไปกับกลุ่มเมฆหมอก ลำแสงสายหนึ่งส่องตรงลงมากลางเวที
ส่งให้ร่างโปร่งบางในชุดขาวที่ยืนอยู่บนแท่นกลมยกสูงด้านหน้าโดดเด่นขึ้นมา เฉกเช่นเดียวกับเสียงอันพลิ้วหวานจากไวโอลินสีขาวบริสุทธิ์ที่เธอกำลังบรรเลงท่อนโซโลอยู่ในขณะนี้
นักบรรเลงไวโอลินสาวในชุดกระโปรงผ้าเหลือบวาวบางเบากึ่งโปร่งแสงยาวกรอมเท้ากำลังหลับตาพริ้ม
ปากเป็นกระจับสีชมพูสดยกยิ้มเพียงบางๆ ปลายนิ้วเรียวขยับกดไปบนสายไวโอลินอย่างคล่องแคล่ว
มืออีกข้างก็โยกคันชักสีให้เกิดห้วงเสียงอันไพเราะ กายโปร่งบางโยกย้ายไปมาช้าๆ
ตามทำนองเพลงอันงดงามที่เธอเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยตนเอง
วันนี้เป็นวันเปิดตัวบทเพลงในชุด Angelic ซึ่งเป็นเพลงชุดที่สองในชีวิตของ
พีณา วิลตันไชลด์... เด็กสาววัยยังไม่ถึงสิบแปดปีดีที่กำลังเป็นที่จับตามองในฐานะนักบรรเลงไวโอลินและเมโลดิสต์สาวน้อยมหัศจรรย์
ผู้ซึ่งก้าวเข้าสู่วงการคีตบำบัดตั้งแต่เธออายุเพียงสิบห้าปี
กลุ่มผู้ชมด้านล่างล้วนเป็นบุคคลมีชื่อเสียงจากวงการต่างๆ
ซึ่งได้รับเชิญมาเป็นพิเศษ และที่ขาดไม่ได้คือเหล่านักกระจายข่าวสายบันเทิงที่มาทำงานตามหน้าที่
เวลานี้ทุกคนต่างมีอาการคล้ายตกอยู่ในภวังค์อันแสนสุข บทเพลงที่ผ่านหูนอกจากจะงดงามอ่อนหวาน
ชวนให้นึกถึงภาพเทพธิดาตัวน้อยแสนบริสุทธิ์ตามตำนานโบราณที่โบยบินเหนือมวลหมู่เมฆบนท้องฟ้ากว้าง
คลื่นเสียงที่ถูกส่งผ่านมายังมีคุณสมบัติพิเศษในการสื่อสารตรงเข้าสู่เซลล์ประสาท ช่วยบำบัดจิตใจอันตึงเครียด
อ่อนล้า ให้ฟื้นคืนพลัง ดึงกระแสอารมณ์เข้าสู่ความผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และสุขสงบ
เสียงบรรเลงสุดท้ายแว่วหายไป พร้อมกับแสงไฟบนเวทีที่ดับลง
เหลือเพียงลำแสงที่ส่องตรงไปยังร่างสีขาวกลางเวที พีณาค่อยๆ ลดไวโอลินและคันชักลงแนบข้างกาย
พร้อมกับแท่นยกสูงใต้เท้าที่ลดระดับลงช้าๆ เพื่อให้เธอสามารถขยับก้าวไปยังด้านหน้าเวที
ใบหน้างดงามน่ารักราวตุ๊กตาที่ผู้สร้างบรรจงปั้น ส่งยิ้มสว่างไสวไปให้ผู้ชมนับร้อยที่มาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวเพลงชุดใหม่ของเธอ
รอยยิ้มบริสุทธิ์สดใสที่เน้นย้ำให้ภาพของเทพธิดาในห้วงความคิดของผู้รับชมการแสดงเมื่อครู่ยิ่งชัดเจนแจ่มชัด
เสียงปรบมือดังกึกก้องตามมาหลังจากนั้น ภาพของผู้ชมที่ยืนขึ้นให้เกียรติ
และแสดงความชื่นชอบชื่นชมต่อบทเพลงที่เพิ่งจบลงไป ยิ่งเรียกรอยยิ้มกระจ่างตาของเจ้าของบทเพลงให้ยิ่งฉีกกว้างออก
พีณาโค้งกายลงแทนคำขอบคุณต่อผู้ชมทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ก่อนจะปิดท้ายลงที่ตรงกลาง
เสียงปรบมือที่ยังคงดังต่อเนื่องทำให้เด็กสาวที่ยังไม่หุบยิ้มโค้งกายก้มหน้าค้างไว้นานเป็นพิเศษ
แต่แล้ววงคิ้วเรียวเหนือดวงตากลมสุกใสก็ต้องกระตุกย่นอย่างแปลกใจ
เมื่อจู่ๆ เสียงปรบมือพลันเงียบหายกะทันหัน ไม่ใช่ค่อยๆ ผ่อนซาลงไปเช่นปกติ แถมยังมีเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ของผู้คนเบื้องล่างดังตามมาสร้างความประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำให้พีณาเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย
แล้วเธอก็ต้องกะพริบตาปริบสองสามครั้ง ก่อนจะเบิกตาโตปากเผยอค้าง
เมื่อเห็นพีโอเนียสีขาวและสีชมพูอ่อนจางช่อโตถูกยื่นส่งมาให้จากผู้ที่ยืนอยู่หน้าเวที
สิ่งที่ทำให้เด็กสาวตกตะลึงไม่ใช่เพราะมันเป็นดอกไม้สายพันธุ์พิเศษดอกโตเท่าสองฝ่ามือ
หรือเพราะขนาดช่อดอกไม้ที่ใหญ่เสียจนไม่มั่นใจว่าสองแขนจะโอบรอบ
แต่เป็นเพราะชายหนุ่มผู้ที่ถือมันมามอบให้เธอต่างหาก!
ชาลส์ แมคแกรี่... ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของใบหน้าคมคายไร้ที่ติประดุจรูปปั้นเทพบุตร
ผู้นำตระกูลแมคแกรี่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจคนสำคัญของตระกูลวิลตันไชลด์ของเธอ
แถมเขายังมีเรื่องขัดแย้งแข่งขันกับผู้เป็นลุงของเธอมาโดยตลอด
ระหว่างเธอกับเขาจึงไม่ค่อยจะญาติดีกันสักเท่าไร
“รีบมารับไปสิ”
แม้ระยะห่างเกือบสิบเมตรจะทำให้พีณาได้ยินสิ่งที่เขาพูดไม่ถนัดนัก
แต่ก็พอจะรู้ว่าเขาพูดอะไรจากการขยับของริมฝีปากหยักได้รูปแต่บางเฉียบบ่งบอกความเฉียบขาด
นอกจากนี้เธอยังมองเห็นสายตาคมปลาบฉายแววบังคับข่มขู่อย่างชัดเจน
เด็กสาวเม้มริมฝีปากที่เผยอค้างเข้าหากันนิดๆ
ก่อนจะยื่นไวโอลินให้ทีมงานมาช่วยรับไป ขณะก้าวช้าๆ ไปยังหน้าเวที ดวงตากลมโตก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอย่างไม่มั่นใจกึ่งปรึกษาไปทางคนในครอบครัวที่ก้าวเข้ามาหา
ถึงแม้จะเห็นว่าผู้เป็นลุงพยักหน้าให้ด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่เธอก็พอดูออกว่าเขากำลังไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
พีณาหันกลับมาหาชายหนุ่มที่ยื่นช่อดอกไม้ค้างอยู่
พยายามรักษาสีหน้าไม่ให้แสดงความยุ่งยากใจและไม่ชอบใจเอาไว้เต็มที่ เมื่อก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น
กลิ่นหอมหวานจางๆ ของดอกไม้ที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษก็ลอยมาให้ได้กลิ่น เด็กสาวย่อกายคุกเข่าลงกับพื้นเวที
