ตีพิมพ์ครั้งแรก โดย สนพ. คูลแคท
เผยแพร่ฉบับอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
เผยแพร่ฉบับอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
ฉากที่ 10 : ดาราจำเป็น
เพลินพิศรู้สึกตัวตื่นในตอนเช้าตรู่ด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากธรรมชาติ ไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ขานขันเสียงดังต่อๆ กันจนทั่วหมู่บ้าน ทั้งยังมีนกตัวเล็กๆ โผมาสะบัดปีก ส่งเสียงจิ๊บๆ อยู่ตรงกรอบหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ตั้งแต่เมื่อคืน หญิงสาวที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าหมผืนบางซ้อนกันสองชั้นลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องงุนงงแปลกตากับมุ้งผ้าโปร่งบางที่ป้องกันเธอจากฝูงยุงป่า ก่อนจะยิ้มอารมณ์ดีออกมาเมื่อนึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปยังเพื่อนร่วมห้องที่นอนอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าสาวเจ้ายังเอาผ้าห่มคลุมโปงหลับสนิทอยู่ เธอจึงค่อยๆ แหวกม่านมุ้งโปร่งบางแล้วมุดออกมาจากที่นอน คว้าเสื้อกันหนาวตัวหนามาสวมทับชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวที่ใส่อยู่
“บรื๋อ... อากาศหนาวใช้ได้เลยนะเนี่ย” เพลินพิศยกมือขึ้นกอดอกและห่อไหล่เมื่อลมหนาวที่พัดมาปะทะใบหน้าขณะที่เธอเปิดประตูบ้านพักออกมารับความสดชื่น
ไอหมอกหนาปกคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านจนดูขาวโพลนไปหมด หญิงสาวยืดเส้นยืดสายบิดตัวไปมาอยู่ตรงบริเวณหน้าบ้านพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มการเดินสำรวจ เพราะตั้งแต่มาถึงเธอก็ยังไม่ได้เดินไปไหนไกล หยุดอยู่แค่เต็นท์ครัวของกองถ่ายเพื่อรับประทานอาหารเย็นพร้อมอัพเดทข่าวสารในกอง หันไปมองท้องฟ้าอีกทีก็มืดค่ำจนมองไม่เห็นอะไรแล้วจึงยกเลิกโปรแกรมสำรวจหมู่บ้านกลับที่พักเพื่อพักผ่อน
บ้านพักของเพลินพิศเป็นกระท่อมไม้หลังเล็ก มีเพียงห้องนอนและกั้นมุมหนึ่งไว้เป็นส่วนของห้องน้ำเท่านั้น ด้านหลังบ้านอยู่ติดกับป่าไผ่ต้นสูงชะลูด ห่างจากบ้านพักไปไม่ไกลเป็นทางเดินสายเล็กๆ ตัดสู่ลานโล่งกว้างกลางหมู่บ้าน และเพราะความกะทัดรัดของตัวบ้านแต่ละหลัง หญิงสาวใช้เวลาไม่นานก็สามารถเดินวนจนครบรอบบ้านพักทั้งหกหลังที่อยู่ในบริเวณนั้น
เพลินพิศเดินวกกลับมาทางบ้านพักของตน พร้อมด้วยการบิดตัวยกแข้งยกขา ชูไม้ชูมือ ออกกำลังเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย เพราะคิดว่าเช้าตรู่อย่างนี้คงยังไม่มีใครในกองออกมาเห็น แต่แล้วสองมือที่กำลังโบกสะบัดไปในก็อากาศต้องชะงัก เมื่อเห็นชายคนหนึ่งเปิดประตูบ้านพักที่อยู่ข้างๆ บ้านพักของเธอออกมาพอดี
