รักข้ามเวลา ชุดกาลรักหนึ่ง
เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
กาลที่ 7 : ฮาเร็มชาย
มุมหนึ่งของร้านกาแฟยอดนิยมกลางห้างดัง ชายหนุ่มร่างสูงเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตร กายหนาด้วยกล้ามเนื้อแน่นสวย โดดเด่นสะดุดสายตาผู้คนด้วยผมสีทองสว่าง ลูกค้าในร้านบางคนที่เป็นแฟนคลับดาราดัง อาจจดจำเขาได้จากการที่เขาเคยไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายเหล่าดาราที่พวกเขาชื่นชอบอยู่บ่อยๆ
จิรภพอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตลายตารางสีฟ้าชมพูพาสเทล กางเกงสามส่วนสีชมพูเอิร์ธโทน สวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลเงาวับ ผู้จัดการดาราคนดังกำลังนั่งก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์หน้าจอใหญ่จุใจ เปิดอ่านข่าวสารในแวดวงบันเทิงรอเวลาไปพลาง
แล้วในนาทีหนึ่ง คิ้วเข้มที่แต่งทรงไว้เหมาะเจาะกับใบหน้าดูดีสะอาดสะอ้านก็ต้องขมวดเข้าหากันฉับ เมื่อภาพหลุดของดาราสาวในสังกัดปรากฏเด่นหราอยู่บนหน้าจอ ภาพแอบถ่ายปาร์ตี้ในผับที่มีการมั่วสุมดื่มเหล้ากันสุดเหวี่ยง ขัดกับภาพลักษณ์ ‘ใสแบ๊ว’ ที่เขาพยายามสร้างให้อีกฝ่าย จนเป็นประเด็นให้ชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ ริมฝีปากสีสดดูสุขภาพดียังไม่ทันได้พ่นคำสบถ เสียงทักของเด็กหนุ่มที่มายืนอยู่ข้างโต๊ะก็ทำให้เขาต้องหยุดคำและเงยหน้าขึ้นมอง
“อ้าวซี... มาเร็วดีจริง จะสั่งอะไรไหม”
จิรภพทักทายสอบถาม แต่ยังไม่ทันที่ตรัยภพจะได้ตอบอะไร หนุ่มหน้าตาดีอีกคนก็มาถึงตามนัด
“อ๊ะ! นายซันก็มาพอดี”
เมื่อเห็นเด็กใหม่ในสังกัดมากันครบ จิรภพก็จัดการแนะนำตัวให้ทั้งคู่รู้จักกันคร่าวๆ ก่อนจะยื่นบัตรสำหรับชำระค่าเครื่องดื่มของร้านให้
“ไปสั่งอะไรดื่มกันก่อนก็ได้ ผู้ช่วยของคุณพี่ก็ใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ”
สองหนุ่มสองสไตล์เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม โดยมีสายตาของจิรภพมองตามอย่างพิจารณา พลางให้คะแนนบวกกับทั้งคู่อยู่ในใจ และเมื่อเห็นทั้งสองพูดคุยทักทายกัน ดวงตาสองชั้นปลายแหลมชี้ก็หรี่ลง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ กับความคิดหนึ่ง
“เจ๊จิลล์”
เพ็ญนรีส่งเสียงเรียกคนที่หมุนตัวคอแทบบิดไปมองด้านหลัง ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายสะดุ้งหันขวับกลับมา แล้วมองค้อนราวเธอไปรบกวนช่วงเวลาสำคัญอะไรเข้าให้ แต่สุดท้ายจิรภพก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพราะสายตาพลันถูกดึงดูดไปยังคนที่เดินตามหลังเธอมาเสียก่อน