โน้มตัวลงไปรับดอกไม้ช่อใหญ่ยักษ์มาด้วยสองแขน น้ำหนักของมันหนักอึ้งเสียจนเธอต้องระวังให้ดี
ไม่ให้มันเป็นต้นเหตุพาร่วงตกเวที
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยเบาๆ อย่างเสียไม่ได้ เจ้าช่อดอกไม้นี้แม้จะสวยมาก
แต่ก็ช่างใหญ่เกินตัวจนชวนให้คิดว่ามันเป็นภาระมากกว่าของขวัญ หากแต่ก่อนจะได้ยกตัวกลับขึ้นมา
แขนข้างหนึ่งของเธอกลับถูกคว้ายึดไว้ ตามด้วยเจ้าของมือใหญ่ที่ยื่นหน้าเข้ามาเอ่ยกระซิบเสียใกล้
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง... และหวังว่าเธอจะไม่ลืมข้อตกลงของเรานะเด็กน้อย”
นอกจากจะเรียกขานด้วยถ้อยคำสุดขัดหูแล้ว ชาลส์ยังก่อปัญหาให้เธอด้วยการแตะปลายนิ้วแผ่วเบาตรงข้างแก้ม
พร้อมส่งรอยยิ้มแปลกๆ ที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลยมาให้เป็นการส่งท้าย ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะผละถอยออกไปเมื่อผู้เป็นลุงของเธอก้าวเข้ามาตีหน้าเคร่งใส่
สายตาดุจัดจับจ้องผู้ที่มาปรากฏตัวโดยไม่ได้รับเชิญกึ่งไม่ไว้ใจกึ่งขับไล่
จากนั้นครอบครัววิลตันไชลด์ก็มีโอกาสเข้ามาร่วมแสดงความยินดีและมอบช่อดอกไม้ให้เธอได้เสียที
ซึ่งจริงๆ แล้วดอกไม้ช่อนี้ควรจะเป็นดอกไม้ช่อแรกสำหรับวันสำคัญของเธอแท้ๆ
พีณาปัดไล่ความไม่ชอบใจและความกังวลเกี่ยวกับข้อตกลงที่ชาลส์ทวงถามทิ้งไป
ก่อนจะหันไปยิ้มแย้มส่งเสียงหวานใสเอ่ยขอบคุณกับครอบครัว รวมถึงคนอื่นๆ
ที่ทยอยเข้ามาให้กำลังใจและแสดงความยินดี
ทั้งของขวัญและช่อดอกไม้ถูกเธอรับมาและส่งผ่านไปยังทีมงานที่มารอรับ แต่ในกระแสความรู้สึกของเธอยังสัมผัสได้ว่ามีสายตาคมกริบคู่หนึ่งคอยมองจ้องอยู่
จับจ้องชนิดที่สร้างความอึดอัดรำคาญใจจนอยากจะถลึงตาโต้กลับ แต่ทว่าเธอไม่สามารถทำได้ในเวลานี้
ในขณะที่มีกล้องบันทึกภาพของบรรดานักกระจายข่าวคอยจับภาพอยู่
แค่เมื่อครู่ที่มีภาพของผู้นำตระกูลแมคแกรี่มาปรากฏตัวร่วมแสดงความยินดีกับคนในตระกูลคู่แข่ง
พร้อมกับพีโอเนียช่อโตที่หญิงสาวหลายคนเห็นแล้วต้องอุทานตาโตและมองมาด้วยแววตากังขาปนอิจฉา
ไหนจะท่าทางแสดงความสนิทสนมที่เขาทำอีกเล่า เพียงเท่านี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะตอบคำถาม หรือชี้แจงกับนักกระจายข่าวที่ตั้งหน้าตั้งตารอเตรียมยิงคำถามใส่อย่างไรดี
พีณาขบคิดวุ่นวายใจอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ว่ากระแสสายตาอันเข้มข้นนั้นจางหายไปแล้ว
เมื่อชำเลืองมองไปยังต้นกำเนิดก็พบว่าร่างสูงสง่างามจนเฉียดเข้าใกล้คำจำกัดความว่าหยิ่งผยองในชุดเสื้อโค้ตสีขาวตัวยาวก็ได้หายตัวไปแล้วเช่นกัน
พอเห็นดังนั้นแล้ว... เด็กสาวก็อดฉุนเฉียวเขาอยู่ในใจไม่ได้
เขาจงใจมาก่อกวนสร้างปัญหาให้เธอชัดๆ แถมยังเลี่ยงหนีการรุมล้อมของนักกระจายข่าวไปได้อย่างง่ายดาย
ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
คนนิสัยไม่ดี!
ท่วงรักที่ 1 : เด็กซนกับคนใจร้าย
บลูแพลนต์ปี
3306 ณ โรสบริกเฮาส์... คฤหาสน์ทรงปราสาทโบราณหลังย่อมสีน้ำตาลแดง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสนามหญ้าสีเขียวและสวนกุหลาบงามภายในโดมควบคุมบรรยากาศของตระกูลวิลตันไชลด์
เสียงเพลงบรรเลงไวโอลินจังหวะสนุกสนานสดใส
ดังสะท้อนไปทั่วห้องทรงกลมสูงโปร่งที่จัดไว้เป็นห้องเอ็นเตอร์เทนสำหรับคนในบ้าน บนหน้าจอขนาดใหญ่เต็มผนังซึ่งโค้งโอบไปครึ่งห้อง
กำลังฉายภาพเนินทุ่งดอกไม้ริมธารน้ำใส ใบไม้ใบหญ้าและดอกไม้ป่าเล็กๆ
หลากสีสันโอนไหวเอนลู่ไปตามสายลมที่พัดผ่าน ฝูงผีเสื้อและแมลงปอบินว่อน ร่อนโฉบจากดอกนั้น
โผไปเกาะดอกนี้ ดูรื่นเริงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาไม่ต่างจากบทเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่เลย
บรรดาผู้ฟังทั้งสามที่นั่งเอนหลังผ่อนคลายอยู่บนโซฟาหนังสังเคราะห์สีครีมตัวโต
ต่างก็มีรอยยิ้มแห่งความสุขประดับอยู่บนใบหน้า โดยเฉพาะเด็กสาววัยสิบห้าปีที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างบิดาและผู้เป็นย่า
บนใบหน้าเล็กๆ นั้นฉาบแต้มด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าใคร
จวบจนบทเพลงจบลง ภาพเนินทุ่งดอกไม้สามมิติเสมือนจริงก็วับหาย
หน้าจอโค้งพลันเปลี่ยนเป็นผนังห้องสีควันบุหรี่เรียบๆ มองดูเหมือนผนังธรรมดาทั่วไป
เวลานั้นเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางก็เริ่มขยับตัวอย่างตื่นเต้นทนรอไม่ไหว
วงหน้าเล็กที่ฉายแววงดงามน่ารักมาตั้งแต่วัยเยาว์หันไปทางขวามือ ส่งรอยยิ้มกระจ่างใสที่คนมองไม่อาจต้านทานได้ให้ผู้เป็นบิดา
ก่อนจะเอนกายพิงศีรษะกลมๆ ซึ่งปกคลุมด้วยผมยาวสีบลอนด์เทาหยักเป็นลอนคลื่นลงกับต้นแขนแกร่ง
“เป็นยังไงคะแด๊ดดี้
ฟังแล้วมีความสุขที่สุดเลยใช่ไหมคะ”
พีณาเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถาม สีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังตื่นเต้น ดีใจ และภาคภูมิใจกับผลงานเพลงบำบัดจิตใจบทเพลงแรกในชีวิตแค่ไหน
เลย์ดีนก้มหน้ามองบุตรสาว ของขวัญอันแสนวิเศษล้ำค่าซึ่งคู่ชีวิตได้มอบให้ไว้
ชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนเข้าไปในดวงตากลมโตสีฟ้าอมเทาเช่นเดียวกับเขา ในเวลานี้มันกำลังเปล่งประกายวิบวับ
วาดหวังเฝ้ารอคำชม จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแกล้งบีบจมูกเล็กโด่งเชิดรั้นนิดๆ นั้น
“ถ้าแด๊ดดี้ฟังแล้วไม่ชอบ
จะตอบว่าไม่มีความสุขได้เหรอคะ คงได้มีคนน้อยใจจนไม่คุยกับแด๊ดดี้แน่นอนเลย”
คำตอบหยอกเย้าจากบิดาพาให้ปากรูปกระจับสีชมพูสดสุขภาพดีของเด็กสาวยื่นยาวออกมาทันที
พีณาทำหน้ามุ่ยแล้วแกล้งงอนไม่สนใจบิดา หันไปทางผู้เป็นย่าที่นั่งอยู่อีกข้าง
มาดามเมเรน...หญิงวัยเกือบครบหนึ่งร้อยปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แต่ด้วยวิทยาการทางการแพทย์และการชะลออายุอันล้ำเลิศในยุคนี้ ทำให้เธอยังดูไม่ต่างจากหญิงยุคโบราณในวัยปลายหกสิบเลย
“แกรนด์มัมขา...” พีณาลากหางเสียง
ทำตาละห้อยเหมือนจะฟ้อง
แกรนด์มัมผู้ถูกเรียกหาจึงคลี่ยิ้มทั้งขันทั้งเอ็นดูให้หลานสาว
ก่อนจะรีบเอ่ยยกยอเอาใจเพื่อไม่ให้เด็กสาวเสียกำลังใจไปตามคำเย้าแหย่ของบุตรชาย
“พีณาของแกรนด์มัมเก่งที่สุด แกรนด์มัมมีความสุขมากๆ
เหมือนได้ออกไปสัมผัสทุ่งดอกไม้ด้วยตัวเองเชียวล่ะ หนูก็รู้สึกได้ใช่ไหม” เธอเอ่ยบอก
พร้อมกับคว้ามือเล็กกว่ามาสอดประสานนิ้วเรียวทั้งห้าเกาะกุมกันไว้
เพียงเท่านั้นพีณาก็คลี่ยิ้มออกมาทันที
คลื่นอารมณ์เบิกบานรื่นเริงจากผู้เป็นย่าถูกส่งผ่านมาให้เธอสัมผัสรับรู้ได้อย่างชัดเจน
เด็กสาวมี ‘กิฟต์’ ประจำตัวเป็นความสามารถในการสื่อสารกับสิ่งที่อยู่ภายในกายผู้อื่น
แม้จะไม่ลึกล้ำขนาดรับรู้ถ้อยความคิดและสื่อสารออกไปโดยไม่ต้องใช้การพูดจาเหมือนเช่นบิดาและผู้เป็นลุง
แต่เธอก็สามารถจับกระแสอารมณ์และความรู้สึกของคนรอบข้างได้ไวกว่าคนทั่วไป
และยิ่งจับต้องมันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านการสัมผัส นอกจากนี้ยังสามารถส่งพลังด้านบวกจากตัวเธอไปบำบัดอารมณ์ด้านลบต่างๆ
ได้ และจากความสนใจด้านดนตรีที่มีอยู่เดิม ครูประจำตัวที่สถานเรียนรู้จึงจัดหลักสูตรเฉพาะตัว
ฝึกฝนให้เธอสามารถใช้เสียงเพลงเป็นสื่อกลางเพื่อส่งผ่านพลังบวกนี้ได้ดียิ่งขึ้น
และทำให้เธอได้มีผลงานเพลงคีตบำบัดในวันนี้
“พีณารู้สึกถึงพลังงานสีส้มอมชมพูเลยค่ะ” เด็กสาวยิ้มกว้างจนตาโตๆ
โค้งหยีด้วยความปลาบปลื้มใจ
แท้จริงแล้วอารมณ์ต่างๆ
ที่จิตของเธอสัมผัสได้นั้น ไม่ได้ปรากฏเป็นสีสันอย่างที่พูดไป
แต่มันเป็นการบอกวัดและอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมให้คนฟังเข้าใจได้ง่ายขึ้น
อย่างเช่นระดับสีส้มอมชมพูก็หมายถึงอารมณ์ที่รวมเอาทั้งความเบิกบานแจ่มใสและรักใคร่เอ็นดูเอาไว้ด้วยกัน
นับเป็นสภาวะอารมณ์บวกขั้นสูงทีเดียว
แต่เพียงไม่นาน
รอยยิ้มกว้างของเด็กสาวก็ถูกเก็บกักไว้จนเหลือเพียงอาการอมยิ้มกริ่ม นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาฉายแววซุกซนคล้ายกำลังมีแผนการบางอย่าง
เอ่ยถามออกไปเสียงใส
“เป็นคนเก่งก็ควรได้รับรางวัลจริงไหมคะ”
พอได้ยินดังนั้น
มาดามเมเรนก็หัวเราะออกมาเบาๆ “จะขออะไรจากแกรนด์มัมอีกหรือคราวนี้”
ผู้ที่รอคำตอบของเด็กสาวไม่ได้มีเพียงมาดามเมเรนเท่านั้น
แต่ยังมีเลย์ดีนที่ถูกบุตรสาวแกล้งงอน หันมองมาอย่างตั้งใจรอฟังด้วยเช่นกัน
“อาทิตย์หน้า
พีณาขอยืมแอร์โมบิลไปตั้งแคมป์นอกเขตเมืองกับพวกชารีย์ได้ไหมคะ”
คำขอของพีณาชวนให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนเลิกคิ้วสูง
แปลกใจที่เธอไม่ได้ขอไปเที่ยวกับเพื่อนอย่างเดียว
แต่กลับขอยืมพาหนะสำหรับใช้เดินทางด้วย
“ขอยืม?” มาดามเมเรนถึงกับต้องทวนคำขอของหลานสาว
“ค่ะ
พีณาขอบังคับแอร์โมบิลไปเที่ยวกันเองได้ไหมคะ”
เมื่อได้ฟังคำขอ ผู้ใหญ่ทั้งสองก็พลันระลึกได้ว่าพีณาเพิ่งมีอายุครบสิบห้าปีไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
และสิทธิ์ที่เด็กทุกคนจะได้รับโดยอัตโนมัติหลังจากที่มีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ คือ
การ ‘ปลดล็อก’ จากข้อห้ามบางอย่าง เช่น การเดินทางออกนอกยูไนเต็ดเพียงลำพังโดยไม่มีผู้ปกครอง
รวมถึงการบังคับแลนด์โมบิลและแอร์โมบิลนี้ด้วย
“ไม่ได้!”
เสียงห้ามขึงขังดังจากปากของเลย์ดีน คิ้วเข้มของคนหวงลูกสาวขมวดเข้าหากันเป็นปมอย่างไม่เห็นด้วย
“จะไปกันแค่เด็กๆ อย่างนั้นได้ยังไง ไม่ได้เด็ดขาด”
“โธ่... แด๊ดดี้ขา... กฎหมายอนุญาตพีณาแล้วนะคะ
แสดงว่าเค้าต้องวางใจว่าเด็กอายุสิบห้าก็มีความสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว
อีกอย่างเราก็ไปกันตั้งสี่คน” พีณาหว่านล้อมชักจูง พลางกอดแขนกลของบิดาด้วยท่าทางออดอ้อน
เลย์ดีนเสียแขนซ้ายไปเพราะอุบัติเหตุทางแอร์โมบิลเมื่อสิบปีก่อน
ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เขาต้องสูญเสียคู่ชีวิต และเด็กสาวต้องสูญเสียมารดา
จากนั้นมาชายหนุ่มก็กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยออกจากวิลตันไชลด์โดม
และต้องอาศัยแขนกลอัจฉริยะซึ่งมองเผินๆ แล้วเหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออกมาโดยตลอด
“ไปกันสี่คน... แสดงว่ามีวัตต์ไปด้วยใช่ไหม
ยังไงก็ไม่ได้!”