“อรุณสวัสดิ์ครับ ท่าออกกำลังตอนเช้าของคุณดูน่ารักดีนะครับ” เรียวทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วจะมาออกกำลังด้วยกันไหมล่ะ แก้หนาวได้ดีนะคุณ” หญิงสาวเริ่มขยับแข้งขาอีกครั้งให้เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ลดระดับลงเล็กน้อย ไม่ได้ใส่ลีลาเมามันอย่างเมื่อครู่
“ให้ทำท่าทางอย่างคุณคงไม่ไหวมั้งครับ” ชายหนุ่มส่ายหน้า ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหา แล้วโน้มตัวไปกระซิบใกล้ๆ หู
“แต่ผมมีวิธีช่วยให้คุณอุ่นที่ดีกว่านั้นนะ”
จากแววตาและน้ำเสียง... เพลินพิศเข้าใจได้เลยว่าวิธีที่ชายหนุ่มพูดถึงคืออะไร และแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ทำอย่างที่สื่อออกมา ไม่มีส่วนใดในร่างกายของเขาที่เอื้อมมาแตะสัมผัสตัวเธอแม้แต่น้อย มีเพียงลมหายใจอุ่นๆ ในตอนที่พูดอยู่ริมใบหู... แต่เท่านั้นก็ทำเอานางเอกสาวรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว จนใบหน้าเธอเรื่อริ้วร้อนขึ้นมาชัดเจน
“อยากลองวิธีผมไหมล่ะครับ” เรียวยังเย้ายั่วให้เธอยิ่งรู้สึกขัดเขิน
จนเมื่อหญิงสาวได้สติก็รีบก้าวเท้าถอยหนีไปตั้งหลัก ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นขู่เอาเรื่องชายหนุ่ม
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ ถ้าคิดจะทำรุ่มร่ามกับฉันล่ะก็ ฉันชกให้คว่ำจริงๆ ด้วย”
“นี่คุณเพิร์ลคิดว่าผมจะทำอะไรหรือครับ” เรียวอมยิ้ม จับหมัดน้อยๆ ของหญิงสาวให้ลดมือลง และก้าวเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว
“ไม่รู้ละ แต่อย่าให้ฉันรู้แล้วกันว่าคุณคิดไม่ดีกับฉัน ฉันเล่นงานคุณน่วมแน่” เพลินพิศยังไม่วายคาดโทษชายหนุ่มด้วยสายตาดุดัน
“อย่าขู่กันนักสิครับ คุณรู้แล้วเหรอว่าผมคิดอะไร ผมก็แค่... จะชวนคุณไปจ๊อกกิ้งรอบหมู่บ้าน แล้วก็ไปหากาแฟร้อนๆ ในครัวดื่มสักแก้ว คุณต่างหากที่คิดไม่ดี” ชายหนุ่มแกล้งมองหน้าเธออย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะย้อนกลับให้หญิงสาวต้องยิ่งอายหนักขึ้นไปอีก
“หน้าแดงขนาดนี้แสดงว่าคิดลึก นี่คิดจะลวนลามผมใช่ไหมครับ”
“จะบ้าเหรอ!” เพลินพิศรีบกระชากมือออกจากมือใหญ่ ก่อนจะทุบหนักๆ ลงบนต้นแขนของคนช่างกวนซึ่งเป็นอีกภาคของบอดี้การ์ดหนุ่มที่เธอคาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นไปได้
เรียวลูบแขนที่โดนทำร้ายป้อยๆ แต่ริมฝีปากสีสดยังเคลือบรอยยิ้มไว้อยู่ “คุณเขินแล้วชอบว่าผมบ้าทุกที”
“ใครว่าฉันเขิน อย่ามามั่ว” คนเกิดอาการทั้งเขินจัดทั้งขายหน้าแก้ตัว ก่อนจะหมุนตัวหลบหน้าเขา