นักปั้นดารามือทองมองหนุ่มหน้าหล่อร่างสูงโปร่งที่เปล่งออร่าจับตาด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ ก่อนจะกวาดตาลงมาตามลาดไหล่กว้าง ใช้ดวงตาเรียวรีสแกนให้ทะลุถึงหุ่นงามๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อยืดธรรมดาๆ แต่เมื่อไล่มาถึงกระเป๋าหนังสีเหลืองใบคุ้นตาในมือของเขา คนกำลังให้คะแนนบวกแล้วบวกอีกก็ต้องคิ้วกระตุก ตวัดสายตาจิกมองผู้ช่วยสาวร่างเล็กในทันที
มือใหญ่ของจิรภพยื่นออกไปรวดเร็วพอๆ กับสายตา หมายจะคว้ามือสาวรุ่นน้องดึงเข้ามากระซิบกระซาบถามบางสิ่งที่สงสัย แต่แล้วกลับถูกมือใหญ่กว่าชิงคว้าหมับเอาไว้เสียก่อน ดวงตาเรียวแหลมของนักปั้นหนุ่มกะพริบปริบ ก่อนจะเบิกโตมองใบหน้าเคร่งดุของเจ้าของมือ ห่อปากเป็นรูปตัวโอแสดงอาการตกอกตกใจชัดเจนเกินจริง
เพ็ญนรีก้มมองมือของคนทั้งสองที่ยื้อยุดกันอยู่อย่างไม่เข้าใจในสถานการณ์ จนเมื่อมือใหญ่และขาวผ่องกว่าปล่อยมือออก เธอก็หมุนตัวไปเงยหน้าส่งสายตาเป็นคำถาม
“เขาจะจับมือคุณจ้า” เสียงเรียบที่ตอบ ไม่ได้สร้างความกระจ่างให้ทั้งสองคนที่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้ย ไม่เป็นไร... นี่เจ๊จิลล์ รู้จักกัน จับได้” หญิงสาวอธิบาย คิดเอาเองว่าคนตัวสูงอาจเข้าใจผิดว่าเธอถูกคนมือไวลวนลามเข้าให้
“มือคุณจ้าเจ็บ” อาเธอร์จำต้องขยายความต่อ
คราวนี้คนมือเจ็บจึงส่งเสียงร้องอ๋อว่าเข้าใจทันที พร้อมกับที่จิรภพกวาดตามองมือของผู้ช่วยสาว เมื่อเห็นว่ามีผ้าพันเอาไว้ก็ถามไถ่อย่างเป็นห่วง
“มือเป็นอะไร ไปทำอะไรมาน่ะยัยจ้า”
“ไม่เป็นไรมากค่ะเจ๊ แค่เคล็ด ตอนเช้ามีอุบัติเหตุนิดหน่อย...”
เพ็ญนรีตอบได้เท่านั้น ยังไม่ทันได้สาธยายว่าจึงเป็นเหตุให้เธอต้องมาช้า เด็กหนุ่มสองคนก็เดินมาถึงโต๊ะพร้อมกาแฟและชาเขียวปั่นในมือคนละแก้ว
สไตลิสต์สาวจึงถูกดึงความสนใจฉับไว เธอมองคนทั้งสองแล้วฉีกยิ้มนำแทนการทักทาย ทั้งคู่ต่างเป็นหนุ่มวัยรุ่นใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา อายุไม่เกินยี่สิบตามที่จิรภพมักนิยมปั้นเด็กหนุ่มเสียส่วนใหญ่ ตรงกับกระแสบ้านเราที่ดารานักแสดงมักจะเริ่มเข้าวงการกันตั้งแต่อายุน้อยลงทุกทีๆ
“เดี๋ยวเรามาพูดคุยทำความรู้จักกันสบายๆ ก่อนนะหนุ่มๆ” จิรภพเรียกให้ตรัยภพและแสงตะวันนั่งลงที่โต๊ะ ก่อนจะบอกกับผู้ช่วยสาวด้วยน้ำเสียงออกจะแตกต่าง... อย่างไม่ต้องสังเกตก็สัมผัสได้
“ยัยจ้าจะกินอะไรก็จัดการตัวเองนะยะ”
เพ็ญนรีโคลงศีรษะยิ้มๆ ไม่ถือสาในลำดับความสำคัญของตนที่ตกเป็นรองหนุ่มๆ เสมออยู่แล้ว เธอกำลังจะผละเดินไป แต่กลับมีมือหนึ่งแตะลงบนไหล่เสียก่อน