เลย์ดีนยืนกราน เขาทั้งห่วงทั้งหวงบุตรสาวคนเดียวเป็นที่สุด
การมีเด็กหนุ่มร่วมเดินทางไปด้วยยิ่งทำให้เขาไม่ไว้วางใจเข้าไปใหญ่
“มีวัตต์ไปด้วยสิคะยิ่งดี
จะได้ช่วยดูแลพวกเราที่เป็นผู้หญิงไงคะ” เด็กสาวอธิบายทั้งที่คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดอย่างไม่เข้าใจ
พีณามองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกหรืออันตราย
แถมยังน่าสนุกจะตายไป
เดี๋ยวนี้เด็กหนุ่มเด็กสาวที่ได้รับการปลดล็อกแล้วก็มักจะออกเดินทางท่องเที่ยวผจญภัยตามประสาวัยรุ่นกันทั้งนั้น
แถมบางคนยังเดินทางเพียงลำพังคนเดียว หรือแม้แต่ไปยังสถานที่แปลกตาและดูลำบากลำบน จนเธอได้แต่มองตาปรอยด้วยความอิจฉา
เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับอนุญาตขนาดนั้น
“แล้วหนูบังคับแอร์โมบิลเป็นแล้วหรือพีณา”
เสียงนุ่มชวนเย็นใจของมาดามเมเรนเอ่ยแทรก
พีณาได้ยินดังนั้นก็หันไปยิ้มแย้มให้คนตั้งคำถามทันที
ดูเหมือนว่าเธอได้เตรียมคำตอบสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
เด็กสาวหันกลับมามองผู้เป็นบิดา ดวงตากลมกะพริบปริบๆ
ส่งพลังอ้อนออกไปเต็มพิกัด
“ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวันนี่คะ
พีณาจะเป็นนักเรียนรู้ที่ตั้งอกตั้งใจที่สุดในบลูแพลนต์เลยค่ะ แด๊ดดี้ขา... แด๊ดดี้ใจดี๊ใจดี
แด๊ดดี้สอนพีณานะคะ” เสียงเล็กใสเอ่ยขอ พร้อมกับโถมกายเข้าไปกอดเอวบิดาไว้
ศีรษะกลมทุยคลอเคลียกับอกแกร่งของคนที่พยายามฝืนใจทำเข้มขรึม
เพียงไม่นาน... เด็กสาวก็ได้หัวเราะเริงร่า
เมื่อบิดายอมพยักหน้า เอ่ยคำว่า ก็ได้
“แต่วันที่พีณาเดินทาง แด๊ดดี้จะให้ผู้คุ้มกันของเราตามไปด้วย
โอเคไหม”
พีณาหุบยิ้มฉับและหน้ามุ่ยลงทันทีที่จบคำนั้น
อดไม่ได้ที่จะเอ่ยต่อรอง “ให้ตามไปห่างๆ อีกคันได้ไหมคะ พีณาไม่อยากให้เพื่อนๆ
เกร็งจนหมดสนุก”
“เพื่อนๆ หมดสนุก หรือว่าพีณาหมดสนุกกันแน่ ฮึ?”
เลย์ดีนหรี่ตามองพร้อมดักคอบุตรสาวอย่างรู้ทัน ส่วนมาดามเมเรนก็ยังหัวเราะเบาๆ อย่างเห็นด้วย
“ก็หมดสนุกกันทั้งขบวนเลยไงคะ” เด็กสาวยอมรับโดยไม่เฉไฉเถียงค้าน
ก็มันเป็นความจริงยิ่งกว่าจริง... ถ้าขืนให้มีผู้คุ้มกันตัวโตที่สุดแสนจะจริงจังต่อหน้าที่คอยตามประกบติด
คอยเฝ้าระวัง เฝ้าบอกให้ห้ามทำนู่นทำนี่ และพร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือดูแลพวกเธอทุกอย่าง
มันจะได้สัมผัสรสชาติการเดินทาง ‘เปิดประสบการณ์ปลดล็อก’ ที่แท้จริงตรงไหนกัน
“ให้ตามไปอีกคันก็ได้ แต่พีณาห้ามไปทำอะไรไม่ดี หรือผาดโผนเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด...
โอเคไหม”
แม้ว่าพีณาจะเป็นเด็กดี และรู้จักคิดมากกว่าเด็กในวัยเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลงและอยากรู้อยากลองคนอื่นๆ
แต่เลย์ดีนก็ต้องกำชับเอาไว้ก่อน เพราะรู้ดีอีกเช่นกันว่าในบางครั้งบุตรสาวของเขาก็ช่างแก่นกล้า
แสบและซนกว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนใสบอบบางมากนัก
“รับทราบ พร้อมปฏิบัติค่ะ”
พีณารีบรับปากพร้อมยกนิ้วชี้และนิ้วกลางแตะหางคิ้วแล้วสะบัดข้อมือออกเร็วๆ หนึ่งที
ดูแล้วช่างเป็นท่าปฏิญาณที่ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย
ในเมื่อมันมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะเริงร่าอย่างยินดีเหลือล้นที่การเจรจาสำเร็จด้วยดี
ร่างโปร่งบางของเด็กสาวในชุดเสื้อคอตั้งแขนกุดสีชมพูและกางเกงกระชับรูปขายาวสีขาว เคลื่อนไถลไปตามทางเดินรอบทะเลสาบจำลองในสวนพรรณไม้ขนาดใหญ่ด้วยรองเท้าหุ้มข้อติดล้อเครื่องกล
ผมยาวสีบลอนด์เทาถูกมัดรวบเป็นหางม้าสูงกลางศีรษะกวัดแกว่งไปมา ในเวลานี้ใบหน้าเล็กน่ารักกลับบูดสนิทอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอยังอารมณ์ดีสุดขีดกับการได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ด้วยการบังคับแอร์โมบิลมาด้วยตัวเองแท้ๆ
พีณาเพิ่งเรียนรู้การบังคับแอร์โมบิลจากเลย์ดีนมาได้ไม่ถึงสามวัน
เธอก็เก่งกล้าพอที่จะบังคับมันออกนอกวิลตันไชลด์โดมเพื่อทดสอบการบังคับมันบนเลน...
เส้นทางล่องหนลอยฟ้าซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางในยูไนเต็ด
โดยที่เลย์ดีนได้สั่งให้บีเจย์... ผู้คุ้มกันฝีมือดีคอยติดตามมาดูแลบุตรสาวด้วย
ความจริงแล้วการบังคับแอร์โมบิลในสถานการณ์ปกตินั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรนัก
ในยุคปีสามพันสามร้อยนี้ แอร์โมบิลทุกคันแทบจะเคลื่อนที่อัตโนมัติโดยอาศัยระบบควบคุมภายในร่วมกับสัญญาณดาวเทียมเพื่อการนำร่อง
เพียงแค่ออกคำสั่งเลือกที่หมายและตั้งโปรแกรมเส้นทางเท่านั้น แต่ที่ยากกว่าคือการบังคับมันในโหมดฉุกเฉิน
สำหรับกรณีสัญญาณขาดหาย เกิดเหตุผิดปกติเข้าแทรกกะทันหัน หรือมีการคำนวณความเร็วผิดพลาดจนต้องใช้บุคคลบังคับแทน
สถานที่แรกที่พีณานึกถึงและออกคำสั่งให้แอร์โมบิลนำพาเธอมาก็คือ
เกรนเด้การ์เด้น... กลุ่มโดมควบคุมบรรยากาศที่ภายในเป็นสวนผสมผสานระหว่างพืชพรรณไม้แท้จริงและต้นไม้ประดิษฐ์ขนาดใหญ่ที่สุดในยูไนเต็ดที่สิบสาม
สาเหตุที่เด็กสาวชื่นชอบที่นี่เป็นพิเศษ ทั้งที่มันเป็นของตระกูลคู่แข่ง ไม่ใช่เพราะความกว้างใหญ่และการออกแบบจัดแต่งพื้นที่อย่างสร้างสรรค์สวยงามเท่านั้น
แต่ยังเป็นเพราะที่นี่มี ‘พีโอเนีย’ ไม้ดอกพันธุ์พิเศษที่หาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ทันทีที่มาถึงเกรนเด้การ์เด้น
พีณาก็บอกให้บีเจย์แยกตัวไปเดินเล่นที่ไหนก็ได้ตามสบาย แต่ผู้คุ้มกันผิวขาวหน้าเคร่งกลับฟังแล้วปล่อยผ่าน
ร่างสูงนับสองจุดสองเมตรยังคอยตามติดเธออย่างแข็งขัน จนเธอต้องโคลงศีรษะไปมาก่อนจะเลิกสนใจเขา
แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังเรือนพีรามิดโดยไม่ให้เสียเวลา
กลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งมาปะทะจมูกในทันทีที่บานประตูเรือนกระจกควบคุมอุณหภูมิและความชื้นเลื่อนเปิดออก
จุดประกายความสุขให้เธอได้เหมือนเช่นทุกครั้งที่มาเยือนที่นี่ พีณาก้าวเดินช้าๆ
