ตีพิมพ์ครั้งแรก โดย สนพ. คูลแคท
เผยแพร่ฉบับอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
เผยแพร่ฉบับอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
ฉากที่ 11 : เบื้องลึกเบื้องหลัง
ขณะที่เพลินพิศออกกองต่างจังหวัด เพื่อนสาวทั้งสามก็เริ่มทำงานในส่วนของแต่ละคนทันที วันนี้นิรันตราและตรินยามีนัดกันที่ ‘ร้านสายประดับ’ ร้านขายเครื่องประดับสาขาใหญ่ของสายฤทัย หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ได้รายชื่อมาจากการสอบสวนคนร้าย แต่คำว่า ‘นัด’ ระหว่างเธอกับตรินยา ไม่ได้หมายความถึงการพบกันเสมอไป
“อุ๊ย! น้องนิรา... วันนี้มาถึงนี่เลย แล้วอย่างนี้ทางจีเวลแลนด์จะไม่ว่าอะไรหรือคะ” สายฤทัยออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมถามถึงร้านเครื่องประดับในเครือซันไรส์กรุ๊ปของคู่หมั้นหญิงสาว
“ไม่ว่าหรอกค่ะคุณสาย เพราะมันเป็นความลับ นิราอยากได้ของขวัญปีใหม่ให้คุณแม่คุณทรรศน์น่ะค่ะ เลยมาหาจากที่นี่น่าจะดีกว่า”
นิรันตรามองไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะลดเสียงลงกระซิบกระซาบกับสาวใหญ่เจ้าของร้าน “นิราขอที่ที่เป็นส่วนตัวกว่านี้ได้ไหมคะ จะได้เลือกแบบได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวว่าคนของคุณทรรศน์จะมาเห็นแล้วปากโป้ง เดี๋ยวคุณแม่จะไม่เซอร์ไพรส์”
“ได้... ได้สิคะ งั้นไปที่ห้องทำงานคุณพี่ข้างในดีไหมคะ”
สายฤทัยยินดีบริการเต็มที่ เพราะรู้ดีว่าลูกค้าคนนี้กระเป๋าหนักขนาดไหน “แล้วน้องนิราจะดูเครื่องประดับแบบไหนดีคะ”
“อืม... ขอดูเป็นพวกสร้อยหรือกำไลข้อมือดีกว่าค่ะ”
นิรันตรานั่งเลือกเครื่องประดับที่มีพนักงานของร้านยกใส่กล่องกำมะหยี่สีแดงเข้ามาให้ด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ แต่ก็ยังตินู่นตินี่ไปเรื่อย ไม่มีชิ้นไหนถูกใจเธอสักที
“คุณสายอย่าเพิ่งหาว่านิราเรื่องมากนะคะ เพราะครั้งนี้นิราแข่งกับคุณทรรศน์ค่ะ ว่าของขวัญของใครจะถูกใจคุณพ่อคุณแม่มากกว่ากัน”
“คุณพี่เข้าใจค่ะ ซื้อของขวัญทั้งทีก็ต้องเลือกให้ถูกใจทั้งคนรับคนให้ จริงไหมคะ” เจ้าของร้านยังคงยิ้มแย้ม เออออตามประสาคนค้าขาย ก็แต่ละชิ้นที่หญิงสาวเลือกหยิบขึ้นมาดู มีแต่ชิ้นใหญ่ๆ แพงๆ ทั้งนั้น จะแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายก็ใช่เรื่อง
“คุณสายคะ มีลูกค้าถามถึงค่ะ” พนักงานหน้าร้านเข้ามาตามสายฤทัยที่ขลุกอยู่แต่ในห้องทำงานหลังร้าน
“ใครกัน”
“คุณหญิงต้องค่ะ”
พอสายฤทัยรู้ว่าใครกำลังรอเธออยู่หน้าร้าน ก็หันมองลูกค้าสาวกระเป๋าหนักอย่างลังเลใจ เลือกไม่ถูกว่าจะเอาใจใครก่อนดี
“คุณสายไปดูลูกค้าคนอื่นก่อนเถอะค่ะ เสียเวลากับนิรามาเยอะแล้ว เกรงใจจัง เดี๋ยวนิราเลือกดูไปพลางๆ ก่อนก็ได้ค่ะ... หรือว่าคุณสายไม่ไว้ใจนิราคะ”
“อุ๊ย! ไม่... ไม่หรอกค่ะ ใครจะไปคิดอย่างนั้น” สายฤทัยแสร้งตกใจบอกปัดเสียงสูง ก่อนจะยิ้มหวาน “งั้นน้องนิราเลือกไปก่อนเลยนะคะ”
เมื่อในห้องปลอดคนแล้ว นิรันตราก็เริ่มทำงานของเธอทันที หลังจากเปิดเครื่องส่งคลื่นสัญญาณรบกวนการทำงานของกล้องวงจรปิดในห้องแล้ว เธอก็เลือกติดเครื่องดักฟังไว้ด้านหลังของโซฟาตัวที่เธอนั่งอยู่ ก่อนจะปีนไปซ่อนกล้องขนาดจิ๋วไว้ข้างกรอบรูปบนฝาผนังในระดับความสูงที่สามารถจะเก็บภาพใครก็ตามที่นั่งตรงชุดโซฟารับแขกที่เธอนั่ง รวมไปถึงเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานด้วย จนเมื่อตรวจสอบการรับส่งภาพและเสียงกับละมุนพรรณเรียบร้อยแล้ว เธอก็โทรศัพท์ไปบอกตรินยาและกลับมานั่งเลือกเครื่องประดับเหมือนเดิม
“มาแล้วค่ะ หายไปนานเลย พอดีคุณหญิงต้องแกมาเลือกสร้อยไข่มุกให้ลูกสาว น้องตรีน่ะค่ะ” สายฤทัยกลับเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มปลื้มใจเมื่ออัญมณีในร้านขายได้อีกหนึ่งชิ้น
“อ๋อ... เพื่อนนิราเองค่ะ เห็นตรีบ่นๆ เหมือนกันว่าอยากได้มานานแล้ว เพราะช่วงนี้เขากำลังนิยมกันอยู่ ถึงขนาดจัดปาร์ตี้ไข่มุกกันก็มี ใครไม่ใส่เครื่องประดับจากไข่มุกก็หลุดคอนเซ็ปต์งานแย่เลย”
สายฤทัยได้โอกาสก็สวมวิญญาณแม่ค้า “แล้วน้องนิราสนใจเอาไปใส่เล่นสักเส้นไหมล่ะคะ”
“ก็ดีค่ะ” นิรันตรารับคำอย่างไม่คิดอะไรมาก เพื่อให้สมกับมาดลูกค้าชั้นดี
“ส่วนของขวัญให้คุณแม่ นิราขอเป็นแบบนี้” หญิงสาวหยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งขึ้นมา
“แต่ขอเปลี่ยนตรงนี้เป็นทับทิมสยามล้อมเพชรแทนได้ไหมคะ”
“ได้สิคะ แต่น้องนิราต้องรอหน่อยนะคะ”
“สักสามสี่อาทิตย์ทันไหมคะ แล้วนิราจะมารับของที่นี่อีกที” มารับทั้งสร้อย แล้วก็เครื่องดักฟังกับกล้องคืนไปด้วย สาวร่างเล็กต่อคำเองในใจ
“โอย... ทันถมเถไปคะ เร็วกว่านั้นก็ยังได้”
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ เพราะช่วงก่อนหน้านั้นนิราไม่ว่างมารับด้วยตัวเองอยู่ดี”