“คุณจ้านั่งเถอะ จะเอาอะไร” เสียงคนร่างสูงสอบถาม อาเธอร์ยังหน้านิ่งเฉยได้ท่ามกลางสายตาสนอกสนใจอย่างเปิดเผยของจิรภพ และแววตาลอบสังเกตของสองหนุ่มที่อยากรู้นักว่าหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดีจัดในทุกองศา ดูดีขนาดที่ทำเอาพวกเขาถูกกลบรัศมีตั้งแต่ยังไม่ทันได้แจ้งเกิดคนนี้เป็นใคร
“ขอบใจนะ จ้าเอาไอซ์คาราเมลลาเต้” เพ็ญนรีไม่รีรออิดออด ตอบคนช่างอาสาดูแลเสียงใส ต่อมาคนตัวเล็กก็ฉีกยิ้มกว้าง คว้าบัตรของจิรภพมาจากโต๊ะ ยื่นส่งให้เขาอย่างถือวิสาสะ “ขอยืมนะคะเจ๊... นายอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ งานนี้เจ๊จิลล์ผู้แสนดีเลี้ยงเอง”
การกระทำของสาวรุ่นน้องทำเอาเจ้าของบัตรส่งค้อนเล็กๆ สายตาของนักปั้นหนุ่มใจเจ๊ยังมองตามร่างสูงสองเมตรเศษสุดโดดเด่นไปอย่างสนใจ ก่อนจะหันกลับมาปรายสายตามองสาวร่างเล็กที่ก้าวมานั่งลงข้างตัว สายตาหรี่ลงเล็กๆ เก็บงำความสงสัยเอาไว้ก่อน
จิรภพเริ่มต้นเจรจาพูดคุยสอบถามประวัติ ความสามารถพิเศษ กิจกรรมและความสนใจของสองหนุ่ม ละเอียดยิบยิ่งกว่าตอนเจรจาทาบทาม เพื่อให้พวกเธอสามารถปรับส่วนด้อย เสริมส่วนเด่น สร้างตัวตนและภาพลักษณ์ดีๆ ให้ติดตัวทั้งคู่เสียตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ
เพ็ญนรีนั้นเป็นฝ่ายนั่งฟังเป็นส่วนใหญ่ สไตลิสต์สาวมองเด็กหนุ่มวัยสิบแปดสิบเก้าทั้งสอง พลางนึกถึง ‘ลุคใหม่’ ที่จะโดดเด่นและดึงดูดสายตาสาวๆ ยิ่งกว่าเดิมอยู่ในใจ ด้านแสงตะวันที่มีใบหน้าค่อนข้างคมคาย ตาคม คิ้วเข้ม และมีมาดกวนเวลาพูดจา ดูแล้วน่าจะเหมาะกับลุคแบดบอยกึ่งเซอร์เล็กๆ ให้ดูเข้าถึงง่าย ส่วนทางตรัยภพที่ออกเป็นหนุ่มตี๋ ใบหน้าขาวจัดน่ารักน่าเอ็นดู และติดขี้อายสักหน่อยนั้น ให้ขายความอบอุ่น เป็นหนุ่มติดมาดคุณหนู ดูผู้ดีกึ่งทางการเล็กๆ ก็คงน่าสนใจไม่น้อยเลย
ทั้งสี่คนคุยกันได้ไม่นาน แก้วเครื่องดื่มที่เธอสั่งไว้ก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้า เพ็ญนรีหันไปเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะเอ่ยแนะนำให้คนในโต๊ะที่มองเขาเป็นตาเดียวได้รู้จัก
“นี่อาเธอร์... คนขับรถของจ้าเอง”
หญิงสาวแกล้งว่าพร้อมหันไปส่งยิ้มล้อให้คนขับรถที่ยังคงยืนเงียบ ไม่คิดส่งคำคัดค้านกับเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อเธอหันกลับมาพบกับแววตาไม่เชื่ออย่างแรง แถมยังคาดคั้นเอาคำตอบที่แท้จริงจากจิรภพก็หัวเราะออกมา
“อาเธอร์เป็นเพื่อนของเพื่อนจ้า แต่ตอนนี้เป็นเพื่อนจ้าด้วย เมื่อเช้าเขาเห็นจ้ามือเจ็บเลยอาสาช่วยขับรถให้”