“ฉันเข้าบ้านดีกว่า ไม่คุยกับคุณแล้ว... ฉันเคยหลงคิดว่าคุณเป็นคนดี พูดน้อย แล้วก็ดูซื่อๆ มาได้ยังไงตั้งนานนะ” ท้ายประโยคบ่นกับตัวเองอย่างจงใจให้คนที่อยู่ไม่ไกลได้ยินด้วย
“ผมเป็นกับคุณคนเดียวนั่นล่ะครับ ว่าแต่... คุณไม่อยากแก้หนาวกับผมจริงๆ เหรอ”
เรียวเอ่ยถามไล่หลัง ดวงตายาวรีของสาวหมวยจึงตวัดกลับมาส่งค้อน แล้วฟึดฟัดสะบัดหน้าหนีกลับเข้าบ้านพักไป
“พี่ยศคะ!” สมชายจีบปากจีบคอเรียกผู้กำกับหนุ่มใหญ่ไฟแรงที่เดินเข้ามาในเต็นท์ครัว
“เมื่อวานพี่ได้เห็นหน้าบอดี้การ์ดของน้องฟักแฟงไหมคะ”
“ไม่เห็นหรอก กว่าพี่จะกลับจากในเมืองก็มืดแล้ว นี่ยังไม่ได้เจอใครเลย ทำไมเหรอบอย” เสริมยศถามขณะเทน้ำร้อนลงในแก้วกาแฟ
“แหม... พี่ต้องเห็นเอง แล้วจะรู้ว่าเลิศมาก... ขาว สูง หล่อ สะอาดเนี้ยบ ทุกกระเบียดนิ้ว เหมาะกับบทหมออารีเป็นที่สุด” บอกจบสมชายที่เปลี่ยนตัวเองมาเป็นเจ๊ดัน ก็พยักพเยิดหน้าบอกกับผู้กำกับที่ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยสนใจกับชายหนุ่มที่เธอภูมิใจนำเสนอ
“ไม่เชื่อดูเองสิคะ เดินมาโน่นแล้ว”
เสริมยศหันไปมองตามก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและดูนิ่งเนี้ยบ อย่างที่ช่างแต่งหน้าหนุ่มสวยการันตีไว้จริง อีกทั้งบุคลิกที่ดูนิ่งๆ ขณะเดินตามนางเอกและนางรองของเขาเข้ามานั้น ถ้าได้แว่นตากรอบเงินสักอัน คงรับบทหมอได้สบาย
“พี่ยศเห็นด้วยกับน้องบอยไหมละคะ” สมชายกระแซะต่อ “ไม่ต้องรอให้ทางกรุงเทพหาใหม่อีกเป็นอาทิตย์ ก็มีคุณหมอมาส่งให้ถึงที่แล้วนะคะ”
“อืม... น่าสนใจดี แต่เรื่องนี้ก็ต้องดูที่ฝีมือด้วย และที่สำคัญ... เขาจะเล่นให้เราหรือเปล่า” เสริมยศบอกหลังจากลอบพิจารณาหน่วยก้านของหนุ่มหน้าหล่ออยู่ครู่ใหญ่
“สวัสดีค่ะพี่ยศ” เพลินพิศทักทายผู้กำกับหนุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่เป็นคนแรก
“หน้าตาสดชื่นเชียว นอนหลับสบายใช่ไหมล่ะ”
“สบายสิคะ ที่นี่อากาศดีมากเลย” รอยยิ้มแย้มของดาราสาวเป็นสิ่งยืนยันคำพูดของเธอได้เป็นอย่างดี
“ใช่ค่ะ แฟงยังไม่อยากจะลุกจากที่นอนเลย” ฝากฟ้าก็ยังคงเป็นลูกรับที่ดีของเพลินพิศเสมอ
“นั่นสิ บางคนยังนอนอุตุอยู่เลย... ใช่สิ! ฟักแฟง คราวนี้คุณแม่ให้พาบอดี้การ์ดมาด้วยใช่ไหม” ผู้กำกับหนุ่มใหญ่เริ่มเข้าเรื่อง
“ค่ะ แต่แฟงว่าไม่น่าจะมีอะไรให้คุณเรียวทำหรอกค่ะ แฟงไม่เห็นว่าในกองถ่ายจะมีอันตรายตรงไหนเลย”
“งั้นดีเลย พอดีผมมีบทว่างอยู่ คนที่เล่นเขาบาดเจ็บเลยมาแสดงไม่ได้” เสริมยศดื่มกาแฟอึกใหญ่ก่อนหันไปทาบทามชายหนุ่มที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ “คุณสนใจเล่นละครดูไหม”
“ผมว่ามะ...”
