รักข้ามเวลา ชุดกาลรักหนึ่ง
เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
กาลที่ 3 : เด็กเจ๊
ฝนปรายแนะนำอาเธอร์ให้คุณยายดวงดาวรู้จักคร่าวๆ ในฐานะผู้มีพระคุณ และบอกว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบากเพราะถูกฉกชิงทรัพย์ไปในระหว่างท่องเที่ยว ฝ่ายหญิงชราเจ้าของบ้านที่เห็นว่าตอนนี้ค่ำมืดแล้ว และทั้งคู่อาจจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจึงตัดสินใจยังไม่ซักถามเรื่องราวโดยละเอียด เพียงบอกให้ทั้งสองไปทานอาหารที่เตรียมไว้ให้เสียก่อน แล้วจะได้ขึ้นไปพักผ่อน
หลังจากอิ่มท้อง อาเธอร์ก็เดินตามฝนปรายขึ้นมาบนบ้าน หญิงสาวผลักประตูไม้บานหนึ่งออกกว้างก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องนอนของตนเอง
“คืนนี้ฉันจะไปนอนกับคุณยาย คุณก็พักห้องนี้ไปก่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยทำความสะอาดห้องใหม่ให้คุณ”
ระหว่างที่เธอบอกกล่าว ชายหนุ่มก็กวาดตาสำรวจภายในห้องไปด้วย ซ้ายมือของประตูห้องเป็นตู้ไม้หลังโตที่หญิงสาวกำลังก้มหยิบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวออกมา ข้างๆ กันเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่แทบไม่มีกระปุกครีมหรือเครื่องสำอางวางให้รก ถัดไปอีกก็เป็นประตูที่หญิงสาวเจ้าของห้องยกนิ้วหัวแม่มือชี้ข้ามไหล่ไปบอกว่าเป็นห้องน้ำ มองข้ามเตียงกว้างไปอีกด้านของห้อง ตรงข้างหน้าต่างที่ปิดสนิท มีโต๊ะทำงานที่ตั้งคอมพิวเตอร์จอกว้างสีขาวทันสมัย โดดเด่นออกจากเครื่องเรือนไม้สีเข้มทุกชิ้นในห้อง
“แล้วคุณมีชุดนอนไหมคะ ได้เตรียมเสื้อผ้าของยุคนี้มาด้วยหรือเปล่า” ฝนปรายค้นเสื้อผ้าที่ต้องการมาได้แล้วก็ถามกับชายหนุ่ม
“ฉันเตรียมมาสองสามชุด แต่ถึงจะไม่มีเปลี่ยนก็ไม่เป็นปัญหาหรอก”
นักข้ามเวลาหนุ่มตอบสั้นๆ ไม่ได้อธิบายคุณสมบัติของเสื้อผ้าที่เขาเตรียมมาเพิ่มเติม แม้รูปแบบจะมองดูเหมือนเสื้อผ้าในยุคอดีต แต่พวกมันทำมาจากเนื้อผ้าเส้นใยพิเศษ เคลือบสารฆ่าเชื้อและไร้กลิ่นอับ สามารถใส่ซ้ำโดยไม่ต้องซักได้เป็นเดือน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใส่ปฏิบัติภารกิจ เพราะประหยัดเนื้อที่เก็บสัมภาระ
แต่ดูเหมือนว่าฝนปรายจะไม่คิดว่ามันเพียงพอต่อการที่เขาจะอาศัยอยู่ที่นี่อย่างไม่รู้กำหนด อาเธอร์เห็นเธอเอียงคอมองสำรวจตัวเขาแล้วใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจให้เองเสร็จสรรพ
“แต่ฉันว่าพรุ่งนี้ฉันพาคุณไปหาซื้อมาไว้เพิ่มสักหน่อยดีกว่า ส่วนคืนนี้ก็ตามสบายนะคะ” หญิงสาวพูดจบก็ยิ้มมุมปากก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
อาเธอร์ที่คัดค้านไม่ทันจึงได้แต่หน้ายุ่งขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะปล่อยผ่าน ในเมื่อมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนักกับการทำตามอย่างที่อีกฝ่ายว่า เขาเดินไปวางกระเป๋าเป้ไว้ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า หยิบกล่องย่อขยายที่บรรจุของใช้ส่วนตัวออกมาวางไว้ข้างๆ กดปุ่มให้มันขยายคืนขนาดเดิม ก่อนจะเปิดออกแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวผืนบางซึมซับดีเยี่ยมและกระเป๋าใส่อุปกรณ์อาบน้ำออกมา
ถึงแม้นักข้ามเวลาหนุ่มจะสามารถทนไม่อาบน้ำติดต่อกันหลายวัน ในบางครั้งที่ต้องข้ามเวลาไปปฏิบัติภารกิจในถิ่นที่ไร้ความสะดวกสบาย แต่เมื่อได้มีเวลาจัดการตัวเอง คุณชายแห่งเบิร์นสไตน์ย่อมดูแลตัวเองอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้าชั้นดี แปรงสีฟันไฟฟ้า เครื่องยิงกำจัดหนวดกึ่งถาวร ครีมบำรุงต่างๆ รวมถึงน้ำหอมต้องมีพร้อมสรรพ
อาเธอร์เริ่มต้นการอาบน้ำด้วยการเรียนรู้วิธีใช้เครื่องทำน้ำอุ่นรุ่นโบราณด้วยการอ่านรอยทรงจำของมัน ภาพจากอดีตที่มันเคยถูกมือหนึ่งเปิดปิดช่วยทำให้เขารู้ว่าจะใช้งานมันได้อย่างไร ห้องน้ำแห่งนี้ช่างแตกต่างจากในโลกอนาคตที่ทุกอย่างแทบเป็นอัตโนมัติ เพียงแค่ยืนให้ตรงจุดหรือเดินปัดผ่านเซ็นเซอร์ สายน้ำก็พรั่งพรูในรูปแบบทิศทางที่มีให้เลือกหลากหลาย อุณหภูมิของน้ำก็ถูกปรับให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและร่างกายโดยอัตโนมัติ และยังสามารถเลือกสั่งการด้วยเสียงปรับอุณหภูมิน้ำได้ละเอียดถึงจุดทศนิยม