จิรภพพยักหน้ารับรู้ ทั้งที่คันปากยิบๆ อยากถามนักว่าเป็นแค่เพื่อนกันยังไง ทำไมถึงต้องดูแลเอาใจกันออกนอกหน้าขนาดนี้ แล้วมันน่าสงสัยน้อยเสียเมื่อไหร่ ว่าทั้งคู่ไปเจอกันตอนเช้าๆ ได้ยังไง ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจนัดกัน
คำถามมากมายเหล่านั้นจิรภพทำได้แค่คิด เพราะใบหน้าเรียบนิ่งและสายตาของฝ่ายชายหนุ่ม ทำเอาเขารู้สึกกริ่งเกรงไม่กล้าเอ่ยปากถามเซ้าซี้
อาเธอร์ผู้เงียบขรึมจัดการลากเก้าอี้อีกตัวมาจากโต๊ะข้างๆ แล้วนั่งลงเยื้องหลังคนตัวเล็กไปไม่ไกล ยกขาข้างหนึ่งไขว่ห้าง จิบกาแฟร้อนของตนไปด้วยมาดผู้ดีน่ามอง และนั่นก็ยิ่งทำให้โต๊ะของนักปั้นดารามือทองซึ่งมีหนุ่มหน้าตาดีมากถึงสามคนมานั่งรวมกัน กลายเป็นจุดสนใจของคนในร้านอย่างยิ่ง
แสงตะวันและตรัยภพถูกพาไปพบแพทย์ความงามเป็นแห่งแรก เพื่อจับลงคอร์สกำจัดจุดอ่อนบนใบหน้าเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นไร้ที่ติ และด้วยพื้นฐานโครงหน้าที่ดีอยู่แล้วของทั้งสองหนุ่มจึงไม่ต้องพึ่งการศัลยกรรมเปลี่ยนแก้ไขใบหน้าให้สิ้นเปลืองงบประมาณ
ขณะที่นั่งรอสองหนุ่มพบแพทย์ผิวหนังอยู่นั้น จิรภพก็จำต้องขอแยกตัวไปก่อน
“เจ๊ขอไปหาที่สงบปลีกวิเวกจัดการเรื่องยัยแอลก่อนนะ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อนว่าจะโต้ข่าวยังไง เจ๊ล่ะเบื่อ... หลังๆ เริ่มออกลาย ปัญหาเยอะจริง คอยดูเถอะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ เจ๊จะแช่แข็งให้ดู เด็กคนอื่นจะได้ไม่เอาเป็นเยี่ยง”
เมื่อไม่ต้องรักษาภาพต่อหน้าเด็กใหม่ คนต้องตามแก้ปัญหาให้นางเอกสาวในสังกัดก็ปลดปล่อยอาการฮึดฮัดได้เต็มที่
“ใจเย็นค่ะเจ๊... เรื่องสองหนุ่มนี่ก็ตามที่คุยๆ กันเนอะ เดี๋ยวจ้าจะส่งรูปรายงานเป็นระยะแล้วกันนะคะ” เพ็ญนรีรับปากให้อีกฝ่ายวางใจ ก่อนจะถามถึงโปรแกรมในช่วงบ่าย “แล้วอย่างงี้เจ๊จะไปที่สตูด้วยหรือเปล่าคะ”
“เดี๋ยวเจ๊ตามไป น่าจะทันอยู่แล้ว... อ้อ! ตอนดูเรื่องเสื้อผ้า เจ๊ขอชุดคู่แบบดูไม่จงใจให้สองหนุ่มด้วยสิ”
คนได้รับคำสั่งมองสายตาวิบวับเหมือนมีแผนบางอย่าง ไม่นานก็ต้องถามเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
“คิดจะปั้นจิ้นเหรอคะเจ๊”
“ใช่สิ! หล่อนไม่คิดหรือว่าเป็นกิมมิกแฝงที่น่าสนใจน่ะ หนุ่มมาดกวนกับหนุ่มน้อยหน้าใส... สาวๆ หนุ่มๆ หัวใจ ‘วาย’ ที่ชอบวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์น่าจะชอบ”
คนฟังเลิกคิ้วเพื่อถามอีกทีว่าแน่ใจหรือ ก็เห็นใบหน้าของคนตรงหน้าพยักขึ้นลงสองทีแทนคำยืนยัน เธอจึงต้องจดลงบันทึกไว้อีกข้อ ทั้งที่เธอยังไม่เห็นแววว่าทั้งคู่จะชวนจิ้นชวนฟินขนาดนั้นเลยสักนิด