นิรันตราพูดคุยตกลงเรื่องราคาและการเปลี่ยนแบบกับเจ้าของร้านต่ออีกสักพัก แล้วจึงขอตัวกลับ เพื่อไปสมทบกับตรินยาและละมุนพรรณที่ร้านอาหารของพวกเธอ
หลังจากออกสำรวจเส้นทางในป่าที่อยู่คั่นกลางระหว่างหมู่บ้านอ่อตุงที่กองถ่ายละครปักหลักถ่ายทำกันอยู่ กับ ‘หมู่บ้านอ่อเก๊าะ’ สถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเดินทางไปสอดแนมมาหลายคืน บอดี้การ์ดหนุ่มก็เริ่มมั่นใจว่าพอรู้ทางหนีทีไล่รอบหมู่บ้านแห่งนั้นดีแล้ว เมื่อสองคืนก่อน เรียวจึงตัดสินใจลักลอบเข้าไปใกล้ตัวหมู่บ้านอ่อเก๊าะให้มากที่สุดเพื่อดูลาดเลา แต่เขาก็ยังไม่ได้เรื่องคืบหน้าอะไรมากนัก เพราะสภาพของหมู่บ้านที่เห็นนั้นดูไม่ต่างจากหมู่บ้านที่เขาพักอยู่กับกองละครเท่าไร มีเพียงข้อน่าสังเกตว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีเวรยามเดินลาดตระเวนมากกว่าปกติเท่านั้น
บอดี้การ์ดหนุ่มเดินมาตามทางเล็กๆ ที่ชาวบ้านระหว่างสองหมู่บ้านใช้ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ โดยอาศัยแว่นอินฟราเรดที่ช่วยให้มองเห็นได้ดีในที่มืด และไม่ต้องพึ่งแสงจากไฟฉายให้เสี่ยงกับการถูกยามของหมู่บ้านมาพบเข้า เครื่องไม้เครื่องมือและอาวุธบางส่วนจากกล่องพลาสติกถูกคัดเลือกมาบรรจุอยู่ในเป้สนามใบย่อมเพียงเท่าที่คิดว่าจำเป็น สิ่งของที่โนดะส่งมาสมทบเหล่านี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานของชายหนุ่มได้มากทีเดียว แตกต่างจากคืนแรกที่มีเพียงแผนที่อิเล็กทรอนิกส์และไฟฉายกระบอกเล็กเพื่อหาพิกัดของสถานที่ที่ต้องการ
การเดินทางดุ่มๆ ในป่าที่วังเวงเงียบสงัดผ่านมาได้ราวชั่วโมงเศษ ชายหนุ่มในชุดสีเข้มก็มาถึงเขตพื้นที่ของหมู่บ้านอ่อเก๊าะ เรียวเลี่ยงออกจากเส้นทางเดินเท้าปกติและแฝงตัวเดินฝ่าชายป่าเพื่อให้เหล่าต้นไม้ใหญ่น้อยเป็นตัวช่วยอำพรางเขาจากแสงไฟของเวรยามที่สาดส่องไปมาอยู่ไกลๆ เขาตัดสินใจอ้อมไปอีกทางที่เห็นว่าปลอดคน และเมื่อไปถึงจุดที่ไม่สามารถเข้าใกล้หมู่บ้านได้มากกว่านี้ เรียวก็นั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ข้างต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะวางเป้สนามที่บรรจุอุปกรณ์พร้อมสรรพลงข้างตัว
ดูท่าว่าคืนนี้ชายหนุ่มจะไม่เสียแรงเปล่า เพราะบ้านไม้หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านมีแสงไฟสว่างไสวผิดจากทุกวัน อีกทั้งเวรยามที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้านก็มีจำนวนหลายคน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นมีบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ชาวบ้านรวมอยู่ด้วย สังเกตได้จากเสื้อผ้าแบบสากลที่พวกเขาสวมใส่อยู่ และสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาบอดี้การ์ดหนุ่มที่สุดก็คือเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ที่จอดนิ่งอยู่กลางลานของหมู่บ้าน
เรียวหยิบอุปกรณ์รูปร่างคล้ายร่มออกมากางจนได้จานรูปครึ่งวงกลมขนาดย่อม เขาติดตั้งมันกับพื้นเบื้องหน้าโดยหันเข้าหาบ้านหลังใหญ่ เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะช่วยดักคลื่นเสียงที่แม้จะอยู่ไกลถึงสองสามร้อยเมตร หรือแม้แต่เสียงที่เบามากจนแทบไม่ได้ยินก็สามารถขยายระดับเสียงให้ดังและชัดเจน ก่อนจะส่งผ่านไปยังหูฟังและชิ้นส่วนที่ใช้สำหรับบันทึกเสียง ขณะที่เฝ้าดักฟังเสียงพูดคุยอยู่นั้น ชายหนุ่มก็หยิบกล้องถ่ายภาพกลางคืนขึ้นมาเก็บภาพรายละเอียดของบ้านหลังใหญ่และบริเวณโดยรอบของหมู่บ้าน รวมถึงใบหน้าของเหล่าคนแปลกถิ่นที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้านด้วย
“ฝีมือดีขึ้นเยอะเลยนี่ อย่างนี้ไม่ใช่แค่ทดลองขายที่เมืองไทย คงขยับไปส่งขายกับทางเราได้แล้ว” ชายหนุ่มผมรองทรงสั้นในชุดสูทบอกกับเจ้าของบ้านที่พอได้รับคำชมก็ยิ้มหน้าบานทันที
“ผมให้ลูกบ้านช่วยกันทำตามที่คุณบันสอนมาทุกอย่างเลยครับ” ‘มูก๋อง’ ชายวัยกลางคน ตัวผอม ผิวคล้ำ รีบบอกอวดอ้างความดี
“หึ! ดีมาก ของที่ส่งมาวันนี้ก็ดูแลให้ดีแล้วกัน ระวังพวกลูกบ้านคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเราด้วยล่ะ” บันโซกำชับด้วยความเป็นห่วง เพราะวัตถุดิบที่เพิ่งส่งมามีจำนวนมากกว่าทุกครั้ง
“อย่าห่วงไปเลยครับ ไม่มีชาวบ้านหน้าไหนกล้าเข้าไปในถ้ำนั้นหรอก ชาวบ้านบูชาผีพ่อปู่เจ้าของถ้ำนั้นอย่างกับอะไรดี แค่ผมบอกว่าพ่อปู่มาเข้าฝัน ห้ามใครไปยุ่มย่ามแถวนั้น อยากจะบำเพ็ญตนสะสมบารมีอย่างสงบ รับรองไม่มีใครกล้าผ่านเขตแดนสายสิญจน์เข้าไปแน่” มูก๋องยืนยันความปลอดภัยของฐานการผลิตให้ตัวแทนของนายใหญ่มั่นใจ
“แต่ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด ก็ต้องหลอกล่อหรือไม่ก็ใช้ยาบังคับชาวบ้านมาเป็นคนของเราให้หมด แล้วก็... อาทิตย์หน้าเจ้านายจะแวะมาเยี่ยม เตรียมตัวดูแลความเรียบร้อยให้ดีละ” บันโซบอกส่งท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากบ้านพัก