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ร่างสูงโปร่งหอมกลิ่นสะอาดสดชื่นก็เดินออกจากห้องน้ำพร้อมผ้าพันกายท่อนล่างผืนเดียว ใบหน้าหล่อเหลามีร่องรอยขัดใจเล็กน้อย เมื่อพบข้อบกพร่องสำหรับการเตรียมตัวเดินทางครั้งนี้ของตนเอง เพราะในการเดินทางครั้งก่อนๆ นั้นไม่เคยต้องใช้มัน... กางเกงนอน
อาเธอร์พาร่างเกือบเปลือยไปเอนกายนอนบนเตียงกว้าง ปล่อยความขัดใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทิ้งไปเสีย ก่อนจะหลับตาลงโดยไม่สนใจจะคว้าผ้าห่มมาคลุมกาย แต่อากาศร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนในเขตพื้นที่ร้อนชื้นก็เป็นอุปสรรครบกวนการนอนหลับ จนทำให้เขาต้องผุดลุกขึ้นมาอีกครั้ง หัวคิ้วของคนจากอนาคตขมวดย่น ไม่มั่นใจว่าในห้องนี้จะมีอุปกรณ์เครื่องใช้ใดที่ช่วยปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่สบายขึ้นหรือไม่
นัยน์ตาคมพลันเปล่งประกายสีทองวาววาบ กวาดมองอ่านรอยทรงจำไปรอบห้อง เพียงไม่นานก็ลุกขึ้นไปหยิบรีโมตคอนโทรลมากดปุ่มเปิดเครื่องปรับอากาศ ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสลมเย็นๆ ที่พ่นออกมา ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ พาร่างที่สูงจนปลายเท้ายื่นพ้นปลายเตียงไปเกือบฟุต กลับมานอนหลับตาลงอีกครั้ง
ภาพและรสสัมผัสของข้าวต้มร้อนๆ หอมกลิ่นข้าวใหม่และใบเตยที่ทานคู่กับปลาเค็มหมูสับผัดไข่ ผัดผัก และยำผักกาดดอง ที่เจ้าของบ้านบอกว่าเป็นเพียงมื้อดึกง่ายๆ สบายท้องนั้น ลอยเข้ามาในห้วงสติสุดท้ายของชายหนุ่มจากอนาคตที่จัดการอาหารทุกอย่างจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ ในใจเขาทั้งพึงพอใจและนึกอิจฉามนุษย์ยุคนี้นัก ที่ได้เป็นเจ้าของความสุขเรียบง่ายเหล่านี้โดยไม่ต้องขวนขวายใช้ความพยายามมากมายเลย
เช้านี้เพ็ญนรีลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแจ่มใส เธอเดินลงมาจากห้องนอนโดยมีลูกๆ ขนนุ่มฟูทั้งสองตามติด หญิงสาวเดินมาถึงห้องอาหารที่มีบิดามารดานั่งทานอาหารเช้ากันอยู่ หยุดแวะทักทายท่านทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะเรียกเจ้าตัวซนที่ตั้งท่าจะวิ่งไปหามารดาให้ตามไปยังห้องครัว จัดการเทอาหารใส่ชามและวางในจุดที่ฝึกไว้ ยืนยิ้มมองเจ้าดุ๊กดิ๊กและเจ้ากิ๊กกิ้วตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารในชามของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินออกไปยังห้องอาหาร
“เช้านี้หนูขอผ่านนะคะมี้ จะไปขอข้าวบ้านขิมทานค่ะ” เพ็ญนรีบอกกับมารดาที่กวักมือเรียกให้มานั่งทานด้วยกัน
“เจ้าลูกคนนี้ พอเพื่อนกลับมาก็ทิ้งป๊าทิ้งมี้เลยนะ” เสียงก้องดังของไพโรจน์เอ่ยหยอกลูกสาว
“โถ... ป๊าก็... กล่าวหาหนูคดีใหญ่เลย ใครจะทิ้งป๊าทิ้งมี้ได้ลงกันคะ”
ถึงแม้จะรู้ว่าบิดาแกล้งหยอก แต่หญิงสาวก็ยังเข้าไปเจรจาออดอ้อน
“ไม่งั้นเวลาทำงานแล้วตังค์ไม่พอใช้ จะขอเบิกจากใครเล่า”
ประโยคท้ายของหญิงสาวได้มือของมารดาฟาดเพี้ยะที่ต้นแขน และเสียงหัวเราะดังของบิดามาเป็นรางวัล
“ถ้างั้นจะไปไหนก็ไปเถอะ ทิ้งป๊าบ้างก็ได้” ไพโรจน์ส่ายหน้าเอ่ยไล่ทั้งที่บนใบหน้ายังฉายรอยยิ้มอารมณ์ดีชัดเจน
เพ็ญนรีตีหน้างอปากยื่นทันที แต่ก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารไป น้ำเสียงสดใสยังแกล้งหย่อนคำพูดให้ทั้งคู่ได้ส่ายหน้าทั้งที่ยิ้มกว้าง
“ไปแล้วค่ะ ป๊าอยากสวีทกับมี้สองคนก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องทำเป็นไล่ให้หนูเสียใจก็ได้”
สไตลิสต์สาวร่างเล็กเดินอมยิ้มอารมณ์ดีออกจากบ้าน วันนี้บนใบหน้าอ่อนใสของสาวหมวยตาโตตบแป้งบางเบา ทั้งคิ้ว ตา และปากเติมแต่งครบในลุคธรรมชาติเหมือนไม่ได้แต่ง ผมดัดลอนอ่อนๆ สั้นเพียงปลายคางก็จัดแต่งเป็นทรงดูเซอร์เล็กๆ เหมือนไม่จงใจ ผิวกายขาวผ่องตัดกับเสื้อแขนกุดลายขวางสีน้ำเงินเข้ม
เมื่อเดินเข้าไปถึงห้องอาหารของบ้านหลังตรงข้าม เพ็ญนรีก็เอ่ยทักทายและส่งยิ้มกว้างไปให้ทุกคนที่กำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ แต่พอกวาดดวงตาสดใสไปถึงชายหนุ่มตัวสูงเด่น เธอก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อคล้ายว่าจะเห็นอาการชะงักไปเล็กน้อยแล้วเสหลบตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหยิ่งหรือขี้อายกันแน่