เพลินพิศไม่รอให้เรียวปฏิเสธ รีบชิงพูดขัด “น่าสนใจจังเลยค่ะพี่ยศ บทหมออารีใช่ไหมคะ”
“ใช่ อ้าว! นี่รู้เรื่องกันแล้วเหรอ” เสริมยศแปลกใจได้ไม่นานก็เข้าใจคำตอบ เมื่อหันไปเห็นสมชายส่งยิ้มกว้างมาให้
“พี่ยศนี่ตาถึงนะคะ เพิร์ลว่าเหมาะมากเลย ทุกคนก็เห็นด้วยใช่ไหมคะ” เพลินพิศหันไปถามทีมงานเพื่อหาพวกเพิ่มความกดดันให้ชายหนุ่ม เมื่อหลายต่อหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย หญิงสาวก็หันมาตบไหล่
“เอาน่าคุณ ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่ ดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำ น่าเบื่อออก” นางเอกสาวเกลี้ยกล่อม
“ผมไม่เคยทำงานด้านนี้ ผมว่าอย่าดีกว่าครับ” เรียวทำใจแข็งปฏิเสธ
แต่ดูจากสายตาของทุกคนในกองที่มองมาอย่างคาดหวังแล้ว ท่าทางคงจะไม่ยอมให้เขาได้ปฏิเสธง่ายๆ
“น่า... ลองดู ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที งั้นเริ่มถ่ายวันนี้เลยแล้วกัน” ผู้กำกับเสริมยศไม่สนใจ ตัดบทอย่างอารมณ์ดีเพราะปัญหาที่คิดหนักมาตลอดหลายวันได้รับการคลี่คลายแล้ว
“นี่คุณคิดจะแกล้งผมหรือไงครับ” เรียวกระซิบถามหญิงสาวที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้คนทั้งกองหันมาฝากความหวังไว้ที่เขา
เพลินพิศยิ้มแย้ม ก่อนตอบอย่างพอใจที่แผนการสำเร็จลุล่วง “ไม่ได้แกล้งซะหน่อย แค่เมื่อเช้าฉันเห็นแววว่าคุณน่าจะเล่นละครเก่ง เลยอยากจะสนับสนุนให้เข้าวงการก็เท่านั้น”
ต้องกักตัวเขาไว้ก่อน จะได้ไม่หนีไปสืบเรื่องที่ไหนคนเดียว
ภาพของชายหนุ่มในชุดกาวน์แขนสั้นกับกางเกงสแลคที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัว ทำเอาเจ๊ดันทั้งสองอย่างเพลินพิศและสมชายสบตากันแล้วยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“นั่งรอตรงนี้เลยค่ะ คุณหมออารีคนนี้นี่หล่อกว่าเดิมตั้งเยอะ” สมชายร้องบอกชายหนุ่ม ขณะมือก็ปัดแก้มให้นางเอกสาวอยู่
“พูดอย่างนี้ เดี๋ยวคนเก่าเขาได้ยินแล้วจะน้อยใจเอานะคะ” เพลินพิศแกล้งทักท้วง
“น้องเพิร์ลก็... เขาไม่อยู่ตรงนี้ ไม่มีทางได้ยินหรอกค่ะ... คุณเรียวมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้เลยค่ะ บอยแต่งให้น้องเพิร์ลจะเสร็จแล้ว รอแป๊บนึงนะคะ” สมชายช่างคล่องแคล่วชำนาญสมเป็นมืออาชีพ มือหนึ่งชี้ไปยังเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ ส่วนอีกมือก็เลือกสีลิปสติกที่เรียงอยู่ในกระเป๋าอย่างไม่มีสะดุด
“คุณแต่งเป็นหมออย่างนี้ก็เหมาะดีนะ ฉันนี่ตาถึงจริงๆ” เพลินพิศเอ่ยชมตัวเองกับคนที่นั่งรออยู่ข้างๆ
“แต่งเหมาะ แต่อาจแสดงออกมาเป็นท่อนไม้ก็ได้นะครับ อย่าเพิ่งรีบดีใจไป” เรียวดักคอไว้ ก่อนจะก้มลงมองชุดตัวเองอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ เรานี่นะ เหมาะกับบทหมอ