“ครับ ให้ผมไปส่งนะครับ” มูก๋องเดินตามไปส่งด้วยอาการอ่อนน้อมอย่างประจบประแจง
และเมื่อกลุ่มชายในชุดสูทจากไปพร้อมเสียงกระหึ่มของใบพัดเฮลิคอปเตอร์ มูก๋องก็หันมาสั่งพวกลูกบ้านให้ช่วยกันลำเลียงกล่องกระดาษทรงกระบอกและขวดแก้วบรรจุสารเคมีที่ได้รับมาไปเก็บในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้
เรียวถอดหูฟังออกและเก็บบรรดาอุปกรณ์ต่างๆ ลงกระเป๋า พลางนึกสงสัยอยู่ในใจ
ทำไมไม่มีชาวบ้านคนอื่นตื่นขึ้นมาดูเลยนะ เสียงเฮลิคอปเตอร์ก็ดังเสียขนาดนั้น บอดี้การ์ดหนุ่มปล่อยวางความสงสัยเอาไว้ก่อน รีบคว้าเป้ขึ้นสะพาย แล้วสะกดรอยตามขบวนชาวบ้านที่กำลังขนของข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไปทางป่าด้านหลังหมู่บ้านอย่างขะมักเขม้น
ชายหนุ่มหยุดรอสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่างจากปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งมากนัก เมื่อเห็นพวกชาวบ้านขนของเข้าไปในถ้ำจนแน่ใจว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ชายที่ชื่อมูก๋องพูดถึงไม่ผิดแน่ก็ทำสัญลักษณ์ไว้ในแผนที่ ก่อนจะรีบเดินทางกลับที่พักให้ทันรุ่งเช้า
นับจากวันแรกที่เพลินพิศได้รับดอกไม้สีชมพูหวานพร้อมข้อความในกระดาษแผ่นเล็กจากชายหนุ่ม ทุกๆ เช้าที่เธอเปิดประตูบ้านพักออกมาก็จะมีดอกไม้สีชมพูช่อเล็กไม่ซ้ำแบบวางไว้ตรงริมประตู รอให้เธอก้มลงไปเก็บขึ้นมา... และวันนี้ก็เช่นกัน
“อรุณสวัสดิ์...” นางเอกสาวยิ้มเอ่ยแผ่วเบากับดอกไม้ช่อน่ารัก ด้วยคำพูดที่รู้ว่าต้องปรากฏอยู่ในกระดาษแผ่นเล็กที่กำลังจะเปิดอ่าน
อรุณสวัสดิ์ครับ เมื่อคืนหลับสบายไหม หวังว่าคุณคงไม่ปัดผ้าห่มทิ้งจนทำให้นอนหนาว เดี๋ยวไม่สบายเอานะครับ
แม้จะเป็นข้อความสั้นๆ แต่ทุกข้อความแสดงถึงความห่วงใยของชายหนุ่มที่ทำเอาคนรับต้องอมยิ้มทุกครั้งเมื่อได้อ่าน เธอเก็บดอกไม้ทุกดอก กระดาษข้อความทุกใบที่เขาส่งมาให้ไว้ในกล่องไม้ใบเล็กที่ได้รับจากชาวบ้าน และหมั่นหยิบมันมาอ่านซ้ำๆ ทุกครั้งที่อยู่ในบ้านพักคนเดียว อ่านจนจำขึ้นใจแล้วว่า วันไหนเขาเขียนอะไรมาถึงเธอบ้าง
ขณะที่กำลังใจลอยคิดถึงเจ้าของข้อความอยู่นั้น เพลินพิศก็ต้องสะดุ้งรีบเก็บดอกไม้ช่อเล็กใส่ลงในกระเป๋าเสื้อกันหนาว เมื่อคนในบ้านเปิดประตูตามหลังเธอออกมา
“อ้าว! เพิร์ล ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ นึกว่าไปกินข้าวแล้วซะอีก”
อิสเบลล่าที่ตามมาถึงกองถ่ายเป็นกลุ่มสุดท้ายร้องทักเพื่อนสาวที่หลงคิดว่าคงเดินไปถึงเต็นท์ครัวแล้ว
“อ๋อ... ยืนยืดเส้นยืดสายสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่น่ะ” เพลินพิศหันกลับมาตอบ ก่อนทำท่ายืดแขนบิดขี้เกียจเพื่อความแนบเนียน ถ้าเบลล่าเห็นดอกไม้พวกนี้นะ มีหวังโดนซักเรื่องยาวแน่
“แล้วสูดอากาศเฉยๆ จะอิ่มไหมล่ะ ไปกันเถอะ ฉันหิวจะแย่แล้ว” สาวลูกครึ่งรุนหลังให้เพื่อนสาวออกเดิน
“แล้วแฟงล่ะ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ” สาวหมวยเอี้ยวหน้ากลับมาถาม
“ยังเลย เมื่อคืนเห็นอยู่เข้าฉากดึกกว่าเพื่อนเลยนี่ สงสัยยังเพลียอยู่ละมั้ง” อิสเบลล่าบอกอย่างไม่คิดอะไรมาก
เมื่อมาถึงเต็นท์ครัว ทั้งสองดาราสาวเพื่อนซี้ก็พบกับมาร์คและก้องไผทที่นั่งทานขนมปังปิ้งคู่กับกาแฟร้อนๆ อยู่ก่อนแล้ว พวกเธอจึงเดินไปหยิบอาหารเช้าของตัวเองบ้าง ก่อนจะก้าวไปนั่งบนท่อนไม้ที่จัดให้ล้อมวงใกล้ๆ กองไฟที่ก่อขึ้นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้รอบบริเวณ หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ สองสาวก็ต้องนึกสงสัยกับสายตาหนุ่มลูกครึ่งที่คอยมองผ่านหลังพวกเธอไปทางบ้านพักเป็นระยะ
“มาร์คมองหาใครหรือคะ” อิสเบลล่าถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้
“เปล่าครับ ไม่ได้มองหาใคร” มาร์ครีบปฏิเสธทันควัน แล้วก็ก้มหน้าลงคนกาแฟ หลบสายตาจับผิดของสองสาว
“น้องแฟงยังไม่ตื่นเลยค่ะ สงสัยคงเพลียจัด เห็นว่าเมื่อคืนพวกคุณกับน้องแฟงเข้าฉากกันดึกเลยเหรอคะ” นางเอกสาวหมวยจุดประเด็นขึ้นมาอย่างจับสังเกตได้
“ครับ แต่ป่านนี้ก็น่าจะตื่นได้แล้วนะครับ เออ... เสียดายอากาศดีๆ ตอนเช้าจะตาย เนอะไผ่” ชายหนุ่มรู้ตัวว่าหลุดความเป็นห่วงกังวลออกไปจึงรีบเปลี่ยนเรื่องหันหาพวก
“หึๆ ที่นี่ตอนไหนก็อากาศดี แค่หนาวไปนิดตอนดึกๆ ตอนเข้าฉากเมื่อคืนผมนี่แทบไม่อยากถอดเสื้อกันหนาวเลย” ผู้รับบทเป็นพระเอกของเรื่องตอบ
“น้องเพิร์ล น้องเบลล่าขา...” สมชายร้องเรียกหางเสียงหวานหยด “แต่งหน้าทำผมได้แล้วค่ะ สองหนุ่มเดี๋ยวตามมาด้วยนะคะ”
“โห... พี่บอย ขอทานข้าวเช้าให้เรียบร้อยก่อนได้ไหม สองหนุ่มนั่นมาก่อนตั้งนาน ไม่เห็นมาเรียกเลย” เพลินพิศแกล้งขัดใจ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมยกถ้วยกาแฟพร้อมหยิบขนมปังใส่จานถือตามไปด้วย