สาวร่างเล็กยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะพาตัวเองมานั่งที่โต๊ะ เสียงสดใสเอ่ยขอข้าวเช้าคุณยายดวงดาวทานอย่างคุ้นเคยกันดี ในระหว่างที่รอลูกบัวไปนำจานช้อนมาเพิ่ม ดวงตากลมยังอดมองเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ กันให้เต็มสองตาอีกครั้งไม่ได้ ก่อนจะคลายใจและโล่งใจได้ในที่สุด ที่การกลับมาของเพื่อนเป็นความจริง ไม่ใช่แค่ฝันดีที่หายวับไปเมื่อตื่นนอน
บทสนทนาระหว่างมื้อเช้า เป็นคุณยายดวงดาวสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่า รวมไปถึงที่มาที่ไปของชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่ถูกฉกชิงทรัพย์ไประหว่างการแบกเป้เที่ยวป่า ก่อนจะประจวบเหมาะกลับกลายมาเป็นผู้มีพระคุณของฝนปราย
“ระหว่างรอจัดการธุระเรื่องเอกสารที่หายไป ก็อยู่บ้านนี้ให้สบายเถอะนะพ่ออาเธอร์ หรือจะอยู่เที่ยวนานต่อไปอีก ยายก็เต็มใจ” หญิงชราเจ้าของเรือนหลังร่มรื่นเอ่ยอย่างมีเมตตา
ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มบางเบาเมื่อได้รับความปรานีเอื้อเฟื้อ ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มจะเอ่ยตอบรับ ลอกเลียนคำพูดคำจาของฝนปรายยามเอ่ยกับหญิงชราได้อย่างแนบเนียนไม่มีผิดเพี้ยนสักคำ
“ขอบคุณมากนะจ๊ะคุณยาย”
แต่พอพูดไปแล้วชายหนุ่มก็ต้องรู้สึกแปลกๆ กับแววตาของหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้มองเธอตรงๆ ก็ยังเห็นรอยยิ้มของเธอจากหางตาอยู่ดี
เพ็ญนรีนั่งอมยิ้มมองคนรูปงามตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ เวลาที่เขาเอ่ยตอบคุณยายดวงดาว ผู้ชายตัวโตเสียงนุ่มน่าฟังจะเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อและลงท้ายด้วยหางเสียงจ๊ะจ๋า...
น่ารักน่าเอ็นดูชะมัด!
“พ่ออาเธอร์นี่พูดไทยเก่งนะ ถ้อยคำก็น่ารัก ไปหัดมาจากที่ไหนรึ”
คำถามของคุณยายดวงดาวทำให้หนุ่มสาวสองคนเหลือบมองสบตากันทันที โดยมีเพ็ญนรีและลูกบัวพลอยพยักหน้าอยากรู้ด้วยเช่นกัน
“อาเธอร์เค้าเคยอยู่เมืองไทยมาหลายปีค่ะ เคยมีแฟนคนไทยมาก่อนด้วย คราวนี้อุตส่าห์กลับมาเที่ยวเพราะคิดถึงเมืองไทย ไม่คิดว่าจะโชคร้ายเข้าให้” กลับเป็นฝนปรายกุเรื่องขึ้นมาตอบแทนเจ้าของเรื่อง
หลังคำตอบนั้น คุณยายดวงดาวก็พยักหน้าช้าๆ ชมเชยชายหนุ่มว่าเก่งจริง และหันไปทางหญิงสาวร่างเล็กที่เธอเอ็นดูเป็นลูกเป็นหลานอีกคน
“แล้ววันนี้เจ้าจ้าไม่ไปทำงานหรือ”
ได้ยินคำถามของคุณยาย เพ็ญนรีก็ละสายตาออกมาจากชายหนุ่ม หันไปตอบคนถาม
“เช้านี้จ้าว่างค่ะ มีแค่ตอนบ่ายต้องไปห้างเลือกเสื้อผ้าให้เด็กในสังกัดนิดหน่อย”
“อือ! งั้นก็พอดีเลย... ฉันฝากอาเธอร์ให้แกช่วยพาไปซื้อเสื้อผ้าหน่อยสิ” ฝนปรายเห็นว่าประจวบเหมาะก็หันมาไหว้วานเพื่อน งานนี้ฝากให้คนช่างแต่งตัวและช่างจับคนอื่นแต่งตัวช่วยเหลือคงเหมาะสมกว่าเธอแน่นอน
“ก็มันหายไปหมดกับกระเป๋าใบที่โดนฉกไปไง” หญิงสาวอธิบายต่อให้เพื่อนที่มองมาอย่างสงสัย ไม่รอให้เพื่อนทันคิดได้และถามต่อว่าแล้วเป้ใบโตที่เขาถือมาด้วยมันคืออะไร เธอก็หันไปทางชายหนุ่ม
“ไปกับจ้าได้ไหมคะอาเธอร์ รับรองว่าได้เรื่องกว่าขิมแน่นอน ขิมจะได้อยู่ที่นี่ช่วยลูกบัวจัดห้องใหม่ให้คุณ”
“ได้สิ เรื่องแค่นี้... สบายมาก”
อาเธอร์เพิ่งเริ่มครุ่นคิดจะตอบคำ เสียงใสๆ ของคนตัวเล็กก็ตอบรับขึ้นมาตัดหน้า พร้อมแววตาเป็นประกายมองเขาอย่างมีเรื่องถูกใจ
ด้วยการฝากฝังของฝนปราย ตอนนี้อาเธอร์จึงได้นั่งอยู่รถคันโตของเพ็ญนรี โชคดีที่คนตัวเล็กชื่นชอบรถคันใหญ่ ด้วยเหตุผลอยากจะขอมีมุมมองสูงๆ เหนือคนอื่นบ้าง แม้จะเป็นแค่บนท้องถนนก็ตามที เพราะถ้าหากเธอเลือกขับรถคันเล็กกว่านี้ ด้วยความสูงสองร้อยกับห้าเซนติเมตรของชายหนุ่ม เขาคงจะต้องอึดอัดไม่น้อย กระทั่งตอนนี้ที่เบาะถูกเลื่อนถอยหลังไปจนสุด แต่ขายาวๆ ของเขาก็ยังแทบแตะกับคอนโซลหน้า
เพ็ญนรีเหลือบมองคนหน้าหล่อสมบูรณ์แบบแต่นิ่งจัดและแสนสงวนถ้อยคำ ก่อนจะหน้างอปากยื่นนิดๆ