“ไม่ต้องห่วง พี่ยศแกเก่ง เดี๋ยวก็เคี่ยวจนออกมาดีเองนั่นแหละ” หญิงสาวตอบกลับได้แค่นั้นก็ต้องหยุดให้สมชายทำงานต่อได้สะดวก
“เอาละ ตาคุณเรียวบ้าง” สมชายหันมาหาชายหนุ่มในชุดคุณหมอพร้อมครีมรองพื้นที่แตะไว้บนหลังมือ เมื่อเห็นว่าเขายังดูงงๆ จึงบอกต่อด้วยเสียงหวาน
“หลับตาสิคะ”
“ผมต้องแต่งหน้าด้วยหรือครับ” ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดเหมือนต้องกินของแสลง
“อ้าวคุณ ก็ต้องแต่งหน่อยสิ เวลาเข้ากล้อง หน้าจะได้ไม่ซีด” เพลินพิศอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปบอกสมชายให้เริ่มลงมือจัดการกับชายหนุ่ม
“กันคิ้วนิดๆ ทาปากให้แดงๆ เหมือนพวกดาราญี่ปุ่น จะได้ถูกใจวัยรุ่นก็ดีนะคะพี่บอย” สาวหมวยแนะ
“ดูคุณสนุกมากเลยนะครับ” เรียวมองสีหน้ามีความสุขของหญิงสาวแล้วก็เริ่มจะปลงตกที่หลวมตัวรับบทนี้มา
“แน่นอน นอกจากสูทดำสนิทกับเสื้อสีเข้มของคุณ จะมีใครเคยเห็นคุณใส่ชุดขาว แถมยังโดนจับแต่งหน้าทาปาก สวมแว่นกรอบเงินอันใหม่แทนที่แว่นดำน่าเบื่อของคุณอีกล่ะ น่าจดจำจะตาย”
“อย่าให้ผมเอาคืนบ้างก็แล้วกัน” คนถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘เมน อิน แบลค’ คาดโทษหญิงสาวที่ยิ้มไม่หุบ
“ไม่เห็นจะกลัว” เพลินพิศยักคิ้วส่งสายตาท้าทาย ก่อนจะหันไปบอกคนที่ลงรองพื้นบนหน้าชายหนุ่ม
“พี่บอย เพิร์ลไปก่อนนะคะ ฝากคุณหมออารีด้วย อย่าให้เปลี่ยนใจหนีไปซะก่อนนะคะ”
สมชายรับคำยิ้มแย้ม แม้เมื่อครู่เธอจะทำเหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่สองหูนั้นผึ่งรับข้อมูลมาเต็มๆ จดจำบทสนทนาของทั้งคู่ไม่ขาดตกสักประโยคเดียว ช่างแต่งหน้าหนุ่มสวยชักเริ่มสงสัยว่าสองคนนี้ดูจะสนิทสนมกันเกินกว่าที่ควร จนอาจมีมูลให้เธอได้นำไปเม้าท์กระจายขยายความให้ทั่วกอง คิดได้ดังนั้นสมชายก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจ
ไม่น่าเชื่อว่าบอดี้การ์ดหนุ่มจะตีบทแตกกระจายตั้งแต่ฉากแรก เมื่อเขาต้องแสดงออกทางสีหน้าและสายตาว่านึกสนใจนักพฤษศาสตร์สาวที่เพิ่งเดินทางมาถึงหมู่บ้าน และนึกขวางไม่ถูกชะตากับหนุ่มลูกครึ่งที่ตามติดเธอมาอย่างชัดเจน ฉากแรกของหมออารีนั้นผ่านฉลุยจนผู้กำกับเสริมยศยิ้มออก
“ดีมากเลยเรียว ไอ้ที่ถ่อมตัวมา ดูท่าจะไม่จริงซะแล้ว”
“เพราะคนอื่นๆ ช่วยมากกว่าครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มออกตัวปฏิเสธ เมื่อได้รับคำชม
บทมันบังเอิญตรงใจมากกว่า ชายหนุ่มคิดต่อในใจ
“ว้าย! ดูสิคะ สามหนุ่มขึ้นกล้องกันจริงๆ น้องบอยเลือกไม่ถูกเลยนะคะเนี่ย”
เสียงสมชายดังมาจากด้านหลังจอมอนิเตอร์ที่มีก้องไผท มาร์ค และเรียวประชัญความหล่อเหลาต่างสไตล์กันอยู่ ข้างๆ ตัวก็มีทีมงานยืนอยู่ด้วยหลายคน รวมถึงนางเอกสาวของเรื่องด้วย ช่างแต่งหน้าประจำกองจึงเอื้อมมือไปสะกิดพร้อมกับยิงคำถามเด็ด