สมชายตวัดสายตามาตอบ “แหม... ก็หนุ่มๆ แต่งแป๊บเดียวเองนี่คะ”
“เหรอคะ เบลล์ก็นึกว่าพี่ลำเอียงซะอีก” อิสเบลล่าเย้าด้วยอารมณ์ขัน แล้วก็ลุกตามเพื่อนสาวไปติดๆ
“น้องแฟงไม่สบายค่ะพี่ยศ”
นักแสดงสาวลูกครึ่งผู้ขันอาสาไปตามฝากฟ้าที่ยังไม่ออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้าจนผิดสังเกต กลับมาบอกข่าวกับผู้กำกับ
“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า” เสริมยศถามด้วยความเป็นห่วง
“น้องเขาบอกว่าปวดหัว เบลล์จับตัวดูก็เห็นว่าตัวร้อน เลยหายาลดไข้ให้ทานแล้วล่ะค่ะ”
ขณะที่อิสเบลล่าบอกอาการของเด็กสาวกับผู้กำกับ ใครอีกคนที่ได้รับรู้ด้วยก็เริ่มมีอาการกังวลผิดปกติ แต่ยังยืนนิ่ง ตีสีหน้าเฉย ไม่ให้ใครจับสังเกตได้
ผู้กำกับเสริมยศรู้ข่าวก็พลิกดูบทที่มีกำหนดจะถ่ายทำกันในวันนี้ ซึ่งในบางฉากมีบทของเด็กสาวคนที่นอนป่วยอยู่ด้วย
“งั้นเลื่อนฉากของแฟงไปก่อนแล้วกัน เอาฉากของเพิร์ล ไผ่ เบลล่า กับเรียว ขึ้นมาก่อน... ไปๆ ไปเปลี่ยนชุดทำผมใหม่กันได้แล้ว” เสริมยศตัดสินใจเปลี่ยนลำดับการถ่ายทำกะทันหัน เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
“แล้วผมล่ะครับพี่ยศ” มาร์คถามขึ้นเมื่อไม่ได้ยินชื่อของเขารวมอยู่ด้วย
“บทของนายในหมู่บ้านเหลือแต่ต้องมีแฟงอยู่ด้วยทั้งนั้น รอให้เขาหายก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“โอเคฮะ พี่ยศ”
มาร์คนั่งมองดูคนอื่นๆ เข้าฉากกันอย่างไม่เป็นสุขนัก สายตาเขาคอยแต่มองไปทางบ้านพักที่มีเด็กสาวนอนซมอยู่อย่างนึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก แต่หลังจากลังเลตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดพระรองหนุ่มก็ลุกเดินตรงไปทางเต็นท์ครัว
“น้องแฟง”
มาร์คใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือถาดใส่ชามข้าวต้มและแก้วน้ำเปล่าอุ่นๆ เคาะประตูบ้านพักของดาราสาวรุ่นน้อง แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เขาก็ถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง
“พี่เข้าไปนะ”
“นายมาทำอะไร!” เสียงแหบแห้งพยายามตะเบ็งถามอย่างขุ่นเคือง “จะมาแกล้งอะไรกันอีกล่ะ”
“โธ่... พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ” มาร์คขอโทษอย่างรู้สึกผิด รู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กสาวต้องนอนซมเพราะพิษไข้
ฉากที่ถ่ายทำกันเมื่อวานตอนหัวค่ำ เป็นฉากที่เด็กสาวชาวป่าวิ่งหนีกระสุนของพวกลักลอบตัดไม้จนลื่นล้มขาแพลงอยู่ริมลำธาร พระรองหนุ่มที่หลบหนีมาพร้อมกันจึงต้องให้การช่วยเหลือด้วยการแบกเธอขึ้นหลัง พาข้ามลำธารกลับหมู่บ้าน ตามบทแล้วสาวเจ้าต้องนิ่งเงียบซุกหน้ากับไหล่เขาด้วยความเขินอายกับความใกล้ชิด แต่ฝากฟ้าก็ยังหลบมุมกล้องกระซิบกระซาบว่ารังเกียจไม่อยากถูกตัวเขาจนมาร์คเริ่มโมโห พอผู้กำกับสั่งคัทเท่านั้นละ ชายหนุ่มก็ได้โอกาสแกล้งปล่อยตัวคนที่ขี่หลังเขาอยู่ให้ตกน้ำเปียกปอนไปทั้งตัว
“แน่ใจเหรอว่าไม่ได้ตั้งใจ”
ฝากฟ้าลุกขึ้นนั่งพิงกับข้างฝา มองคนตัวโตนัยน์ตาสีเทาที่ก้าวเข้ามานั่งข้างฟูกนอนของเธอด้วยแววตาเกลียดชังอย่างที่ทำเอาคนถูกมองต้องนึกแปลกใจ
“หึ! คนอย่างพวกนายก็เป็นอย่างนี้แหละ ทำอะไรแย่ๆ ไว้แล้วก็บอกว่าไม่ตั้งใจ”
มาร์คสะดุดหูกับคำพูดของเธอจนต้องถามออกมา “พวกนาย... พวกไหนกันครับ”
“พวกนายก็คือพวกนาย พวกชอบโกหกหลอกลวง ออกไปได้แล้ว แฟงจะนอน!”
ฝากฟ้าไล่ตะเพิดอย่างไม่สนใจไยดี และเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังไม่ยอมขยับไปไหน เธอก็เริ่มขึ้นเสียงใส่เขาอีกชุดจนถึงกับสำลักไอโขลกออกมา มาร์คเห็นอย่างนั้นก็เป็นห่วงรีบขยับหมายจะเข้าไปช่วยลูบหลังให้ แต่เด็กสาวสะบัดตัวหนีไม่อยากให้ถูกตัว
“ใจเย็นสิ คิดว่าตัวเองสบายดีหรือไง ถึงมาทำอวดเก่งหาเรื่องกันเหมือนทุกที...” ชายหนุ่มเผลอดุโต้ตอบอย่างเคยชิน ก่อนจะรู้ตัวว่าผิดจึงยอมอ่อนข้อเอ่ยง้อเสียงอ่อน
“พี่แค่เอาข้าวต้มมาฝาก แล้วก็มาขอโทษที่แกล้งแฟงแรงไปหน่อย”
“ฝากแล้วก็ไปสิ อย่าคิดว่ามาทำดีด้วยแล้วแฟงจะหลงไว้ใจนะ”
เจออาการของเธอเข้า ชายหนุ่มที่ไม่ใช่คนใจเย็นนักต้องข่มใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ถามจริงๆ เถอะ พี่เคยทำอะไรไม่ดีไว้หรือไง ทำไมน้องแฟงถึงตั้งแง่เหม็นหน้ากันขนาดนี้”
“ไม่ได้เหม็นหน้า แต่เกลียดขี้หน้าต่างหาก” ฝากฟ้าแก้คำทันควัน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ คว้าต้นแขนเธอไว้แน่น
“นั่นสิ ทำไมล่ะ” มาร์คขึ้นเสียงอย่างขุ่นใจ ใครจะไปหน้ารื่น ไม่เสียความรู้สึกอยู่ได้ กับการมีคนๆ หนึ่งทั้งเกลียดทั้งคอยหาเรื่องกันตลอดเวลา
เขาเขย่าตัวเด็กสาวเพื่อกระตุ้นเอาคำตอบ
ฝากฟ้ามองคนตรงหน้าตาค้าง ตามด้วยอาการหลับหูหลับตาโวยวายเสียงดัง “ปล่อยแฟงนะ! แฟงบอกให้ปล่อยไง แฟงกลัวแล้ว... ปล่อย!”