ในช่วงสิบห้านาทีแรกของการเดินทาง เธออุตส่าห์ชักชวนเขาพูดคุยผูกมิตรไปตามประสา แต่พอเจออาการถามยี่สิบคำตอบคำของเขาเข้า ต่อให้เป็นคนอัธยาศัยดีแค่ไหนก็ต้องล่าถอย ปล่อยให้ในรถมีเพียงเสียงเพลงช่วยคลายความเงียบ
อาเธอร์นั่งสังเกตสองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย มองความวุ่นวายสับสนบนท้องถนนที่มีพาหนะหลากหลายชนิดใช้ร่วมกัน มอเตอร์ไซค์แล่นเฉียดด้านข้างเสียใกล้จนเขากลัวว่ากระจกที่ยื่นออกมาจะเกี่ยวชนกัน รถยนต์สีสดใสที่มีป้ายแท็กซี่ติดบนหลังคาพุ่งเข้ามาเบียดแทรกปาดหน้า จนรถที่เขานั่งมาต้องเบรกหยุดกะทันหันจนหน้าคะมำ ยิ่งเข้าไปในเมืองมากเท่าไร ความไร้ระเบียบก็ยิ่งเพิ่มพูน จนหัวคิ้วของคนนั่งมองอย่างไม่เคยพบเคยเห็นขมวดย่น
และที่ทำให้เขาถึงกับสบถออกมาเบาๆ ก็คือภาพรถยนต์คันข้างๆ แล่นพุ่งฉิวแซงผ่านรถของพวกเขาที่จอดรอให้คนข้ามตามสัญญาณไฟ จนเกือบชนเข้ากับแม่ลูกคู่หนึ่งที่กำลังก้าวเดินข้ามถนนบนทางม้าลาย
“แย่มาก” เสียงเรียบต่ำนั้นดังขึ้นจากระดับปกติ แต่ก็ยังเบากว่าเสียงของหญิงสาวที่ดังกลบเสียมิด
“ไอ้บ้านี่! จะรีบไปตายก็อย่าทำคนอื่นเดือดร้อนไปด้วยดิ จอดรอแค่สามสิบวิ มันจะทำให้ถึงบ้านเกิดช้าลงแค่ไหนเชียว” เสียงเล็กใสของคนตัวเล็กพ่นถ้อยคำเผ็ดร้อน ดวงตากลมๆ ก็มองตามท้ายรถที่ฝ่าสัญญาณไฟสำหรับคนข้ามถนนไปอย่างไม่พอใจ แต่ไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งหันมองหลังขวับเมื่อถูกรถคันหลังบีบแตรไล่
เพ็ญนรีเหลือบตามองสัญญาณไฟให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จอดแช่ค้างทั้งที่ไฟเขียว แต่ตัวเลขสีแดงที่ยังนับถอยหลังอีกนับสิบวินาทีก็ทำให้เธอก่นด่า
“ไอ้คันหลังนี่ก็วอน... ไม่ไปโว้ย!”
คนตัวเล็กแต่ใจโตเกินตัวว่าแล้วก็นั่งเฉยต่อไป รอจนไฟสัญญาณเปลี่ยนสีแล้วจึงค่อยออกตัว แต่เสียงแตรที่ดังไล่ตามหลังจากรถคันเดิมก็ทำให้ปากเล็กๆ อ้าออกเตรียมจะด่าซ้ำ
“ไร้มารยาท! ขาดระเบียบกันที่สุด”
เพ็ญนรีหันขวับมามองคนที่แย่งสบถต่อว่าโดยที่เธอยังอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบหันกลับเพื่อมองทางข้างหน้า เสียงนุ่มมีกังวานชวนฟังแต่เฉียบขาดของเขาทำให้แววตาขุ่นๆ ของคนโกรธง่ายหายเร็วเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายถูกใจ ไม่นานหันมาส่งยิ้มรื่นให้คนที่นั่งกอดอกหน้าเคร่งข้างตัวอีกครั้ง
“ด่าเป็นประโยคก็ได้ด้วย?!”
“ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ” หางเสียงนุ่มลึกนั้นยังฟังห้วนอยู่บ้าง
“ฮึ! แต่ทีเราถามละไม่ยอมพูด...” เพ็ญนรีหันกลับไปมองตรงทางข้างหน้า พึมพำยักไหล่เบาๆ ไม่คิดถือสาจริงจังมากมาย
ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคำพูดนั้น บวกกับความเงียบไม่ชักชวนคุยของเธอ สะกิดให้คนฟังเก็บไปคิดใคร่ครวญต่อจนหน้ายุ่ง
รถยนต์สีขาวคันงามมาจอดนิ่งบนอาคารจอดรถของห้างสรรพสินค้ากลางกรุง อาเธอร์ก้าวเท้าตามร่างเล็กที่สูงไม่พ้นอกของเขาเข้าไปในอาคารปรับอากาศเย็นฉ่ำด้วยใบหน้าที่ยังนิ่งขรึม
ในที่สุดเขาก็คว้าสายกระเป๋าสะพายไหล่ของคนเดินนำเอาไว้
“หือ?” เพ็ญนรีหมุนตัวกลับไปมองเขาอย่างสงสัย
“ฉันไม่ได้ไม่อยากคุยกับคุณจ้านะคะ แต่ปกติฉันไม่ชอบพูดอยู่แล้ว” อาเธอร์อธิบาย
ความจริงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะเงียบหรือตีตัวห่างเหินกับเธอมากขนาดนั้น เพียงแต่ตอนอยู่บนรถ เขายังตั้งตัวไม่ติดกับการช่างพูดช่างถาม อย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำกับเขามาก่อนเท่านั้นเอง
เพ็ญนรีเงยหน้ามองคนไม่ชอบพูดแล้วยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง ก่อนจะทำความเข้าใจว่าเขาคงคิดว่าเธอไม่พอใจที่เขาไม่พูดไม่จา จนต้องชี้แจงนิสัยตัวเองให้รู้ พอคิดได้อย่างนี้ หญิงสาวก็ฉีกยิ้มให้คนไม่ช่างพูดแต่ช่างคิดมาก
“โอเค... รับทราบ อันที่จริงจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก... เอาเป็นว่าจากนี้ก็ปล่อยจ้าพูดของจ้าไป แล้วนายก็ฟังเงียบๆ ไปแล้วกัน แต่ถ้าช่วยพยักหน้าให้รู้ว่าฟังอยู่ด้วยจะดีมาก” หญิงสาวบอกแล้วก็ตบหลังเขาไปเบาๆ สองสามที
หากเป็นกรณีปกติกับเพื่อนฝูง เธอคงตบไหล่ แต่คราวนี้...