แต่อย่างไรแล้ว เธอก็เชื่อมั่นในสายตาแหลมคมและมันสมองช่างคิดช่างวางแผนการตลาดขายเด็กของจิรภพ
ร้านเสื้อผ้าที่เพ็ญนรีเลือกสำหรับแสงตะวันและตรัยภพ เป็นร้านเดิมที่เธอเคยพาอาเธอร์มาซื้อเสื้อผ้าครั้งนั้น พอได้เห็นพนักงานคนเดิมที่เคยมีเรื่องกัน เธอก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเข้าไปทักทายราวกับคนสนิทสนม ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอ ‘จดจำ’ ได้
“สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะคะ”
“เอ่อ... สวัสดีค่ะ” พนักงานคนเดิมตอบกลับไม่เต็มเสียงนัก ยิ่งเมื่อได้เห็นผู้จัดการร้านเดินตรงปรี่มาหาลูกค้าคนใหม่ก็ชักหน้าเสีย
“คุณจ้า! ไม่เจอกันนานเลย” ผู้จัดการร้านวัยกลางสามสิบเข้ามายิ้มแย้มทักทาย ก่อนจะแสดงความเป็นห่วงและใส่ใจลูกค้า “นี่มือเป็นอะไรคะเนี่ย”
“ข้อมือเคล็ดนิดหน่อยค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก... วันก่อนจ้าก็เพิ่งมาที่ร้านเองนะคะ แต่ไม่เจอพี่เปิ้ล เจอแต่...” เพ็ญนรีแกล้งทิ้งหางเสียงยาว วาดสายตามองไปทางพนักงานประจำแคชเชียร์ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าเสีย คนขี้แกล้งก็ยิ้มรื่นแล้วเอ่ยต่อ “...คุณพนักงานหน้าไม่คุ้น”
“อ๋อ... เพิ่งเข้ามาใหม่น่ะค่ะ แล้วมีปัญหาอะไรไหมคะ”
คำสอบถามชี้โพรงของผู้จัดการร้านยิ่งทำเอาคนที่ถูกเอ่ยถึงเหงื่อตก
“มีค่ะ!..” คนมีปัญหาพยักหน้าขึงขัง จนพนักงานทั้งสองหน้าเสีย
แต่แม้เพ็ญนรีจะชื่นชอบการแกล้งคนเล่นและปากกล้าช่างขู่ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะก่อเรื่อง สร้างความลำบากให้คนอื่นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการยืมมือคนอื่นเล่นงานคนที่เธอไม่ชอบใจ
“มีแค่คิดถึงพี่เปิ้ล เลยช้อปไม่เต็มที่เท่านั้นเองค่ะ” หญิงสาวหักมุมเปลี่ยนเรื่อง แล้วก็หัวเราะเบาๆ ประสานกับผู้ได้ฟังคนช่างพูดหยอดคำหวาน ในขณะที่สองพนักงานสาวพากันลอบถอนหายใจโล่งอก
ครู่หนึ่ง สไตลิสต์สาวก็เข้าประเด็น “วันนี้จ้ามีหนุ่มคนใหม่มาพอดีค่ะ พี่เปิ้ลมีอะไรมาแนะนำไหมคะ”
“อุ้ย! พอดีเลยค่ะ คอลเลกชันใหม่เพิ่งเข้ามาเมื่อวานนี้เอง”
ผู้จัดการสาวแนะนำด้วยความเต็มอกเต็มใจ สายตาเปื้อนยิ้มมองพิจารณาชื่นชมชายหนุ่มหน้าตาดีทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหลังสาวร่างเล็ก รู้ดีว่าอีกไม่นานคนทั้งสามคงจะได้ปรากฏตัวบนสื่อต่างๆ ในฐานะดาราหน้าใหม่ ที่มักตามมาด้วยความโด่งดังตามมาตรฐานการทำงานของสังกัดจิรภพ
“งั้นจ้าขอดูหน่อยนะคะ เอาไซส์ของสองคนนี้นะคะ” เพ็ญนรีชี้นิ้วโป้งไปทางด้านหลัง
“อ้าว! แล้วคนนี้...”