เด็กสาวดิ้นเป็นพัลวันเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม สองตาเริ่มมีน้ำตาไหลริน
“แฟง... น้องแฟง! นี่พี่มาร์คเอง ลืมตามาดูสิ”
มาร์คเรียกสติคนที่ยังดิ้นและร้องไห้ไม่หยุด เมื่อไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนเป็นรวบตัวเธอไว้แน่น แล้วโยกตัวเบาๆ “ชู่ว... แฟง นิ่งซะนะ”
ถึงแม้ชายหนุ่มจะพยายามปลอบเท่าไร ก็ไม่มีทีท่าว่าเด็กสาวจะหยุดร้อง กลับยิ่งดิ้นและพยายามทำร้ายเขา ปากบางเกร็งสั่นก็คร่ำครวญหนักขึ้นไปอีก
“ฮือ... คริสใจร้าย! คนหลอกลวง”
“น้องแฟง!! เป็นอะไรรึเปล่า...”
ศุภชนม์ที่ได้ยินเสียงเอะอะดังไปถึงข้างนอก เปิดประตูเข้ามาถามด้วยความตกใจ ก่อนจะชะงักไปชั่วขณะกับภาพของหนุ่มลูกครึ่งกำลังโอบกอดเด็กสาวไว้แน่นทั้งที่เธอพยายามดิ้นขัดขืน
“มาร์ค! นายจะทำอะไรน้องแฟง ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
ศุภชนม์รีบโผนเข้าไปแยกตัวทั้งคู่ออกจากกัน ก่อนจะง้างมือขึ้นจะทำร้ายสั่งสอนชายหนุ่ม แต่ต้องยั้งมือไว้ก่อนเมื่ออีกฝ่ายรีบขัดขึ้น
“เดี๋ยว!.. ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
ทันทีที่มาร์คยอมผละตัวออกจากเด็กสาว ศุภชนม์ก็รีบเข้ามาแทรกกลาง แล้วจับเนื้อตัวเด็กสาวสำรวจดูว่าได้รับอันตรายตรงไหนหรือไม่ ฝ่ายฝากฟ้าเมื่อเห็นได้หน้าศุภชนม์ก็สงบเงียบเสียงลง เหลือเพียงอาการสะอื้นเล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่ได้ทำอะไร แล้วทำไมน้องแฟงร้องไห้”
“ผมแค่จับแขนนิดเดียว อยู่ๆ ก็เป็นบ้าอะไรไม่รู้ โวยวายซะเสียงดัง ที่คุณเห็น ผมแค่จะกอดปลอบ ก็แค่นั้นเอง” มาร์คเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งที่ตัวเขาเองยังงงกับอาการแปลกๆ ของเด็กสาวไม่หาย
“พี่ไก่ ฮือ...” ฝากฟ้าโผเข้าสวมกอดคนมาใหม่ไว้แน่นราวกับเจอที่พึ่ง แม้เธอจะพยายามสะบัดไล่เรื่องเก่าๆ ที่ฝังใจออกไปเท่าไร แต่พอเผลอให้มันก็ยิ่งส่งผลให้เธอควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งไป
“ไม่มีอะไรแล้ว ใจเย็นแฟง”
ศุภชนม์ลูบหัว ลูบหลัง ปลอบคนที่ยังตัวสั่นไม่หาย “คุณออกไปก่อนเถอะมาร์ค”
“ได้ไง แล้วจะปล่อยให้คุณอยู่กับแฟงสองต่อสองเนี่ยนะ” มาร์คไม่ยอมรับคำสั่งกึ่งขับไล่ของคนมาทีหลังง่ายๆ
หนุ่มตาสวยจ้องหน้าหนุ่มลูกครึ่ง แววตำหนิฉายฉัด “ยังไงผมก็น่าไว้ใจมากกว่าคุณเป็นล้านเท่า เพราะผมไม่รังแกผู้หญิงแน่ๆ”
ผู้จัดการหนุ่มมองไปที่ประตูเป็นการไล่อีกครั้ง
“ไปก็ได้ ใช่สิ... ยังไงผมมันก็ไม่ดี ไม่น่าไว้ใจสำหรับแม่คุณหนูตัวดีคนนี้อยู่แล้ว”
สุดท้ายหนุ่มลูกครึ่งก็ต้องยอมออกจากบ้านพักไปด้วยอาการฮึดฮัดอย่างคนหัวเสีย พาลไล่เตะดิน เตะหินแถวนั้นเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ขุ่นๆ ของเขาไปด้วย
“คนอุตส่าห์จะมาทำดีด้วย ก็ถูกหาว่ามารังแกผู้หญิง ยัยคุณหนูตัวซวย”
แต่ถึงจะบ่นว่าขนาดไหน มาร์คก็ยังวนเวียนอยู่แถวหน้าบ้านพัก ไม่ยอมไปไหนไกล
เพราะเขาไม่ไว้ใจไอ้ผู้จัดการของคุณเพิร์ลเท่านั้นหรอก... ชายหนุ่มมองไปที่ประตูบ้านก่อนจะหาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเอง
“เป็นไงบ้าง ค่อยยังชั่วขึ้นหรือยัง”
ศุภชนม์ใช้เวลาไปครู่ใหญ่กว่าจะพูดปลอบให้เด็กสาวหายจากอาการตื่นกลัวได้
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่ไก่” ฝากฟ้าเอ่ยเสียงแผ่วเบา พร้อมส่งแก้วน้ำคืนให้คนที่จัดยาให้เธอทาน หลังจากคะยั้นคะยอให้เธอทานข้าวต้มที่พระรองหนุ่มยกมาให้จนหมดชาม
“น้องแฟงมีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังไหม บางทีการได้เล่าอะไรออกมาบ้าง ยังดีกว่าเก็บเอาไว้คนเดียวนะ”
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีอาการดีขึ้นแล้ว ศุภชนม์จึงค่อยเอ่ยถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คำตอบของเธอคือการส่ายหน้าและนิ่งเงียบ
“ถ้าแฟงลำบากใจ ก็คิดซะว่าพี่เป็นแค่ตุ๊กตา ตัวโตๆ ของแฟงก็ได้” เสียงอ่อนโยนเกลี้ยกล่อม
ฝากฟ้าเม้มปากแน่น ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะกลั้นใจตอบออกมา “แฟงไม่อยากจะนึกถึงมัน พยายามลืมอยู่ทุกวัน แต่มันก็ยังตามมาทำร้ายแฟงอยู่เรื่อย”
รอยยิ้มบางๆ ส่งผ่านมาให้หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจ ก่อนเธอจะยิ้มอย่างอ่อนใจให้คนที่ตั้งใจรอฟัง
“บางที... การได้เล่าให้ใครฟังอย่างที่พี่ไก่ว่า อาจจะดีก็ได้นะคะ... ไม่รู้ทำไม เวลาอยู่กับพี่ไก่แล้วแฟงสบายใจ แล้วก็กล้าที่จะเล่า”
เด็กสาวนึกซาบซึ้งใจต่อชายหนุ่มตรงหน้า บางทีถ้าเธอกล้าจะเผชิญหน้ากับมันอีกครั้งด้วยการได้เล่าให้ใครสักคนช่วยรับฟัง เหตุการณ์ร้ายๆ นั้นอาจจะไม่กลับมาหลอกหลอนเธออีกก็ได้
“พี่ไก่เคยถูกหักหลังไหมคะ”
หลังจากเงียบไปนานฝากฟ้าก็เอ่ยคำถามหนึ่งขึ้นมา แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะพอถามจบ อีกประโยคก็ตามมาทันที
“ถูกหักหลังจากคนที่พี่รักและไว้ใจที่สุดถึงสองคน”
ศุภชนม์ตบที่หลังมือนุ่มและร้อนนิดๆ ด้วยพิษไข้เพื่อให้กำลังใจ “ถ้าเขาหักหลังเรา เขาก็ไม่คู่ควรกับคำว่ารักและไว้ใจของเราแล้วล่ะ”
“ค่ะ ความรู้สึกดีดีมันเหือดหายไปหมด เหลือแต่ความเกลียดเข้ามาแทน”
สายตาของเด็กสาวที่มองออกไปนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกอย่างที่พูด ฝากฟ้าต้องก้มหน้าอีกครั้ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น “แล้วก็... กลัว”
แล้วหญิงสาวก็เริ่มต้นเล่าช้าๆ ราวกับการจะเอ่ยแต่ละคำออกมานั้นช่างยากเย็น “เมื่อก่อนแฟงมีพี่ชายข้างบ้านที่สนิทกันมาก แฟนคนเก่าของแฟง...”