มันสูง! เอื้อมลำบากไปหน่อย
“ได้”
เพ็ญนรีฟังคำตอบรับสั้นกุดอย่างคงเส้นคงวานั้นแล้วก็ยิ้มหัวเราะออกมาทันที เหล่ตามองคนหน้านิ่งพูดน้อยด้วยแววตาล้อ ก่อนจะหมุนตัวออกเดินต่อ แต่ในระหว่างทางที่เดินไปยังร้านที่หมายตา สาวตาไวก็อดขมวดคิ้วเล็กๆ ด้วยความสะดุดตาสะดุดใจไม่ได้
เมื่อครู่เขาเงยหน้ามองไปข้างหน้าพอดี...
หรือว่าเขาจงใจเมินหลบตาเธออีกแล้วกัน
จากรูปร่างสูงใหญ่เกินชายไทยทั่วไป บวกกับวัยยี่สิบต้นๆ ที่คาดคะเนเอาจากหน้าตาของชายหนุ่ม เพ็ญนรีจึงเลือกร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังจากฝั่งอเมริกาที่เน้นดีไซน์สวมใส่สบายกึ่งสตรีทหน่อยๆ และด้วยรูปลักษณ์โดดเด่นของอาเธอร์ แม้เขาจะอยู่ในชุดเสื้อคอกลมสีเทาและกางเกงสีดำเรียบง่าย เขาก็ยังสามารถเรียกความสนใจจากพนักงานและบรรดาลูกค้าสาวๆ ได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในร้าน และแม้พวกเธอทั้งหลายจะสังเกตเห็นหญิงสาวร่างเล็กที่คอยเลือกเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายเอาในตอนหลัง ก็ยังอดเมียงมองชายหนุ่มหน้าตาดีที่เหมือนจะมีเจ้าของแล้วไม่ได้อยู่ดี
เพ็ญนรีแตะปลายนิ้วไล่เรียงไปบนเสื้อที่แขวนอยู่บนราว ก่อนจะหยิบเสื้อยืดคอกลมสีสวยแปลกมาตัวหนึ่ง มองดูลายบนอกเสื้ออย่างถูกใจ ไม่นานก็หันไปยื่นสุดแขนทาบลงบนตัวร่างสูง แล้วพยักหน้าหงึกๆ
“ตัวนี้ก็น่าจะดีนะ”
อาเธอร์ก้มมองเสื้อสีครีมอมชมพู สกรีนตัวอักษรจงใจให้แตกลายออกเก่าๆ วินเทจนิดๆ เป็นคำว่า “LOVE&PEACE” แล้วต้องขมวดคิ้ว
“มันดู... หวานไปหน่อยไหมคุณจ้า”
ความสนิทใจที่เริ่มก่อเกิดรวดเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ระดับความสุภาพในคำพูดของนักข้ามเวลาหนุ่มลดลงไปจนไม่มีหางเสียง
“หวานไปเหรอ? ไม่นี่... เข้ากับบุคลิกหน้าตานายออก”
เสื้อตัวนี้สีออกจะสุภาพ หยอดความหวานเข้าไปเพียงเล็กน้อยไม่โจ่งแจ้ง เมื่อมาอยู่คู่กับใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมหวาน และริมฝีปากสีสดของเขาแล้ว ให้ความรู้สึกเป็นหนุ่มออกสาวที่ดูดีมีระดับจะตายไป
“น่า... เชื่อสายตาจ้าสิ” เธอพยักหน้าขึงขังน่าเชื่อถือ แต่เมื่อเขายังยืนนิ่งไม่ยอมรับไปก็เอ่ยปากต่อ “เอางี้ เดี๋ยวไปลองดูก่อนก็ได้ ไม่ชอบก็ไม่ต้องเอา จ้าไม่บังคับใจใครหรอก เสื้อผ้าใส่ไปแล้วไม่มั่นใจ ใส่ยังไงก็หล่อไม่เต็มที่หรอก”
ประโยคเกลี้ยกล่อมนั้นทำให้ชายหนุ่มจำต้องยอมรับเสื้อตัวนั้นใส่ลงในตะกร้าที่มีเสื้อสีครีม สีน้ำตาลเข้มและสีเทาที่เขาเลือกไว้อยู่ก่อนแล้ว
จากนั้นขายาวๆ ก็ก้าวตามหลังคนตัวเล็กไปยังโซนเสื้อเชิ้ตลำลองทั้งแขนสั้นแขนยาว เขากวาดตามองแล้วก็เอื้อมมือไปจะหยิบเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำตาลครีมมาตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับมือเล็กๆ วางทับตามลงมาบนหลังมือเขาพอดิบพอดี
อาเธอร์ชะงักมือค้างแล้วก้มมองคนข้างตัว พร้อมกันกับที่เพ็ญนรีแหงนหน้ามาส่งยิ้มกว้างและดวงตาวาวๆ มาให้