“อ๋อ... คนนี้ไม่เกี่ยวค่ะ คนนี้ตามมาเป็นเพื่อนจ้าเฉยๆ”
หญิงสาวตอบตามจริง แต่ทว่าในแววตาคนฟังกลับปรากฏรอยระลึกรู้ลึกลับ คิดเอาเองว่าคนทั้งคู่ต้องเป็นมากกว่าเพื่อนแน่ๆ โดยไม่ได้สอบถามต่อเพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของลูกค้า
นี่แหละหนา... สังคมพิพากษา...
คนเราทุกวันนี้มักทึกทักตัดสินคนอื่น และเชื่อถือเรื่องราวเอาตามใจชอบ โดยไม่สนใจถึงข้อเท็จจริงเลยสักนิด
กว่าชั่วโมงที่แสงตะวันและตรัยภพผลัดกันลองชุดที่จัดว่าผ่าน และเข้าคอนเซ็ปต์ในสายตาของสไตลิสต์สาว หลายชุดที่เธอพยักหน้าและบางชุดก็ถูกคัดออก โดยมีชายหนุ่มผู้เงียบขรึมเป็นผู้ช่วยใช้โทรศัพท์มือถือของเธอเก็บภาพสองหนุ่มในชุดที่เข้าตาสุดๆ เอาไว้
คิ้วสีน้ำตาลเข้มของอาเธอร์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเข้าไปในเฟรมภาพถ่ายที่เขากำลังถือกล้องเล็งค้าง โดยในมือมีหมวกแก๊ปที่พยายามจะสวมให้กับแสงตะวัน แต่เจ้าเด็กหนุ่มมาดกวนคนนั้นกลับแกล้งยืดตัวเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบหกเซนติเมตร แถมเมื่อคนตัวเล็กเรียกเสียงดุแล้วก็ยังไม่ยอมก้มลงมาหา จนเธอต้องขยับเข้าไปยืนเขย่งเสียใกล้
แล้วในจังหวะที่อาเธอร์เห็นเสื้อแจ็กเก็ตจะเลื่อนหล่นจากไหล่บางเพราะหญิงสาวยกมือขึ้นสูง นักข้ามเวลาหนุ่มก็ลดโทรศัพท์ในมือลงทันทีพร้อมกับเดินตรงดิ่งเข้าไปหา ทว่าก็ยังช้ากว่ามือไวๆ ของเจ้าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เกือบชิดตัวเธอ แสงตะวันคว้ามันไว้ได้แล้วเอามาคลุมคืนให้ก่อนที่มันจะร่วงหล่นพื้น คนร่างสูงจึงได้แต่หยุดยืนมองอยู่ด้วยความรู้สึกขวางตาอย่างไรบอกไม่ถูก
“เสื้อจะร่วงแล้วพี่จ้า เกือบได้ใจหวิวแล้วเนี่ย... นี่พี่จ้าจะอ่อยผมเหรอฮะ” น้ำเสียงกวนๆ ของแสงตะวันแกล้งว่า พร้อมก้มลงมาส่งยิ้มกว้างยั่วโมโหคนมองด้วยเสียอีก
“น้อยๆ หน่อยนายซัน จ้าไม่สนใจเด็กกระดูกอ่อนหรอกนะ” เพ็ญนรีตีหน้าหงุดหงิดใส่ แต่ก็ไม่ได้ถือสาอะไรนัก
ด้วยรูปร่างและหน้าตาไม่สมวัย แถมยังนิสัยเป็นกันเองไม่ถือตัว เธอจึงเคยชินเสียแล้วกับการที่เด็กๆ ของจิรภพจะไม่ให้ความเคารพกันตามอาวุโสเท่าที่ควร