“แล้วน้องเพิร์ลล่ะคะ จะเลือกใครดี”
เพลินพิศเห็นทีมงานทุกคนที่ได้ยินคำถามลอบมองมาอย่างสนใจก็รีบบอกปัด “เพิร์ลจะเลือกได้ไงคะ เขามารุมให้นางเอกเลือกค่ะ ไม่ใช่เพิร์ลซะหน่อย” ว่าจบก็รีบแยกตัวไปหาผู้กำกับหนุ่ม
“แน่ใจหรือคะ” เสียงทุ้มบีบให้หวานยังตะโกนไล่ตามหลัง แต่นางเอกสาวแกล้งทำเมินไม่ได้ยินไปเสีย
“ฉากไหนต่อคะพี่ยศ” เพลินพิศเข้ามาสอบถามกับผู้กำกับ เมื่อคิดว่าน่าจะถึงคิวของเธอแล้ว
“พี่ขอเลื่อนฉากเพิร์ลไปก่อนนะ อารมณ์ของเรียวกับมาร์คกำลังได้ ขอเป็นฉากสองหนุ่มปะทะกันเลยดีกว่า” เสริมยศตอบหญิงสาวก่อนหันไปร้องบอกสองหนุ่มที่ยืนเตรียมตัวอยู่
สองหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะหันมาท่องบทในฉากที่ผู้กำกับยศบอก เมื่อมาร์คเห็นว่าบริเวณนั้นไม่มีใครอื่นอีก จึงเปิดฉากหาเรื่องทันที
“นายมาเป็นการ์ดให้น้องแฟงไม่ใช่เหรอ ทำไมอยู่ๆ เจ๋อมารับบทหมอซะล่ะ”
เรียวเหลือบตามองคนถามเล็กน้อย ก่อนก้มลงอ่านบทต่อ แต่ปากก็ขยับโต้ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผมไม่อยากรับหรอก แต่คุณเพิร์ลฝากความหวังขนาดนั้น ใครจะกล้าปฏิเสธเธอลง”
“คุณเพิร์ลก็แค่ห่วงงาน อย่าหลงตัวเองไปไกลว่าเขาสนใจนายล่ะ” มาร์คเริ่มออกอาการหวง ทนไม่ได้ที่อีกฝ่ายพูดถึงดาราสาวราวกับเป็นคนสนิท
“ผมไม่นึกว่าเธอจะมาสนใจหรอก เพราะระหว่างผมกับคุณเพิร์ล เราสองคนเกินขั้นของความสนใจกันมานานแล้ว” เรียวเงยหน้าขึ้นมายกยิ้มมุมปากบอกอย่างเป็นต่อ นั่นยิ่งทำให้มาร์คหน้าแดงจัด
“เอ้า! สองหนุ่ม ต่อบทกันอยู่เหรอ เอาอารมณ์แบบเมื่อกี้เลยนะ ดีมากเลย” เสียงของผู้กำกับร้องดังขึ้นขัดการปะทะคารมของทั้งคู่ ทำให้ชายหนุ่มที่สู้สายตากันอยู่ต้องผละออกจากกันอย่างเสียไม่ได้
ในเมื่อสองหนุ่มต่างเข้าถึงอารมณ์ไปแล้วด้วยการโต้คารมเมื่อครู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าฉากที่เสริมยศเลื่อนมาถ่ายก่อนจะเทคเดียวผ่านฉลุย แบบไม่ต้องนำไปตัดต่อให้เสียเวลา... ทำให้ฉากที่สองของดาราจำเป็นหนุ่มผ่านไปด้วยดีไม่มีที่ติ
เรียวกลับเข้าบ้านพักอีกทีก็ตอนหัวค่ำหลังจากจบการถ่ายทำฉากทั้งหมดของวันนี้ เขาอาศัยช่วงเวลาที่ศุภชนม์เข้าไปอาบน้ำ ตระเตรียมของบางอย่างสำหรับการทำงานในคืนนี้ ชายหนุ่มหยิบแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ขนาดประมาณฝ่ามือออกมาจากช่องด้านในสุดของเป้สนามใบใหญ่ เขาเปิดฝาพับขึ้นมาและกดปุ่มให้เครื่องแสดงผลบอกตำแหน่งของหมู่บ้านอ่อตุงที่เขาพักอยู่ ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเสื้อกันหนาวสีเทาเข้มที่แขวนอยู่ เมื่อบอดี้การ์ดหนุ่มเห็นสีเสื้อตัวเองก็นึกขำกึ่งเห็นด้วยที่นางเอกสาวกล่าวหาว่าเขาชอบใส่แต่เสื้อผ้าสีดำตลอดเวลา