ไปตามทางเดินภายในเรือนพีรามิดซึ่งปูด้วยหินทรายสีน้ำตาลสลับอ่อนเข้มเป็นลวดลายสวยงาม
สองข้างทางทั้งซ้ายขวาเป็นต้นพีโอนีทรงพุ่มงามสูงสามถึงห้าเมตรที่ออกดอกสะพรั่งเต็มต้น
จากข้อมูลของสถานที่บอกไว้ว่าในเรือนพีรามิดแห่งนี้มีพีโอนีต้นยักษ์ปลูกไว้กว่าสามร้อยต้นเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีต้นพีโอนีขนาดเล็กสูงไม่ถึงเมตรปลูกแทรกระหว่างช่องว่างจนเกือบเต็มพื้นที่
ดวงตากลมโตสีฟ้าอมเทาทอดมองดอกไม้สายพันธุ์โบราณที่ป้าสะใภ้ของเธอเรียกมันว่า
‘โบตั๋น’ อย่างชื่นชม แต่ละดอกนั้นมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของเธอเสียอีก กลีบดอกบอบบางเรียงซ้อนกันแน่นขนัดนับร้อยกลีบ
และบางดอกที่เบ่งบานเต็มที่ก็ใหญ่กว่าสองมือเธอด้วยซ้ำ
พีณาเดินชื่นชมพวกมันไปช้าๆ
ไม่เร่งรีบ ผ่านต้นดอกสีขาว สีชมพูอ่อน จนมาถึงสีชมพูเข้มจนเกือบแดงซึ่งอยู่ใกล้ใจกลางโดมที่สุด
ถึงแม้พีโอนีต้นใหญ่สองข้างทางนั้นจะสวยสง่างามชวนประทับใจเพียงใด
แต่ก็ยังไม่ใช่ที่หนึ่งในใจสำหรับพีณา
เพราะเป้าหมายของเธอคือหอคอยสูงซึ่งสร้างจากไม้หอมทั้งต้นขนาดใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งนับสิบต้น
ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัสใจกลางโดมตรงนี้ต่างหาก
เถาพีโอเนียใบสีเขียวอ่อนปกคลุมด้วยขนสีเงินวาวเลื้อยพันรอบหอคอยสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำทั้งสี่ด้าน
เหล่าดอกไม้สีขาวและสีชมพูจางพากันเบ่งบานละลานตา เปลี่ยนให้หอคอยแกร่งแลดูอ่อนหวานและงดงามเป็นที่สุด
จนทำให้พีณายืนยิ้มมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไม่รู้เบื่อ
ต้นพีโอเนียเป็นผลงานของนักวิจัยตัดต่อพืชพรรณของแมคแกรี่
ที่นำพีโอนีมาดัดแปลงผสมรวมเข้ากับพรรณไม้เถาจนกลายเป็นต้นไม้พันธุ์ใหม่ หากเพียงแค่มองดูด้วยตา
ดอกของมันก็ไม่ต่างจากดอกพีโอนีสักเท่าไร แต่กลิ่นของพีโอเนียจะหอมหวานละมุนบางเบา
ฟุ้งกระจายไปได้ไกล แถมยังให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนกับกลิ่นของพีโอนีที่หอมหวานจัดและหนักลึกกว่า
พีณาสูดกลิ่นหอมละมุนที่ชื่นชอบและ
‘ต้อง’ กับร่างกายของเธอที่สุดเข้าเต็มปอด ก่อนจะยิ้มมากขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตในส่วนที่เธอส่งออกไปขณะเล่นบทเพลงบำบัดค่อยๆ
ฟื้นคืนมา
แต่เพียงแค่ไม่กี่นาที...
ช่วงเวลาแห่งความสุขของเด็กสาวก็มีอันต้องสะดุด เมื่อรู้สึกได้ว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมาเขม็ง
พีณาจึงหมุนตัวไปมองตามกระแสสายตาอย่างสงสัย
สายตาคู่นั้นพุ่งตรงมาจากอาคารร้านค้าในเรือนพีรามิด
ซึ่งชั้นบนเป็นส่วนของคาเฟ่ที่ให้บริการเครื่องดื่มและขนมของว่าง แค่เพียงไม่นานเลย
สายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่มีรัศมีบางอย่างโดดเด่นออกมาจากผู้คนรอบด้าน
ชาลส์ แมคแกรี่!
ร่างสูงในโค้ตสีขาวกำลังนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ที่โต๊ะริมผนังกระจก
มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่สายตาคมของเขามองมุ่งพุ่งเป้ามาเหมือนต้องการจ้องจับผิด
โดยไม่สนใจสาวสวยที่นั่งร่วมโต๊ะเลยสักนิด ปล่อยให้เธอคนนั้นพูดและยิ้มคนเดียวอยู่พักใหญ่
กว่าจะรู้สึกตัวและหันมองตามสายตาของเขาอย่างสงสัย
พีณาทำหน้าเบ้
ถลึงตาจ้องมองคืนกลับไปอย่างไม่พอใจเขานัก แต่ครู่ถัดมาเธอก็ชะงักค้างอย่างร้อนตัว
ในหัวมีคำพูดกึ่งข่มขู่ของเขาเมื่อครั้งโชคร้ายได้พบกันที่นี่เมื่อหลายเดือนก่อนดังสะท้อนขึ้นมา
และทันทีที่นึกขึ้นมาได้ เด็กสาวก็หมุนตัวเดินหนีไปจากสายตาคมกริบน่ากลัวคู่นั้นโดยเร็ว
‘หวังว่าหลังจากนี้ฉันจะไม่ได้รับรายงานว่ามีต้นไม้ต้นไหนเฉาลงนะเด็กน้อย
ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน’
นั่นคือคำที่เขาขู่เอาไว้...
ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากวันนั้นเขาจะต้องได้รู้เรื่องต้นพีโอนีสักสามสี่ต้นเหี่ยวเฉาลงราวกับไม่ได้รับการรดน้ำมาหลายสัปดาห์
ในเมื่อวันนั้นเธอเพิ่งแอบ ‘แตะต้อง’ เพื่อแบ่งพลังชีวิตมาฟื้นฟูตัวเองไปเล็กน้อย
แต่เธอก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดทำให้พวกมันแห้งเฉายืนต้นตายเสียหน่อย
เธอก็แค่ทำตัวเป็นวิลตันไชลด์ที่ดี กลั่นแกล้งก่อกวนให้สวนสวยๆ ของพวกแมคแกรี่ดูหมองลงไปนิดๆ
หน่อยๆ เท่านั้นเอง
ความจริงเธอก็เคยทำอย่างนี้มาตั้งหลายครั้งหลายหน
ตั้งแต่ได้เรียนรู้วิธีแบ่งพลังจากธรรมชาติที่แสนอัศจรรย์ โดยเลือกลงมือกับต้นไม้ริมขอบเรือนพีรามิด
ไม่ได้ยุ่งกับเถาพีโอเนียอันโดดเด่นให้เป็นที่สังเกต และมันก็ไม่น่ามีหลักฐานอะไรเชื่อมโยงมาถึงเธอได้เสียหน่อย
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงถูกเขาจับได้?
คนที่ต้องเผ่นหนีออกมาทั้งที่ยังชื่นชมดอกไม้ที่ชื่นชอบได้ไม่ทันไร
ได้แต่นึกหงุดหงิดว่าช่วงนี้โชคไม่ดีเอาเสียเลย ถึงได้มาเจอกับชาลส์เข้าถึงสองครั้งสองครา
อีกทั้งยังนึกหงุดหงิดขัดใจว่าทำไมต้นไม้ที่ ‘ต้อง’ กับร่างกายเธอที่สุด จะต้องเป็นต้นไม้ที่ตระกูลแมคแกรี่เป็นผู้ถือครองเอกสิทธิ์ในฐานะเป็นผู้พัฒนามันขึ้นมาด้วยก็ไม่รู้
พอพ้นจากเรือนพีรามิดมาได้ระยะหนึ่ง
พีณาก็ค่อยคลายใจ ผ่อนคลายความระแวงลงมา เธอมั่นใจว่าผู้ชายใจร้ายคนนั้นคงไม่ถึงกับทอดทิ้งคู่ควงคนสวย
แล้วไล่ตามมาวุ่นวายหาเรื่องกันหรอก จึงได้หยุดการเคลื่อนที่ด้วยล้อกล เปลี่ยนมาก้าวเดินชมนกชมไม้ริมทะเลสาบจำลองไปเรื่อย
พอเริ่มเมื่อยก็หย่อนกายนั่งลงบนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีฝูงนกตัวเล็กสีหวานหลากสีกำลังส่งเสียงร้องประสานชวนให้ฟังเพลิน
ถึงตรงนี้พีณาก็อดนึกเสียดายปนขัดใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
หากไม่นับตัวเจ้าของสถานที่แล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างในเกรนเด้การ์เด้นล้วนถูกใจเธอไปหมดจริงๆ
พีณานั่งฟังเสียงนกร้องอยู่เพลินๆ
ก็คล้ายว่าจะมีเมโลดี้ผุดลอยขึ้นมาในหัว เด็กสาวจึงออกคำสั่งให้จีเนียสวอตช์...
นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะเริ่มต้นการบันทึกเสียง
เธอเคาะปลายนิ้วเป็นจังหวะบนม้านั่ง
พร้อมส่งเสียงด้าดาดัม สูงๆ ต่ำๆ ไปตามอารมณ์ กะว่าถ้ากลับไปถึงวิลตันไชลด์โดมแล้ว
เธอจะแปลงมาเป็นตัวโน้ตสำหรับบรรเลงเพลง ไม่แน่ว่าเธออาจจะได้บทเพลงดีๆ จากเสียงที่บันทึกไว้ก็ได้
แต่แล้วความสำราญของสาวเมโลดิสต์ฝึกหัดก็มีอันถูกบางสิ่งขัดจังหวะอีกครั้ง
เมื่อเธอได้ยินเสียงแปลกปลอมคล้ายมีวัตถุบางอย่างพุ่งฝ่าหมู่ใบไม้หนาทึบของต้นไม้ใหญ่เหนือศีรษะ
ตามมาทันทีด้วยเสียงฝูงนกแผดร้องดังอย่างตื่นตระหนกตกใจ พร้อมๆ กับที่พวกมันพากันแตกฮือบินหนี
และในวินาทีที่เธอแหงนหน้าขึ้นไปมองนั่นเอง ยานรบบังคับลำหนึ่งก็หล่นใส่หน้าผากเธออย่างจัง!
“โอ๊ย!” พีณาก้มหน้ายกมือขึ้นกุมหน้าผากทันที
นอกจากจะโดนมันกระแทกใส่จังๆ แล้ว เธอยังรู้สึกเจ็บแสบคล้ายว่าจะโดนมุมแหลมคมของมันบาดผิวจนเป็นแผลอีกด้วย
“วันนี้โชคไม่ดีจริงๆ
เลย” เด็กสาวนิ่วหน้าบ่นงึมงำ พอลดมือที่กดแผลลงมามองก็เห็นว่ามีเลือดซึมติดฝ่ามือมานิดๆ
ในเวลานั้น กลุ่มเด็กผู้ชายสี่คนก็พากันวิ่งกรูเข้ามาหา
หนึ่งในนั้นวิ่งไปอุ้มยานรบบังคับที่ปลายปีกบิดงอขึ้นมาจากพื้น
ในขณะที่เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าใครมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า มองเด็กสาวอย่างเป็นห่วงและรู้สึกผิด
“เป็นอะไรหรือเปล่า
ขอโทษแทนน้องชายเราด้วย”
“เป็นแผล
เจ็บจะแย่น่ะสิ ถามมาได้...” พีณาเงยหน้าไปตอบเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่จากนั้นก็ต้องเอียงหน้ามองงงๆ
เมื่อเห็นเขาชะงักงัน มองจ้องหน้าเธอตาไม่กะพริบ
“เป็นอะไร...
แผลใหญ่น่ากลัวมากเหรอ” ใบหน้าน่ารักพลันเหยเก รีบถามอย่างสงสัยปนนึกกลัวนิดๆ
“เอ่อ...
เปล่า... ไม่ใหญ่ๆ แค่มีขีดเล็กๆ เท่านั้น เอ่อ... ให้เราพาไปทำแผลนะ”
เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดตัวสูงโปร่งผมทองสว่างรีบขันอาสา
ทว่าพีณาไม่ทันได้สนใจเขานัก
เพราะจังหวะนั้นเธอเห็นผู้คุ้มกันที่ตามเฝ้าอยู่ห่างๆ ก้าวมาถึงพอดี พร้อมกับที่สองหูได้ยินเสียงบางสิ่งหล่นตุบลงมาจากกิ่งไม้
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแหลมสูงแผดร้องด้วยความเจ็บปวดแต่กลับดังเพียงแผ่วเบาเท่านั้น
และสิ่งนั้นก็ส่งผลให้สีหน้าเด็กสาวดูไม่ดียิ่งกว่าตอนที่เห็นว่าตัวเองได้แผลเลือดออกเสียอีก
พีณาผุดลุกจากม้านั่งอย่างเร็วไว
ก้าวเร็วๆ ไปหาต้นเสียงแหลมนั้น เธอทรุดกายนั่งลงบนส้นเท้า ก้มลงพินิจมองและแตะปลายนิ้วสำรวจอาการของเจ้าลูกนกตัวเล็ก
ที่ขนแรกเกิดยังอ่อนนุ่มและขึ้นแค่หรอมแหรม คิดว่ามันคงตกใจจนดิ้นตกจากรัง
หรือไม่บางทีอาจเป็นเพราะรังของมันถูกยานบังคับพุ่งเฉี่ยวจนเสียหายขาดความแข็งแรง แค่เพียงไม่นานนักเธอก็ตัดสินใจช้อนตัวลูกนกบาดเจ็บที่น่าสงสารขึ้นมาด้วยมือเปล่าอย่างไม่กลัวสกปรก
“เดี๋ยวเราไปห้องปฐมพยาบาลเอง
แล้วจะพาเจ้าตัวนี้ไปด้วย พวกนายไม่ต้องไปหรอก เราไปกับคนของเราได้”
พีณาบอกกับเด็กหนุ่มผมทองที่อาสาให้ความช่วยเหลือ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธมือใหญ่ของบีเจย์ที่จะมาช่วยรับลูกนกไปอุ้มไว้แทน
สองมือเล็กประคองลูกนกตัวจิ๋วที่สั่นเทาไปทั้งตัวเอาไว้ พร้อมลอบส่งถ่ายพลังบางอย่างให้มันอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง
“มีเรื่องอะไรกัน”
เสียงเรียบดุที่ดังมาจากนอกวง
เรียกให้ทุกคนที่มัวแต่สนใจลูกนกพากันสะดุ้งหันขวับ พีณาหมุนตัวไปมองชายร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อโค้ตสีขาวที่หยุดยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วต้องหน้ายุ่งหนักกว่าเดิม
ในขณะที่บีเจย์รีบขยับก้าวเข้ามายืนขวางหน้า กั้นตัวเธอจากสายตาสีเทาคมกริบที่พุ่งตรงมายังเด็กสาวคนเดียวในกลุ่ม
ริมฝีปากหยักบางเฉียบของชาลส์บิดยกขึ้นเล็กน้อย
ยิ้มเยาะท่าทางระมัดระวังอันไร้สาระของผู้คุ้มกันจากวิลตันไชลด์ ชายหนุ่มก้าวช้าๆ
เฉียดผ่านร่างสูงใหญ่ในชุดกระชับรูปสีเข้ม ที่ทำเพียงมองตามตาไม่กะพริบแต่ยังไม่คิดทำอะไรบุ่มบ่าม
ร่างสูงสองร้อยเซนติเมตรเศษเหยียดกายตั้งตรงประดุจเจ้าป่าผู้หยิ่งผยอง
ก้มหน้าน้อยๆ และปรายตาลงมองเด็กสาวที่สูงเพียงแค่อกของเขาเท่านั้น แต่แล้วนัยน์ตาเยียบเย็นข่มขวัญของเขาก็เกิดรอยกระเพื่อมไหววูบผ่านระลอกหนึ่ง
เมื่อได้เห็นขีดสีแดงยาวเกือบสองนิ้วบนหน้าผากขาวเนียน
“ก่อเรื่องอะไรอีก”
เสียงห้าวทุ้มเอ่ยถาม คิ้วเข้มสีดำเช่นเดียวกับเรือนผมที่จัดแต่งทรงเรียบกริบ ขยับย่นเข้าหากันแสดงความรำคาญใจ
พีณาได้ยินคำถามนั้นก็ส่งสายตาขุ่นๆ
ไปให้คู่ปรับต่างวัยทันที
คนคนนี้เพิ่งมาถึงก็กล่าวหาว่าเธอก่อเรื่องเสียแล้ว!