“นายก็เลิกแกล้งพี่จ้าเสียทีเถอะซัน” เสียงอ่อนใจจากหนุ่มอีกคนที่เพิ่งออกมาจากห้องลองเสื้อ ตอนนี้ตรัยภพอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตขาว ปกและกระเป๋าสีดำ ดูเป็นชุดคู่ที่ไม่จงใจกับหนุ่มอีกคนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำปกขาวแต่ไม่ติดกระดุม คลุมทับเสื้อกล้ามสีดำเรียบๆ เอาไว้ข้างใน
ไม่พูดเปล่า คนเอ่ยปรามยังอุตส่าห์ช่วยหยิบหมวกจากมือของเพ็ญนรีไปสวมให้คนช่างแกล้ง แล้วดึงปีกหมวกลงมาแรงๆ ให้คนสวมต้องก้มหน้าลงตามอย่างช่วยไม่ได้
“เฮ้! แกล้งเราเหรอซี” คนโดนแกล้งโวยวายเสียงดัง จากที่เป็นจุดสนใจในร้านอยู่ก่อนแล้ว จึงยิ่งเรียกสายตาของหลายคนให้หันไปมองกันใหญ่
แล้วภาพที่คนในร้านได้เห็น ก็คือ ชายหนุ่มที่โวยวายกำลังทำหน้ายุ่ง จ้องมองชายหนุ่มหน้าอ่อนใสเกลี้ยงเกลาที่ยิ้มบางดูใสซื่อ ในขณะที่ชายหนุ่มลูกครึ่งอีกคนที่สูงเด่นกว่าใคร ยืนกอดอกนิ่งมองทั้งคู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยติดบึ้งตึงอยู่ในที
แทบไม่มีใครมองเห็นหญิงสาวที่กำลังหัวเราะอารมณ์ดีกับการที่มีคนช่วยเอาคืนแทนเธอ... สาวร่างเล็กผู้น่าอิจฉาที่ถูกหนุ่มหล่อทั้งสามล้อมสามมุมเอาไว้เสียมิดชิด
เมื่อแสงตะวันและตรัยภพกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องลองเสื้ออีกครั้ง เพ็ญนรีก็ยื่นมือมาขอโทรศัพท์ของเธอคืนจากตากล้องจำเป็น แต่แทนที่อาเธอร์จะส่งคืนให้ทันที เขากลับคว้าข้อมือของเธอจูงให้เดินตามไปหลบข้างๆ ราวแขวนเสื้อที่อยู่ไม่ไกล ร่างสูงยืนตระหง่านประกบไม่ห่าง ใช้กายสูงบดบังคนตัวเล็กจากสายตาคนในร้านเสียมิด
“เอ๊ะ! ทำอะไร” เพ็ญนรีร้องถามเสียงตื่นตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกคนตัวโตปลดเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ออกไปจากไหล่ แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้ยึดแย่งไปไหน สองมือนั้นยังถือมันลอยอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง
“สวมให้เรียบร้อยซะ จะได้ไม่ร่วงอีก”
ถ้อยคำราวออกคำสั่ง แถมยังดวงตาที่มองลงมาแฝงแววดุกึ่งตำหนิ ทำเอาหญิงสาวต้องยืนนิ่ง เอียงคอมองคนหน้าขรึมด้วยสายตาขุ่น แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบใจกับการถูกวุ่นวายกะเกณฑ์การแต่งกาย
“นี่! อย่ามาสั่งจ้านะ” เธอว่าเสียงฉุน แต่จะให้ก้าวหนีก็ไม่พ้นต้องเบียดร่างของเขาออกไป จึงได้แต่ยืนสบตาวาวๆ เข้ากับสายตานิ่งของหนุ่มไซส์ยักษ์