“ใจตรงกันเลย ตาถึงเหมือนกันนะเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยชมก่อนจะปล่อยมือออกให้เขาได้หยิบเสื้อตัวนั้นออกจากราว แต่เมื่อเห็นเขายังยืนนิ่งก็ต้องเอ่ยถาม “ทำไมอะ เปลี่ยนใจไม่ชอบแล้วเหรอ”
ตอนนี้เองที่อาเธอร์สามารถเรียกดึงสติคืนมาเต็มร้อย หลังจากโดนมือนุ่มนิ่มและรอยยิ้มกระจ่างตาจู่โจมเล่นงานไม่ทันตั้งตัว
“ไม่ใช่ไม่ชอบ...” เสียงนุ่มรื่นหูเอ่ยตอบ
“ชอบก็หยิบเลยสิ ตัวนี้แหละใส่ได้บ่อยด้วยแล้วก็เข้ากับนายอยู่แล้ว จะว่าไป... มีความหล่อขั้นเทพเป็นทุนเดิมอย่างนายนะอาเธอร์ ใส่ตัวไหนๆ ก็ได้ทั้งนั้นแหละ” เพ็ญนรีเอ่ยพร้อมกวาดตาเลือกต่อไป ไม่ได้มองอาการเก้อ วางหน้าไม่ถูกของคนตัวโตที่ถูกเอ่ยชมซึ่งๆ หน้าเลยสักนิด
“เอาตัวนี้ไปด้วยแล้วกัน... Jeans Never Die อยู่แล้ว” หญิงสาวเลือกหยิบแจ็กเก็ตยีนส์สีซีดเนื้อผ้าไม่หนามากมาอีกหนึ่งตัว แล้วจับหย่อนลงในตะกร้า ทับบนเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลครีมซึ่งเขาหยิบมาใส่ไว้เมื่อครู่
“เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยบอกคนที่กำลังเดินไปเลือกเสื้อโปโลมาอีก เขาเห็นหญิงสาวหันมาก้มมอง เขี่ยนิ้วสั้นๆ นับเสื้อผ้าในตะกร้าที่เขาถืออยู่ แล้วขมวดคิ้วและเม้มปากนิดๆ ก่อนที่มือเล็กแสนว่องไวจะคว้าเอาเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนเย็นตาให้ความรู้สึกสงบมาอีกตัวหนึ่ง
“แถมตัวนี้ตัวสุดท้ายนะ ปีนี้สีฟ้าเซเรนิตี้กำลังมาเลยรู้หรือเปล่า”
อาจเป็นเพราะดวงตากลมที่จ้องมอง กึ่งบังคับกึ่งชักจูงให้เขาเห็นดีเห็นงามด้วย แววตาที่เขาไม่อยากมองจ้องนานไปกว่านี้ ที่ทำให้ชายหนุ่มยอมยื่นตะกร้าออกไปให้เธอวางเจ้าเสื้อตัวที่แปดตามลงมา
“ดีมาก ว่าง่ายๆ อย่างนี้ค่อยน่ารัก น่าพาไปช้อปต่อหน่อย” เพ็ญนรีชมเชยพร้อมส่งยิ้มกว้างให้ตุ๊กตาตัวโตหน้าหล่อ คนที่เดินตามต้อยๆ ไม่พูดค้านมากให้หมดอารมณ์เลือกซื้อของ
คู่รักต่างไซส์ที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนในร้านเดินมาตรงหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ตะกร้าสองใบในมือของอาเธอร์มีเสื้อและกางเกงของเขานับได้สิบสองชิ้น บวกกับเสื้อยืดและแจ็กเก็ตของผู้ชายแต่ไซส์เล็กกว่าเขาอีกเจ็ดแปดตัว ขณะที่ทั้งคู่ยืนรอต่อคิวซึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังชำระค่าเสื้อผ้าอยู่ ก็มีเสียงเรียกชื่อหญิงสาวดังมาจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน
“เจ๊จ้า! มากับใครน่ะ เด็กใหม่เจ๊เหรอ”
หนุ่มตี๋มาดกวนใบหน้าหล่อใสวัยไม่เกินยี่สิบเดินตรงรี่เข้ามาทักทายหญิงสาวรุ่นพี่ ดวงตาเรียวรีเบื้องหลังแว่นสีชาปราดมองไปทางชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวอย่างสนใจ
“ไม่ใช่ย่ะนายธรรม คนนี้เพื่อนเจ๊เอง” เพ็ญนรีปฏิเสธความเข้าใจผิด
ธรรมหรือธีรนัย... ดาราน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสังกัดของจิรภพได้ไม่นาน และผลงานชิ้นแรกยังไม่ทันได้ออนแอร์ ถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่ออย่างยิ่ง
“แค่เพื่อนจริงเหรอเจ๊ ไม่จีบเข้าสังกัดจริงอะ?”