‘คริส คริส อยู่หรือเปล่า’
เด็กสาวฝากฟ้าที่อายุเพิ่งจะย่างเข้าสู่วัยรุ่น ตะโกนเรียกแฟนหนุ่มที่บ้านอยู่ห่างกันเพียงแค่รั้วกั้น
‘คริสไม่อยู่หรอกน้องแฟง ไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้ว’ เจ้าบ้านคนพี่ออกมาต้อนรับน้องสาวตามปกติ
‘เหรอคะ น่าโมโหจัง ตัวเองนัดแฟงไว้แท้ๆ’
ฝากฟ้ายืนหน้าบึ้งตึงอยู่หน้าบ้าน เจ้าของบ้านผู้พี่จึงออกปากชวน
‘เอาน่าแฟง... มาๆ เข้ามาก่อน อยู่ทานข้าวกลางวันกับพี่เคนก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวบ่ายๆ คริสมันก็กลับมาแล้ว’
เด็กสาวแรกรุ่นเปิดยิ้มรับข้อเสนอด้วยใจบริสุทธิ์ ต่างจากชายหนุ่มผู้คิดไม่ซื่อ ที่วางแผนการล่อลวงหญิงสาวให้ติดกับ...
“เขาผสมน้ำหวานอะไรให้แฟงทานก็ไม่รู้ แฟงทานเข้าไปแล้วมันรู้สึก... เอ่อ... แปลกๆ”
ฝากฟ้าอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะใช้คำพูดว่าอะไรมาบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นให้ชายตรงหน้าเข้าใจ
“รู้สึกร้อนเหมือน... เหมือนอยากให้ใครมากอดน่ะค่ะ แล้ว... แล้วเขาก็เข้ามา พยายามจะปล้ำแฟง” พูดถึงตรงนี้ฝากฟ้าก็น้ำตาร่วงพรูอีกรอบ
“แฟงพยายามจะขัดขืน... เลยถูกทำร้ายจนเจ็บไปทั้งตัว แฟงทำได้แค่ร้อง... ร้องให้คนมาช่วย เรียกหาพ่อ หาแม่... แต่ก็ไม่มีใครมาสักคน”
“แล้ว...” ศุภชนม์พูดต่อไม่ถูก เขากุมมือเด็กสาวไว้และมองด้วยแววตาเห็นใจ
“ตอนนั้นแฟงกลัวมาก กลัวจะถูกข่มขืน แต่โชคดีที่มันเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ คนสวนบ้านแฟงได้ยินเสียงร้องแว่วๆ ก็จำได้ว่าเป็นเสียงแฟง เลยปีนรั้วเข้ามาช่วยไว้ทัน ไม่อย่างนั้นแฟงคง...”
ยิ่งพูด น้ำเสียงของความกลัวก็พลันเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง
‘น้องแฟง พี่เคนขอโทษ พี่เคนไม่ได้ตั้งใจ’ ชายหนุ่มถูกคนสวนที่บุกเข้ามาช่วยซัดลงไปนอนกองกับพื้น พยายามร้องขอความเห็นใจ
‘น้องแฟงอย่าบอกคุณแม่นะ ไม่อย่างนั้น พี่แย่แน่ๆ ถึงไม่เห็นแก่พี่ ก็เห็นแก่คริสเถอะนะ’
‘ก็ได้ แฟงจะไม่พูดเพราะเป็นห่วงคริส แต่ระหว่างเรา ไม่ใช่คนรู้จักกันอีกแล้ว แฟงจะไม่มาเหยียบที่บ้านนี้อีก’ เด็กสาวบอกไปทั้งที่ยังตกใจกลัวไม่หาย
“แฟงร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร กับคนน้องแฟงก็ไม่กล้าบอก กลัวเขาจะทิ้งเพราะคิดว่าแฟงอาจจะเสีย... เสียให้พี่ชายเขาแล้ว”
“โถ... แฟง”
ศุภชนม์ส่งกระดาษทิษชูให้ แล้วโอบศีรษะเด็กสาวมาพิงไหล่ “มันผ่านไปแล้ว ลืมไปซะนะ ไอ้คนชั่วคนนั้นมันทำอะไรแฟงไม่ได้แล้ว”
“หึ! แค่นั้นมันไม่ทำให้แฟงเจ็บ เท่ากับเรื่องต่อจากนั้นหรอกค่ะ” อารมณ์ของฝากฟ้าขึ้นลงอย่างรวดเร็ว จนคนปลอบนึกเป็นห่วง
“หลังจากเกิดเรื่อง น้องชายเขาก็มาดูแลเอาใจใส่แฟงทุกอย่าง จนแฟงแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าเขาคงอยากง้อที่เขาผิดนัด จนสักพัก แฟงก็เริ่มทำใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แม้จะยังกลัวๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ผู้ชายคนไหน นอกจากเขาคนเดียว... แต่แล้ววันหนึ่ง คนโง่อย่างแฟงก็ได้ตาสว่าง...”
‘เฮ้ยคริส เมื่อไหร่นายจะไถเงินจากยัยคุณหนูนั่นมาได้สักทีวะ โต๊ะบอลมันส่งคนมาทวงเราหลายรอบแล้วนะเว้ย’
‘ก็รอจังหวะเหมาะๆ หน่อยสิ’
‘จะรอให้นักเลงคุมโต๊ะมันมาถล่มก่อนรึไงล่ะ’ คนเป็นพี่เริ่มพูดเสียงดังอย่างมีอารมณ์
‘จะขอมันก็ต้องมีชั้นเชิงหน่อยสิ ให้ขอกันโต้งๆ ได้ยังไงล่ะ’
เมื่อถูกเสียงดังใส่ คริสก็เสียงดังตอบไปบ้าง
‘ยากอะไรล่ะ ถ้ายัยนั่นไม่ยอม นายก็เอาคลิปที่แอบถ่ายไว้มาขู่ตามแผนเดิมสิวะ น่าเจ็บใจชะมัด ไอ้คนสวนบ้าดันมาช่วยได้ทัน สงสัยยาที่ได้มาคงแรงไม่พอ ยัยคุณหนูแฟงถึงขัดขืนฉันขนาดนั้น’
‘เพราะนายไร้น้ำยาเองมากกว่า ถ้าฉันจับไม้สั้นไม้ยาวชนะละก็ คุณหนูฟักแฟงนั่นเสร็จฉันไปนานแล้ว คลิปก็จะได้มาเต็มๆ ไม่ใช่คลิปที่นายไปไล่ปล้ำเขา แค่นั้นมันจะเรียกเงินได้สักเท่าไหร่กันเชียะ...’