พอถลึงตาใส่เขาเสร็จ
เธอก็สะบัดหน้าเมินหนีไม่อยากพูดจาด้วย หันไปเอ่ยกับผู้คุ้มกันของตัวเอง
“กลับกันดีกว่าค่ะบีเจย์”
บอกแล้วก็ตั้งท่าจะเดินหนี แต่เธอกลับไม่สามารถก้าวเท้าต่อได้ เพราะตรงหน้าพลันมีผู้คุ้มกันของแมคแกรี่หรือที่มักเรียกกันสั้นๆ
ว่า ‘เอ็มการ์ด’ ปรากฏตัวยืนขวางหน้าอยู่ถึงสองคน
“พวกวิลตันไชลด์นี่สั่งสอนลูกหลานให้เป็นจอมทำลายไม่พอ
ยังสอนให้เป็นหัวขโมยด้วยหรือไง”
คำกล่าวหานั้นทำเอา
‘ลูกหลานวิลตันไชลด์’
หันขวับไปมองคนพูด สีหน้าบอกชัดว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง
เสียงเล็กใสโต้แย้งกลับในทันที
“พีณาไม่ได้ชอบทำลาย
แล้วก็ไม่ได้เป็นขโมยด้วย”
“งั้นหรือ...”
ชาลส์มองคนตัวเล็กด้วยสายตาไม่ค่อยเชื่อถือ ปากบางหยักได้รูปอมยิ้ม ยั่วอารมณ์เด็กน้อยที่มองเขาด้วยดวงตาลุกวาว...
ไม่ใช่ลุกวาวด้วยความหลงใหลชื่นชมอย่างเช่นหญิงสาวทั่วไป แต่กลับเต็มไปด้วยอคติและความไม่ชอบหน้า
เหมือนกับเมื่อหกปีก่อนที่เขาได้พบเธอที่นี่ไม่มีผิด...
ครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่คนอย่างชาลส์ แมคแกรี่ ถูกเด็กหญิงตัวเล็กไม่ถึงสิบขวบใช้กำปั้นน้อยๆ
ชกหน้าเข้าเต็มแรง
“แล้วเธอจะอธิบายเกี่ยวกับต้นพีโอนีทั้งสี่ต้นในเรือนพีรามิดว่ายังไง
แล้วยังลูกนกในมือที่กำลังจะเอาออกจากเกรนเด้โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกล่ะ...
หนูน้อยขี้โกหก”
ในตอนท้าย
ชาลส์ยังอุตส่าห์ใจดีแถมข้อกล่าวหาให้เด็กสาวเพิ่มเป็นพิเศษอีกต่างหาก แต่เพราะพีณากำลังมุ่งสมาธิไปยังสิ่งอื่น
เธอจึงไม่ทันได้คิดหาคำตอบโต้ปฏิเสธข้อกล่าวหา ได้แต่ตีหน้าบูดบึ้งขึงตาใส่คนพูด
เจ้าของสถานที่เว้นจังหวะรอให้เด็กสาวเถียงกลับอยู่ไม่นานก็หมดอารมณ์สนุก
ออกคำสั่งเสียงเข้มงวด
“ส่งมันมานี่
ส่วนเธอก็รีบไปห้องปฐมพยาบาลซะ ห้ามเอาหัวที่มีรอยแดงๆ นั่นออกไปจากที่นี่เด็ดขาด
ฉันไม่อยากให้เกรนเด้ต้องเสียชื่อเสียง ถูกกล่าวหาว่าระบบการดูแลความปลอดภัย และการรักษาพยาบาลบกพร่อง”
แม้จะมีมือใหญ่ยื่นมารอรับอยู่ตรงหน้า
แต่พีณากลับยืนประคองลูกนกอยู่นิ่งไม่ยอมขยับ เธอเม้มริมฝีปากแน่นขณะสบสายตาขึงดุบีบบังคับให้ทำตาม
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากเล็กที่เย็นเฉียบลงกว่าปกติ
“พีณา...”
ชาลส์เรียกชื่อเด็กสาวเสียงเย็น เห็นชัดว่าคนขี้รำคาญกำลังจะหมดความอดทน
ชั่วอึดใจหลังจากนั้น
คิ้วเรียวบนใบหน้าเล็กของพีณาก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้งเป็นการปิดท้าย ก่อนจะตัดใจยอมก้าวเข้าไปหาคนตาดุ
ยื่นสองมือที่กอบกุมลูกนกบาดเจ็บซึ่งเวลานี้เนื้อตัวไม่สั่นเทาและไม่ส่งเสียงร้องใดๆ
อีกแล้วให้เขา
“ระวังดีๆ
อุ้มมันเบาๆ นะคะ”
ขณะวางลูกนกลงบนมือใหญ่อย่างระมัดระวัง
ด้วยความกังวลเป็นห่วงเจ้าตัวเล็กจึงทำให้เด็กสาวเผลอตัวเอ่ยสั่งความด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนลงกว่าทุกครั้ง
เธอกลัวเหลือเกินว่าคนใจร้ายอย่างเขาจะไม่รู้จักทะนุถนอมเบาแรง
ชาลส์มองศีรษะกลมๆ
ของเด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตาวางลูกนกลงบนอุ้งมือเขาช้าๆ ก่อนที่คิ้วเข้มจะกระตุกเข้าหากัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของปลายนิ้วเล็กๆ ที่แตะถูกฝ่ามือ ชายหนุ่มนึกใคร่ครวญอยู่ไม่นานก็กระตุกยิ้มร้าย
พอจะเข้าใจในอะไรบางอย่าง
เด็กคนนี้...
ทุกทีก็เห็นทำเป็นเก่ง แต่เอาเข้าจริงๆ กลับหวาดกลัวเขาจนมือเย็นเฉียบ
ความคิดอยากแกล้งเด็กวิลตันไชลด์ทำให้ชาลส์กดยิ้มร้ายลึกยิ่งขึ้น
เขาส่งลูกนกให้เอ็มการ์ดมารับไป สั่งให้พาไปรักษากับสัตวแพทย์ในสวนสัตว์ที่อยู่ในกลุ่มโดมเดียวกับที่นี่
จนเมื่อมือว่างก็จัดการคว้ามือเล็กเย็นจัดนั้นหมับ ก้มหน้าลงไปหาเด็กสาวที่ออกอาการตื่นตระหนกเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาโต
พร้อมเอ่ยบอกอย่างมีน้ำใจสุดๆ
“ฉันพาไปล้างมือทำแผลเองดีกว่า”
ชายหนุ่มว่าแล้วก็ออกเดินทันที
พร้อมออกแรงฉุดลากเด็กสาวติดมือไปอย่างไม่สนใจใคร โดยเบื้องหลังนั้น ผู้คุ้มกันของเด็กสาวก็รีบก้าวเท้าตาม
ตั้งท่าจะเข้ามาเอาตัวคุณหนูคืน แต่กลับถูกเอ็มการ์ดทั้งสองคนขยับแทรกขวางเอาไว้
“ฉันไม่ทำอะไรเด็กน้อยนี่หรอกน่า แค่แสดงน้ำใจของเจ้าถิ่นที่ดีเท่านั้น”
ชาลส์อุตส่าห์หันกลับไปสั่งความไม่ให้ผู้คุ้มกันของเด็กสาวตื่นตูมเกินเหตุ
ก่อนจะออกเดินต่อ
“ไม่เอา! ไม่ไปนะคะ ปล่อยสิ! พีณาไปเองได้ ไม่รบกวน...”