เมื่อสไตลิสต์สาวถูกซักไซ้เช่นนั้น ก็รีบก้าวไปคว้าแขนของหนุ่มรุ่นน้องให้เดินแยกออกไป โดยมีสายตาคมของคนร่างสูงทอดมองตามอย่างไม่รู้ตัวเลยว่ามันขุ่นมัวกว่าปกติขึ้นมาดื้อๆ
แต่เพียงไม่นานอาเธอร์ก็ต้องละสายตากลับมา แล้ววางตะกร้าลงบนเคาน์เตอร์เมื่อถึงคิว
ตัวเลขหมื่นปลายๆ ที่พนักงานสาวแจ้งมา ทำเอาอาเธอร์ตีหน้าเคร่งขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่ามันมากมายจนน่าตกใจ แค่นี้ยังนับว่าเป็นตัวเลขเล็กน้อยกว่าที่คาดคิดไว้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้นักข้ามเวลาหนุ่มต้องเครียดหนักนั้นเป็นเพราะเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าตนเองไม่มีสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการของยุคโบราณติดตัวมาเลย
“รอสักครู่” คนไม่แสดงออกทางสีหน้าทำเพียงกล่าวเสียงเรียบกับพนักงานสาวทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองหาหญิงสาวที่กำลังกระซิบกระซาบอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้น จนจบแล้วจึงค่อยก้าวเร็วๆ กลับมา
“คิดเงินเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ เท่าไหร่คะ” เพ็ญนรีสอบถาม
หลังจากได้ทราบราคาก็คว้ากระเป๋าเงินสีชมพูเข้มใบยาวออกมาหยิบบัตรเครดิตวงเงินสูงลิบยื่นให้พนักงาน
อาเธอร์รู้สึกได้ทันทีว่าพนักงานสาวหลังเคาน์เตอร์ทั้งสองคนเหลือบมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไป แม้จะไม่โจ่งแจ้งชัดเจนนัก แต่มันก็ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเรียบตึงขึ้นทันตา ขณะที่มือใหญ่ยื่นไปรับถุงบรรจุเสื้อผ้าทั้งหมดมาถือไว้เองคนเดียว สายตาคมกริบก็สาดความเย็นชาขึงดุใส่พนักงานจนฝ่ายนั้นต้องเสหลบตา
“ให้จ้าช่วยถือไหม” เพ็ญนรีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรยื่นมือมาหมายจะช่วย
“ไม่ต้อง”
เสียงปฏิเสธเรียบเย็นสะดุดหูนั้นทำให้ดวงตากลมบนใบหน้าเล็กฉายความแปลกใจชัดเจน และเมื่ออาเธอร์รู้สึกตัว เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ไปกันเถอะค่ะคุณจ้า”
เพ็ญนรีเอียงคอยักไหล่ทีหนึ่งให้กับท่าทีประหลาดของชายหนุ่ม ก่อนจะพยักหน้าตอบรับและเดินนำออกจากร้านไป หญิงสาวไม่ติดใจถือสาอะไรมากมายนักหรอก เพราะเข้าใจจิตใจอ่อนไหวที่ค่อนข้างแปรปรวนของ ‘หนุ่ม’ ประเภทนี้ดี
เพียงรอให้หนุ่มหล่อร่างสูงโปร่งและสาวตัวเล็กใจกว้างเดินพ้นหน้าร้านไปเท่านั้น พนักงานสาวทั้งสองก็ซุบซิบกันทันทีด้วยระดับเสียงไม่ดังนัก
“เสียดายหน้าตาก็ดี๊ดี หุ่นก็แซ่บเวอร์อะเธอ...”
“สมัยนี้ ถ้าอยากกินหนุ่มหน้าตาดีก็ต้องทำตัวเป็นเจ๊เปย์เท่านั้นสินะ”
“แต่เธอว่าแปลกๆ มะ? ตัวผู้ชายอะ... ไม่ใช่ยัยเจ๊โดนเก้งกวางเด็กหลอกกินฟรีหรอกเหรอ”
สองพนักงานสาวที่นินทาลูกค้าด้วยความคะนองปาก ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคนที่ถูกพูดถึงเดินย้อนกลับมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากหน้าเคาน์เตอร์ และได้ยินมันชัดเจนเต็มสองหู
“โทษทีค่ะ ช่วยเปลี่ยนถุงให้ด้วย หูหิ้วมันขาด”
น้ำเสียงที่มักแจ่มใสเป็นมิตรของเพ็ญนรีเรียบนิ่ง สองตากลมมองจ้องพนักงานทั้งสองอย่างเอาเรื่อง แสดงออกให้รู้ว่าเธอได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูดถึงอย่างเสียๆ หายๆ ชัดเจน
“วันนี้พี่เปิ้ลไม่เข้ามาดูแลร้านเหรอคะ”
จู่ๆ สาวร่างเล็กก็แสร้งถามถึงผู้จัดการร้านที่รู้จักกันดี ก่อนจะเอ่ยต่อไปลอยๆ อย่างไม่สนใจคำตอบจากพนักงานที่ก้มหน้าก้มตารีบเปลี่ยนย้ายสินค้าในถุงให้
“เธอสองคนมาทำงานที่นี่ครบเดือนหรือยัง แต่ฉันว่ายังหรอกมั้ง เฮ้อ... แย่จังเลยเนอะ ยังไม่ทันไรก็จะถูกคอมเพลนเพราะทัศนคติแคบๆ กับนิสัยปากเปราะ”
อาเธอร์รับถุงใบใหม่ที่พนักงานส่งคืนมาให้ด้วยใบหน้านิ่งเฉยเย็นชา ร่างสูงใหญ่ถอยไปยืนนิ่งอยู่ด้านหลังสาวร่างเล็กที่กำลังข่มขู่เอาเรื่องพนักงานด้วยน้ำเสียงราวกำลังชวนเพื่อนคุยเล่น
“ฉันล่ะง๊ง... งง! ลูกค้าเข้ามาซื้อของเร่งยอดให้ร้าน ใครจะเป็นคนจ่ายก็เป็นเรื่องส่วนตัวเนอะ ไม่น่าเป็นอะไรที่ต้องคิดแทนให้หนักสมองพวกเธอเลย จริงไหม...” เพ็ญนรีแสร้งตีหน้ายุ่งเหมือนครุ่นคิดหนัก
“นี่ฉันอุตส่าห์มาสาขานี้เพราะพูดคุยถูกคอกับพี่เปิ้ล เลยมาช่วยกระตุ้นยอดให้ วันหลังคงต้องคิดดูดีๆ กว่านี้แล้วล่ะ”
“ขอโทษค่ะ!” พนักงานสาวทั้งสองรีบขอโทษขอโพยทันทีอย่างร้อนใจ ไม่อยากถูกแจ้งร้องเรียนต่อผู้จัดการร้านอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ยแฝงคำขู่เอาไว้
“ได้สิ! ในเมื่อพวกเธอขอ ฉันมันเป็นเจ๊เปย์ใจกว้าง... ยินดีให้โทษตามคำขอแน่ๆ” เพ็ญนรีฉีกยิ้มกว้าง มองคนหน้าจ๋อยอย่างพอใจ
“แต่วันนี้ยังไม่มีอารมณ์ เอาไว้วันไหนพี่เปิ้ลมาแล้วฉันจะมาใหม่นะ”
เจ้าของฉายาเจ้าแม่พริกขี้หนูแกล้งหย่อนระเบิดให้พนักงานทั้งสองได้ใจตุ๊มต่อมเล่น ปล่อยให้นึกระแวงว่าเธอจะกลับมาร้องเรียนไปอีกหลายๆ วันเสียให้เข็ด จบแล้วก็หันไปคว้าข้อมือหนาที่ถือถุงกระดาษสี่ห้าใบพะรุงพะรังให้เดินตามออกจากร้าน
ขณะก้าวเดินฉับๆ ปากเล็กๆ ยังส่งเสียงกระเง้ากระงอดใส่ชายหนุ่มด้วยระดับเสียงที่ดังเป็นพิเศษ
“วันนี้จ้าจ่ายค่าของขวัญให้อาเธอร์จนโดนนินทาเสียหายขนาดนี้... คอยดูเถอะ วันเกิดจ้าเมื่อไหร่ จะเอาคืนด้วยเพชรเม็ดโตๆ เท่านั้นถึงจะคู่ควร!”