เขาเริ่มต้นใส่สีดำเพราะอยากไว้อาลัยให้การจากไปของพ่อ จนถึงวันนี้... มันก็ชินเสียแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ เรียวก็หยิบขวดแก้วเล็กๆ ที่บรรจุของเหลวใสใส่เข้าในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเก็บเป้ใบโตให้เข้าที่
“คุณศุภชนม์พอทราบไหมครับ ว่าเราจะไปถ่ายฉากน้ำตกกันเมื่อไหร่” เรียวหันไปถามคนที่กำลังทาครีมบำรุงอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พานให้นึกถึงเหตุผลของศุภชนม์ที่มีให้กับจำนวนมากมายของกระปุกเครื่องประทินผิว
‘ผมทดลองใช้แทนน้องเพิร์ลครับ รายนั่นน่ะ ชอบขี้เกียจทาครีมบำรุง ต้องให้ผมลองให้ดูว่าได้ผลจริง ถึงจะเชื่อ หรือไม่ก็เผื่อมีตัวไหนแพ้ หน้านางเอกจะได้ไม่เสียโฉม’ ชายหนุ่มตาหวานบอกตั้งแต่คืนแรกที่มาถึง
“อีกสักสองอาทิตย์ละครับ แล้วแต่ว่าจะถ่ายที่นี่เสร็จเร็วช้าแค่ไหน” ศุภชนม์ตอบแล้วก็หันไปเก็บเครื่องบำรุงผิวทั้งหลายใส่ลงในกระเป๋าใบเล็ก จึงไม่ทันได้เห็นว่าชายหนุ่มอีกคนหยดอะไรบางอย่างลงบนหมอนของเขา
“อืม ครับ” เรียวตอบสั้นๆ ก่อนจะขอตัวไปทำธุระส่วนตัวบ้าง
เวลาผ่านไปพักใหญ่ เรียวก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกลั้นหายใจไว้ เขารีบเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างออก ก่อนจะมองไปที่ฟูกของศุภชนม์ก็พบว่าเขานอนหลับไปแล้ว
“คุณศุภชนม์ครับ”
ชายหนุ่มลองสะกิดเรียกเพื่อให้แน่ใจว่ายาดมสลบของเขาได้ผลจริง และเมื่อเห็นว่าคนที่หลับอยู่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เรียวก็คว้าเสื้อกันหนาวมาสวม ก่อนจะดับไฟในตะเกียง แล้วออกจากบ้านพักไปในทันทีอย่างไม่ยอมให้เสียเวลาไปแม้แต่น้อย เป้าหมายของเขาในคืนนี้คือการไปรับเครื่องมืออุปกรณ์และอาวุธที่โนดะจะจัดส่งมาให้ เรียวจึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ใครสงสัยหรือสะกดรอยตามมาได้
เมื่อมั่นใจว่าพ้นจากเขตหมู่บ้านมาแล้ว เรียวก็หยิบไฟฉายกระบอกเล็กแต่พลังสูงที่เหน็บอยู่ในกระเป๋าเสื้อมาส่องทางและเดินฝ่าความมืดออกไป เพื่อหาจุดรับของเหมาะๆ ที่คิดว่าเสียงจากเฮลิคอปเตอร์ของเขาจะไม่ดังจนปลุกชาวบ้านที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ให้ตื่นขึ้นมาทำลายแผนการของเขา
เดินย่ำมาได้เกือบชั่วโมงก็พบลานหญ้าโล่งกว้างพอจะใช้รับส่งของได้ เรียวจึงหยุดรออยู่และเฝ้ามองแผนที่ในมือที่ปรากฏจุดกลมสีแดงกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้จุดสีเขียวบอกตำแหน่งที่เขายืนอยู่ ครู่หนึ่ง เสียงใบพัดแว่วมาให้ได้ยิน ก่อนที่จุดกะพริบสีแดงนั้นจะทับซ้อนกับตำแหน่งของเขาพอดี กล่องพลาสติกอย่างหนาขนาดไม่ใหญ่นักถูกปล่อยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ที่ลอยตัวนิ่งอยู่ด้านบน กล่องใบนั้นเคลื่อนที่ลงมาได้ประมาณครึ่งทาง ร่มชูชีพอันเล็กก็กางออกโดยกลไกอัตโนมัติเพื่อลดการกระแทกของวัตถุที่อยู่ข้างใน