‘น้องแฟง!!!’
สองพี่น้องที่ถกเถียงกันอยู่ตะโกนเรียกชื่อของเด็กสาวที่ก้าวมายืนอยู่ข้างหลังพวกเขาอย่างตกใจ
‘ไม่จริงนะแฟง พี่คริสไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้น โอ๊ย ทำอะไรเนี่ย!’
“แฟงสาดน้ำใส่หน้าเขาเต็มแรง แล้วปาแก้วลงกลางโต๊ะด้วยความโมโห แล้วพอพวกเขาลุกขึ้นจะเอาเรื่อง แฟงก็รีบหนีออกมาจากร้าน... วิ่งไปร้องไห้ไปเพราะมันแค้นใจจนทำอะไรไม่ถูก แฟงไม่สนใจรอบข้างจนเกือบถูกรถชนเข้าให้ แต่โชคดี... ที่มีพี่สาวใจดีช่วยแฟงเอาไว้ได้ทัน”
เมื่อความอัดอั้นที่เก็บมานานได้รับการระบายออก ฝากฟ้าก็เริ่มสบายใจขึ้น จนยิ้มอ่อนๆ ออกมาได้ในที่สุดเมื่อภาพของฮีโร่ของเธอปรากฏชัดอยู่ในใจ
“แล้วมันเกี่ยวกับนายมาร์คตรงไหน หรือว่าคนที่ทำร้ายแฟงคือ...”
“ไม่ใช่ค่ะ!” ฝากฟ้าส่ายหน้าปฏิเสธข้อสันนิษฐานของชายหนุ่ม “แต่เพราะนายมาร์ค... มีตาสีเทาเหมือนเขาคนนั้น แล้วก็หน้าตาคล้ายกันมากเลย แฟงก็รู้นะคะว่าเขาเป็นคนละคนกัน แต่แฟงก็ยังรู้สึกไม่ชอบหน้านายมาร์คอยู่ดี”
“แฟง... อย่าเอาความชั่วของคนแค่สองคนไปตัดสินคนทั้งโลกสิ ถึงนายมาร์คจะชอบทะเลาะ แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรรุนแรงกับแฟงไม่ใช่เหรอ” ศุภชนม์พยายามพูดให้หญิงสาวเข้าใจและมองนายแบบหนุ่มเสียใหม่ เพราะคิดว่าในเมื่อเขาเป็นคนได้รับฟังเรื่องราวจากเด็กสาวมาแล้ว ก็ควรเป็นเขาที่จะต้องช่วยให้เด็กสาวที่ไว้ใจเขารู้สึกดีขึ้นให้ได้
ฝากฟ้าลองคิดทบทวนตามแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย ถึงนายลูกครึ่งคนนั้นจะชอบทำหน้าให้ชวนทะเลาะและเถียงเก่งไปสักหน่อย แต่เขาก็ยังไม่เคยทำสิ่งแย่ๆ ที่ไม่เหมาะกับการเป็นสุภาพบุรุษสักครั้งเดียว
ยกเว้นเรื่องเมื่อวานนะ ใจหนึ่งของเด็กสาวยังไม่ยอมยกโทษให้คนที่แกล้งเธอ
“แฟงอยากเอาชนะความรู้สึกเหล่านั้นไหมล่ะ” ศุภชนม์ตะล่อมถามความสมัครใจ
“ถ้าทำได้แฟงก็อยากทำค่ะ แต่แฟงไม่ไปหาหมอโรคจิตนะคะ! แฟงไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนบ้า” ฝากฟ้ารีบตีโพยตีพาย
“ไม่ขนาดนั้นหรอก วิธีของพี่ไม่ยากด้วย แค่เริ่มต้นจากการเปิดใจ... ลองที่นายมาร์คก่อนเป็นไง แฟงยังไม่ต้องรีบไว้ใจใครทุกคนก็ได้ แค่ลองเปิดใจกับนายมาร์คดูก่อน... ดีไหม” ศุภชนม์ยกเอาคนใกล้ตัวมาเป็นเครื่องมือ
“แต่แฟงก็ยังกลัวเขา ยังรู้สึกไม่ชอบเขาลึกๆ อยู่ดี” ฝากฟ้าบอกด้วยความไม่มั่นใจ
“เราถึงต้องเริ่มฝึกกันไง”
เมื่อมีโอกาสได้ลองเอาชนะอดีต โดยมีคนที่เธอรู้สึกสบายใจและไว้ใจได้อยู่ข้างๆ เด็กสาวก็ให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะลองรวบรวมแรงใจ ฮึดสู้ดูสักตั้ง
“แต่พี่ไก่ต้องอยู่ใกล้ๆ แฟงนะคะ”
“อ้าวมาร์ค!? ยังไม่ไปไหนอีกเหรอ อย่าบอกนะว่ารออยู่ตรงนี้ตลอด”
ศุภชนม์เปิดประตูบ้านพักออกมาแล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นคนที่ถูกเขาไล่ให้ออกมายังนั่งปักหลักอยู่ตรงหน้าบ้าน
“ถึงคุณจะยืนยันว่าตัวเองไว้ใจได้ ผมก็ยังไม่ไว้ใจคุณอยู่ดี ดูสิ... กว่าจะออกมาได้ ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันนักหนา”
“หึๆ อยากรู้ก็เข้าไปถามน้องแฟงเองสิ”
“เรื่องอะไร เข้าไปให้โดนหาว่ารังแกเด็ก แล้วก็โดนไล่ตะเพิดออกมาอีกน่ะเหรอ” มาร์คบ่นส่งท้ายเหมือนไม่ใส่ใจคนที่อยู่ในบ้าน แล้วก็เดินหนีไปทันทีเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีก
“อ้าว... ตัวช่วยของเรามางอนซะแล้ว อย่างนี้น้องแฟงก็แย่สิ” ศุภชนม์บ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินกลับบ้านพักของตัวเอง ให้เวลาคนป่วยได้นอนพักเสียก่อน หลังจากที่เธอดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยกับการเล่าเรื่องไปร้องไห้ไป
อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน
กองถ่ายละครก็กำลังสับสนวุ่นวายกับขบวนเด็กเล็กไปจนถึงเด็กกำลังโตที่ถูกเสริมยศขออนุญาตพ่อแม่ของพวกแกให้มาร่วมแสดงเป็นนักเรียนในฉากของโรงเรียนชายแดนที่มีหัวหน้าป่าไม้หนุ่มเป็นครูสอนหนังสือ และฉากการทำงานของหมออารีกับการตรวจสุขภาพเด็กๆ ประจำปี
“มะอา... ต้าเต๊ะกลัว มะอาเข” เด็กชายหน้าตามอมแมมคนหนึ่งร้องลั่นกองถ่าย เมื่อเห็นเรียวในคราบหมอหนุ่มหยิบเข็มฉีดยาออกมาทำท่าว่าจะฉีดยาให้ จากนั้นไม่นาน เสียงร้องไห้โยเยก็เริ่มดังต่อกันเป็นทอดๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ
“คัท คัท คัท!! โอ๊ย... ช่วยกันจัดการเด็กที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเองกันหน่อย” เสริมยศตะโกนสั่งลั่นกอง