ถ้อยคำฉุนเฉียวคาดโทษชนิดปั้นน้ำเป็นตัวของร่างเล็กๆ ที่เดินจูงข้อมือเขาอยู่เบื้องหน้า ทำให้คนที่เข้าใจเจตนาของเธอดีก้มมองกลุ่มผมหยิกยุ่งของเธอด้วยแววตาอ่อนแสงลง ความไม่พอใจที่ระอุอยู่ในอกเมื่อครู่เบาบางลงไปทันตา
“ขอบคุณนะคุณจ้า” เสียงนุ่มรื่นหูเอ่ยบอกเบาๆ เมื่อพ้นร้านมา
“เล็กน้อยน่า... นายบ่จี๊เพราะโดนปล้น จนต้องมาเป็นเด็กเจ๊จ้าหนึ่งวันก็จริง แต่ใครจะมาดูถูกไม่ได้” เพ็ญนรีหันมาบอกด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจังก่อนจะหันไปเดินต่อ แต่ไม่นานก็หลุดหัวเราะคิก พอหายโมโหแล้วก็นึกขำกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาที่คนอื่นมองมา
เมื่อก่อน เวลาเห็นดาราสาวมีหนุ่มวัยละอ่อนมาพัวพันแล้วดูสดใสกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษ เธอยังเคยเอ่ยเล่นๆ สนุกปากกับเพื่อนว่า ถ้าหาคู่ไม่ได้จริงๆ จะลองหาเด็กหนุ่มหน้าตาดีขาดทุนการศึกษามาเลี้ยงดูเหมือนกัน ตามสโลแกนประเภท ‘การเรียนมีปัญหา ใส่ชุดนักศึกษามาหาเจ้’
ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะได้เป็นเจ๊เปย์เข้าให้จริงๆ
คำพูดของเพ็ญนรีทำเอาชายหนุ่มที่ต้องตกเป็น ‘เด็กเจ๊’ ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กๆ
“แน่ใจหรือว่าฉันเป็นเด็กเจ๊ได้... คุณจ้าคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่กัน”
หญิงสาวจึงมองจ้องเขาให้ดีอีกรอบ แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มร้อย
“ยี่สิบสอง แก่สุดๆ ก็ไม่เกินยี่สิบสี่อ่ะ ส่วนจ้า... เห็นตัวเล็กหน้าเด็กอย่างนี้ก็จะสามสิบแล้วนะ ยังไงนายก็เป็นเด็กเจ๊จ้าได้สบายๆ อยู่แล้ว...”
คนตัวเล็กเอ่ยชมตัวเองด้วยความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยใบหน้ากลมๆ อ่อนกว่าวัยของตน ก่อนจะหัวเราะเบาๆ กับประโยคต่อมาที่แกล้งกระเซ้าหนุ่มต่างวัย
“ถ้านายอยากจะเป็นล่ะก็นะ”
แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุดหู ตีหน้างง เมื่อคนร่างสูงส่งเสียง ‘หึ’ เบาๆ ก่อนจะเห็นเขาอมยิ้มมุมปาก ดวงตาคู่งามมองมาอย่างมีเลศนัยไม่นิ่งเรียบเหมือนเคย
“ทำไม จ้าทายผิดหรือพูดอะไรผิด”
“เปล่า... ยี่สิบสี่ก็ได้” อาเธอร์ตอบรับอายุสำหรับยุคนี้อย่างตัดปัญหา
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเรียกเขาว่า ‘นาย’ อย่างไม่เคารพให้เกียรติ คงเพราะอีกฝ่ายเข้าใจว่าเขาอายุอ่อนกว่ามากนั่นเอง แต่ชั่ววูบหนึ่ง เขาก็ยังอยากรู้นัก ถ้าหญิงสาวรู้ว่าทายผิดไปไกลโขจะทำหน้ายังไง
“ยี่สิบสี่ก็ได้อะไรของนาย อยากอายุเท่าไหร่ก็เลือกเอาก็ได้หรือไง”
เพ็ญนรีพึมพำอย่างไม่เข้าใจคำตอบของเขานัก แต่สักพักก็ยักไหล่ คิดว่าคงเพราะภาษาไทยที่ไม่แตกฉาน ไม่นานก็พาเขาเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าอีกร้านที่เธอจะต้องมารับเสื้อสูทสำหรับออกงานของพระเอกเบอร์หนึ่งในสังกัดของจิรภพด้วยพอดี
อ่านต่อ >> กาลที่ 4 : หล่อห่อทอง
หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ ได้เลยค่ะ
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
โหลดฉบับอีบุ๊ค...
Meb : https://goo.gl/NMjUZU
The1Book : https://goo.gl/YBDkJg
Hytexts : https://goo.gl/AG1Hxy
Ookbee : https://goo.gl/FMfeuY
NaiinPann : https://goo.gl/X5dZpR
Google Play : https://goo.gl/ZJ8RWG
Dek-D : https://goo.gl/MyUR2K
No comments:
Post a Comment