เด็กสาวร้องปฏิเสธเขาชุดใหญ่
พยายามขืนตัวและดึงมือเล็กๆ ออกจากพันธนาการของมือใหญ่อุ่นจัด
แต่ก็ไม่สามารถต่อต้านอะไรเขาได้สักอย่าง
หนึ่งชายหนุ่มกับหนึ่งเด็กสาว
และคนตัวโตอีกสามคนเดินจากไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงกลุ่มเด็กชายผู้เป็นต้นเหตุที่แทบไม่มีบทบาทตั้งแต่ผู้นำตระกูลแมคแกรี่ปรากฏตัว
พวกเขาได้แต่มองตามอย่างไม่รู้จะช่วยเหลือเด็กสาวอย่างไร
และไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องช่วยหรือไม่ ในเมื่อชาลส์ก็ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้าย เพียงแค่จะพาไปทำแผลโดยที่เด็กสาวดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไรเท่านั้น
ทุกคนในเหตุการณ์ต่างไม่มีใครรับรู้เกี่ยวกับอาการของเจ้าลูกนกขาหักที่น่าสงสารเลยสักนิด
ว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บของมันดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ นอกจากเด็กสาวที่เป็นผู้สำรวจอาการของมันตั้งแต่ต้น
และประคองมันไว้ในอุ้งมือแต่เพียงผู้เดียว
ห้องปฐมพยาบาลภายในเกรนเด้การ์เด้นมีการจัดเตรียมไว้ถึงห้าจุดเพื่อให้ผู้มารับบริการสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายและรวดเร็ว
ภายในห้องสีขาวขนาดยี่สิบตารางเมตรเรียบโล่งสะอาดตา มีเพียงเตียงขนาดเล็กปูด้านบนด้วยแผ่นโฟมชนิดพิเศษหุ้มด้วยแผ่นโพลีเมอร์สีฟ้าอ่อนตั้งไว้ชิดผนังด้านหนึ่ง
ยาและเครื่องมืออุปกรณ์ในการรักษาขั้นพื้นฐานถูกจัดเรียงเป็นระเบียบอยู่ในตู้กระจกที่ฝังไว้ในผนังอีกฝั่ง
พีณากำลังนั่งห้อยขาอยู่บนเบาะบางๆ
นุ่มหยุ่น นายแพทย์หนุ่มเลื่อนโต๊ะวางอุปกรณ์ทำแผลมายืนอยู่ตรงหน้า พลางปลอบเสียงอ่อนโยนไม่ให้เธอกลัวเจ็บ
ก่อนจะเริ่มต้นลงมือทำแผลให้อย่างคล่องแคล่ว โดยมีชาลส์ยืนกอดอกมองมาไม่วางตาจากตรงปลายเตียง
“อ๊ะ!” เสียงเล็กๆ อุทานออกมาด้วยความเจ็บเมื่อสำลีชุบน้ำเกลือบริสุทธิ์แตะโดนแผล
ก่อนจะต้องสูดปากแรงและเอนกายหนีโดยอัตโนมัติ เมื่อแพทย์หนุ่มเพิ่มแรงอีกนิดเพื่อเช็ดล้างคราบเลือดที่ซึมออกมาแห้งกรังตรงปากแผล
“เจ็บหรือ...”
เสียงเข้มของคนยืนคุมดังขึ้นมา
พีณาหันไปพยักหน้าให้เขาทันที
กำลังจะเอ่ยปากตอบเสียงอ่อยว่าเจ็บมาก แต่แล้วเธอก็ต้องอ้าปากค้าง
เมื่อได้ยินคำพูดเฉยชา ไร้ซึ่งความเห็นใจที่เขาเอ่ยตามมา
“แผลเล็กนิดเดียวแค่นี้ หัดรู้จักอดทนเอาหน่อยแล้วกัน”
คนถูกเหน็บให้อดทนจึงหุบปากฉับ พร้อมตั้งคำถามปนตำหนิตัวเองอยู่ในใจ
นี่เธอลืมตัว เผลอจะอ้อนขอความเห็นอกเห็นใจจากเขาได้ไงกัน
จากนั้นพีณาก็ทนนั่งนิ่งๆ บังคับตัวเองไม่ให้ส่งเสียงอะไรอีก
พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันต่อว่าคนใจร้ายใจดำอยู่ในใจโดยไม่เก็บซ่อนสีหน้าอาการ
ชาลส์มองดวงตากลมโตลุกวาวของเด็กสาวมือซุกซนที่ถูกเขาแกล้งยั่วให้โมโหแล้วก็ลอบยิ้ม
เพิ่งค้นพบในวันนี้นี่เองว่าเด็กบางคนก็ไม่ได้น่าเบื่อน่ารำคาญ
แถมยังช่วยให้เขารู้สึกสนุกสนานได้ด้วยซ้ำไป
จนกระทั่งแพทย์หนุ่มทายาสมานแผลและยาลดอาการอักเสบบวมช้ำประสิทธิภาพสูงให้เรียบร้อย
พีณาก็เอ่ยขอบคุณเสียงสดใส รู้สึกว่าความเจ็บแสบและอาการปวดศีรษะตุบๆ ลดลงไปมาก
“ยินดีครับคนเก่ง”
แพทย์หนุ่มตอบรับพร้อมส่งมือให้เด็กสาวจับยึดเพื่อก้าวลงจากเตียง
“รับรองว่าไม่ถึงสิบนาที คุณหนูก็จะหายเจ็บ
จนลืม...”
“เรียบร้อยก็กลับไปได้แล้ว” ชาลส์บอกไล่แทรกคำพูดปลุกปลอบยืดยาวของแพทย์ประจำห้องด้วยน้ำเสียงห้วนติดรำคาญ
และมันก็เรียกสายตาขุ่นเคืองของเด็กสาวให้มองกลับมาที่เขาได้อีกครั้ง
“คนนิสัยไม่ดี” ปากเล็กๆ พ่นคำต่อว่าด้วยความกล้าไม่กลัวใคร
ที่ถูกเสริมทับด้วยความโมโห ก่อนจะสะบัดใบหน้าหงิกงอเดินหนีออกจากห้องไปโดยไม่คิดจะเอ่ยขอบคุณหรือบอกลาเจ้าของสถานที่
ชาลส์หัวเราะเสียงทุ้มลึกในลำคอ ทำเมินเหมือนมองไม่เห็นสายตาของนายแพทย์หนุ่มที่ลอบมองมาอย่างกังขากับการกระทำที่ไม่สมเป็นสุภาพบุรุษของเจ้านายใหญ่
ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวๆ ตามออกไปหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าอาคาร สองมือสอดล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวยาว
นัยน์ตาคมสีเทาเปล่งประกายวาววาบแปลกๆ ขณะมองตามเด็กสาวที่เคลื่อนไถลด้วยรองเท้าล้อกลมุ่งหน้าไกลห่างออกไปเรื่อยๆ
โดยมีผู้คุ้มกันของเธอตามไปติดๆ
ด้วยเพราะพีณาเป็นคนของวิลตันไชลด์ จึงเป็นธรรมดาที่คนของเขาจะรายงานถึงการมาเยือนของเธอให้เขาได้รู้ทุกครั้ง
แรกๆ เขาก็ปล่อยผ่านอย่างไม่ใส่ใจ แต่ช่วงหลังที่เกิดเหตุการณ์ต้นพีโอนีเหี่ยวเฉาลงโดยหาสาเหตุไม่ได้
เขาก็ชักเริ่มผิดสังเกตเพราะมันมักเป็นช่วงเวลาหลังจากพีณามาที่นี่ไม่กี่วัน และเมื่อให้คนย้อนดูภาพบันทึกจากมุมต่างๆ
ในเรือนพีรามิด เขาก็ได้เบาะแสเพิ่มเติม ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาเหล่านั้นต่างเป็นต้นที่เด็กสาวหยุดยืนชมอยู่นานเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้เขาจึงไปดักเจอและเอ่ยขู่ออกไปทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเธอทำอะไรกับต้นไม้เหล่านั้นกันแน่
แต่ดวงตาตื่นตระหนกอย่างไม่รู้จักปิดบังอำพรางคู่นั้นก็ทำให้เขามั่นใจว่าเธอเป็นตัวต้นเหตุจริงๆ
หึ! เขานิสัยไม่ดีตรงไหนกัน ยังไม่ทันได้ลงมือทำโทษเด็กมือบอนให้สมกับที่กล้ามายุ่งกับต้นไม้ในสวนของเขาเลยด้วยซ้ำ
ชาลส์นึกถึงคำต่อว่าที่เด็กสาวทิ้งท้ายไว้แล้วก็คิดแก้ตัวกับตัวเอง
ผสมกับคาดโทษเด็กสาวตัวแสบอยู่ในใจ โดยไม่ทันได้สังหรณ์ใจสักนิดเลยว่า... อีกสองวันต่อมา
เขาจะต้องหัวเสียหนักกับรายงานเรื่องการเหี่ยวเฉาของต้นไม้ใบงามพุ่มใหญ่ตรงหน้าอาคารจอดโมบิลของเกรนเด้การ์เด้นอีกจนได้!
อ่านต่อ >> ท่วงรักที่ 2 : ทริปปลดล็อก
หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ ได้เลยค่ะ
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
โหลดฉบับอีบุ๊ค...
Meb : https://goo.gl/rP0Jmj
The1Book : https://goo.gl/vCXodr
Hytexts : https://goo.gl/tO7Buv
Ookbee : https://goo.gl/TjzWu9
NaiinPann : https://goo.gl/zPJdfH
Google Play : https://goo.gl/NuGawa
Dek-D : https://goo.gl/wBdqq0
No comments:
Post a Comment