“เป็นเด็กผู้ชายต้องเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ ถ้าร้องไห้เสียงดัง แสดงว่าอ่อนแอ แพ้เด็กผู้หญิงนะครับ” เรียวเองก็ต้องมารับหน้าที่ปลอบเด็กชายผู้เป็นต้นเสียง
พอเด็กชายได้ยินคำว่า ‘แพ้เด็กผู้หญิง’ ก็หุบปากไว้แทบไม่ทัน แต่ยังมองไปทางเข็มฉีดยาอย่างหวาดๆ
“หมอจะฉี่ยาต้าเต๊ะจิงน่ะ”
ถึงแม้ชาวบ้านและเด็กๆ ที่นี่จะสามารถใช้ภาษากลางในการสื่อสารได้ แต่สำเนียงก็ยังติดเพี้ยนสูงต่ำ ขาดตัวสะกดไปบ้างอยู่ดี
“ฉีดหลอกๆ ไม่เจ็บ ทำให้ดูก่อนก็ได้” เรียวพูดแล้วก็ทำท่าจิ้มเข็มปลอมสำหรับเข้าฉากลงบนท่อนแขน “นี่ไง”
“ต้าเต๊ะห้าหมอฉี่บาๆ เน้อ และอย่าว่าต้าเต๊ะแพ้ผู้หยีอี”
เมื่อเห็นสีหน้าของคนในชุดขาวไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมาสักนิด เด็กชายก็ยกหลังมือปาดน้ำมูกน้ำตา แล้วยืดอกอนุญาตด้วยท่าทางวางก้าม “พั่วผู้หยีขี้แง อ่อแอ มะเหมือต้าเต๊ะ”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณหมอเรียวปลอบเด็กร้องไห้ก็เป็นด้วย”
เสียงล้อเลียนกึ่งแปลกใจของเพลินพิศลอยมาเข้าหูของคุณหมอจำเป็น ตัวเธอเองก็มีเด็กหญิงที่ต้องปลอบให้หยุดร้องด้วยเหมือนกัน แต่ติดที่เด็กในความดูแลเธอเป็นผู้หญิง จึงออกจะขี้แยไปสักหน่อย เพลินพิศเลยรับบทหนัก ต้องทำท่าตลกๆ หน้าตาอัปลักษณ์ๆ ให้เด็กหัวเราะ และลืมเรื่องเมื่อครู่นั้นเสีย
“เช็ดน้ำตาซะนะ เด็กผู้ชายต้องเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้กับเรื่องเล็กน้อย” เรียวสอนเด็กชายทิ้งท้าย ก่อนจะเดินไปหาหญิงสาวที่ทำหน้าที่ของเธอเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
“เด็กเขาเงียบเพราะงงกับหน้าคุณกันหมดแล้วล่ะครับ แต่อย่าทำเกินกว่านั้นนะ เดี๋ยวแกจะร้องอีกรอบ เพราะตกใจกลัว” ชายหนุ่มว่าให้พร้อมรอยยิ้มขำที่มุมปาก
“ฉันว่าหน้าดุๆ ของคุณมากกว่า ที่เด็กเห็นแล้วต้องกลัวจนร้องไม่ออก” เพลินพิศโต้กลับได้ทันควัน พร้อมๆ กับเสียงผู้กำกับสั่งเรียกรวมกองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเด็กๆ เริ่มสงบเสียงลงแล้ว
“แต่ก็ไม่เห็นคุณจะเคยกลัวหน้าดุๆ ของผมสักที ใช่ไหมล่ะครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆ ก่อนจะเดินไปเตรียมเข้าฉาก ปล่อยให้คนโต้ตอบไม่ทันได้แต่มองตามอย่างนึกขัดใจ
นายซามูไรมาดนิ่งนี่ก็ขยันหยอดมุกจีบให้ขัดๆ ไม่ถึงกับเขินทุกทีที่มีโอกาสเชียว...
“พี่จ๋า! ด่อม้า” เด็กหญิงคนหนึ่งเห็นช่อดอกไม้ร่วงมาจากเสื้อกันหนาวของดาราสาว จึงเรียกเธอไว้ก่อนที่เธอจะเดินจากไป
“จ๊ะ อ๋อ... ขอบใจมากนะจ๊ะ” เพลินพิศหันไปยิ้มให้และก้มลงไปรับมาจากมือของเด็กหญิง
“ดอกไม้ของบ้านอ่อเก๊าะนี่... พี่สาวไปได้มาจากไหนหรือจ๊ะ” เสียงเด็กสาวในหมู่บ้านที่เข้ามาช่วยคุมเด็กๆ ถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ เด็กสาวเป็นหนึ่งในเด็กรุ่นใหม่ที่ได้ไปเรียนในตัวเมืองจึงพูดภาษากลางได้ค่อนข้างชัด จึงมีหน้าที่คล้ายๆ เป็นฝ่ายต้อนรับนักท่องเที่ยวของหมู่บ้านไปด้วย
“อ้อ! มีคนให้พี่มาน่ะ ทำไมเหรอจ๊ะ” เพลินพิศตอบก่อนจะถามกลับอย่างติดใจสงสัย
“ดอกไม้นี้มีแต่ที่บ้านอ่อเก๊าะ บ้านอ่อตุงไม่มีนะจ๊ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบจากเด็กสาว เพลินพิศก็เริ่มสะกิดใจ
ไหนว่าเด็ดมาจากแถวๆ หมู่บ้านไง หน็อย... ร้ายนักนะ มาหลอกตบตาเพลินพิศได้
“แล้วบ้านอ่อเก๊าะนี่อยู่ไกลไหมจ๊ะ”
“ไม่ไกลจ้ะ เดินไปก็ถึง”
“นานไหม” หญิงสาวเริ่มซักไซ้รายละเอียด
“สักสองชั่วโมงได้นะจ๊ะ ฉันเคยไป”
หญิงสาวซักถามจนได้ข้อมูลเป็นที่พอใจแล้วจึงขอตัวแยกออกมาจากเด็กสาว เธอหันไปมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มในเสื้อกาวน์อย่างนึกเจ็บใจ
หึ! ถ้าฉันจับผิดนายไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกกันว่าเพลินพิศเลย
ติดตามความรักบู๊ลั่นป่าของบอดี้การ์ดหนุ่มและดาราสาว
ได้ใน "ฉากรัก ดักหัวใจ" ฉบับเต็มค่า!!
ได้ใน "ฉากรัก ดักหัวใจ" ฉบับเต็มค่า!!
สั่งซื้อรูปเล่ม... ที่เว็บ สนพ. Coolkat หรือร้านหนังสือออนไลน์
โหลดฉบับอีบุ๊ค... ได้ตามแหล่งที่ถูกใจเลยค่ะ
โหลดฉบับอีบุ๊ค... ได้ตามแหล่งที่ถูกใจเลยค่ะ
Meb : https://goo.gl/FockyR
The1Book : https://goo.gl/AR33tY
Hytexts : https://goo.gl/RL9qJX
Ookbee : https://goo.gl/iia4wb
NaiinPann : https://goo.gl/RczUnR
Dek-D : https://goo.gl/dqU2Zz
No comments:
Post a Comment