เรียวปิด-เปิดไฟฉายขณะส่องขึ้นฟ้าเป็นจังหวะสัญญาณว่าได้รับของเรียบร้อย ก่อนจะลากกล่องใบนั้นเข้าไปในป่า แล้วซ่อนไว้หลังซอกหินที่ค่อนข้างลับตาเพราะมีพุ่มไม้ขึ้นปกปิดบริเวณด้านหน้าอย่างหนาแน่น ชายหนุ่มขยับบรรดากิ่งก้านที่เขาแหวกออกให้กลับเข้าที่เข้าทางและดูเป็นธรรมชาติในแบบที่มันเคยเป็น ก่อนจะปัดมือมองตรวจผลงานของตัวเองให้ดีอีกครั้ง แต่แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้ช่อเล็กสีชมพูหวานเข้าให้ ชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าเรื่อสีชมพูของคนช่างอวดเก่งขึ้นมาทันที จึงเอื้อมมือไปเด็ดมันติดมือมาด้วย
บอดี้การ์ดหนุ่มไม่ลืมที่จะกดทำเครื่องหมายบันทึกตำแหน่งที่ซ่อนของไว้ในแผนที่ ก่อนจะเดินทางกลับหมู่บ้านโดยใช้แผนที่ที่อยู่ในมือเป็นเครื่องนำทางเหมือนตอนขามา
เพลินพิศเปิดประตูบ้านพักออกมาในตอนเช้าก็ต้องแปลกใจกับช่อดอกไม้สีชมพูสองช่อน่ารักที่ถูกผูกติดกันด้วยใบหญ้าสีเขียวที่วางอยู่ริมประตู ด้านล่างนั้นมีกระดาษแผ่นเล็กพับครึ่งเอาไว้ หญิงสาวก้มลงไปเก็บช่อดอกไม้และกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน ก็เห็นข้อความที่เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบ
อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้คุณตื่นสายกว่าผมนะ เมื่อเช้าผมไปจ๊อกกิ้งแก้หนาวมา เห็นมันน่ารักดี เลยเก็บมาฝาก
เพลินพิศอ่านข้อความจบก็ก้มมองช่อดอกไม้ในมือ พลางจับมันหมุนไปหมุนมาและอมยิ้มให้ความน่ารักของคนส่ง
นายเรียวบ้า... หญิงสาวบ่นอุบอิบด้วยคำคำเดียวกับที่เขาเคยล้อเอาไว้ อย่างเคยชินในทุกครั้งที่ขัดเขิน เพลินพิศส่งค้อนไปให้ประตูบ้านพักหลังข้างๆ ที่ปิดอยู่ ถึงในข้อความจะไม่ได้ลงชื่อไว้ แต่หญิงสาวก็รู้ว่าคนที่ส่งดอกไม้และข้อความเหล่านี้มาให้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนที่เคยชวนเธอแก้หนาวคนนั้นคนเดียว
อ่านต่อ >> ฉากที่ 11 : เบื้องลึกเบื้องหลัง
หรือเป็นเจ้าของความฟินกันแบบเต็มๆ ได้เลย!
สั่งซื้อรูปเล่ม... ที่เว็บ สนพ. Coolkat หรือร้านหนังสือออนไลน์
โหลดฉบับอีบุ๊ค... ได้ตามแหล่งที่ถูกใจเลยค่ะ
โหลดฉบับอีบุ๊ค... ได้ตามแหล่งที่ถูกใจเลยค่ะ
Meb : https://goo.gl/FockyR
The1Book : https://goo.gl/AR33tY
Hytexts : https://goo.gl/RL9qJX
Ookbee : https://goo.gl/iia4wb
NaiinPann : https://goo.gl/RczUnR
Dek-D : https://goo.gl/dqU2Zz
No comments:
Post a Comment