เพียงครู่สั้นๆ อาเธอร์ก็เป็นฝ่ายขยับตัวก่อน เขายืนยันความตั้งใจของตนเองด้วยการตวัดแจ็กเก็ตให้อ้อมไปด้านหลังร่างเล็ก เพื่อรอให้เธอสอดแขนเข้าไปโดยสะดวก
เพ็ญนรีในเวลานี้จึงคล้ายตกอยู่ในอ้อมแขนเขากลายๆ กลิ่นกายหอมสะอาดสดชื่นคล้ายมินต์ผสมไม้สนปะปนอยู่ในอากาศอย่างเข้มข้น และที่ร้ายกาจที่สุดคงเป็นสายตาคมที่มองจ้องลงมา สายตาคู่นั้นไม่ยอมอยู่นิ่ง พอละจากดวงตาของเธอไปก็ไล่กวาดทั่วใบหน้าบึ้งตึง แล้วลดระดับต่ำลงไปยังลาดไหล่ช้าๆ
และนั่นก็เป็นการบังคับให้หญิงสาวยอมทำตามคำสั่งของเขาโดยไม่ต้องมีถ้อยคำขู่เข็ญใดๆ อีก นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคู่นั้นช่างทรงพลัง มีอานุภาพสั่นคลอนสาวมั่นอย่างเธอให้รู้สึกขัดเขิน หมดความมั่นใจกับการใส่เดรสสายเดี่ยวอวดผิวขาวเนียนขึ้นมาอย่างไม่สมควรเลยสักนิด
หลังจากเพ็ญนรีก้มหน้าก้มตาสอดแขนทั้งสองข้างเข้าไปในแขนเสื้อ ระหว่างที่คนตัวโตก็ช่วยจับปกเสื้อขยับให้เข้าที่ เสียงชมเชยคำสั้นๆ แว่วเบาเหนือศีรษะก็ทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้ามองคนพูดอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหูตัวเอง และเมื่อได้มองเห็นรอยยิ้มมุมปากและแววตาอ่อนโยนที่มองลงมานั้นแล้ว ก็ยิ่งต้องไม่เชื่อสายตาไปอีกอย่าง
และดูเหมือนว่าเธอจะตาฝาดไปจริงๆ เพราะเพียงกะพริบตาครั้งเดียว หลังจากมองค้างไปสามวินาที ทุกอย่างก็หายวับ เหลือเพียงใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ใดๆ เหมือนเดิม และสงสัยว่าที่ได้ยินเมื่อครู่ก็คงจะหูแว่วไปแน่แท้ เพราะหนุ่มวัยยี่สิบสี่ที่ไหน จะมาชมเชยสาวเลขสามอย่างเธอว่า ‘เด็กดี’ กัน
เสร็จจากการถ่ายภาพสองหนุ่มในสตูดิโอ เพื่อเก็บเข้าแฟ้มประวัติและให้จิรภพนำไปใช้ประกอบการเสนอรับงานกับผู้จ้างผู้จัดทั้งหลาย คนทั้งห้าก็มุ่งหน้าไปยัง ‘คลับเฮาส์’ ของเด็กในสังกัดของจิรภพ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสามชั้นสุดหรูขนาดแปดห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง มีทั้งสระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ห้องซาวน่า ห้องนั่งเล่นส่วนกลางและห้องอาหารขนาดใหญ่พิเศษ แถมด้วยพื้นที่สนามและริมสระน้ำที่สามารถจัดปาร์ตี้กลางแจ้งได้สบายๆ
สิ่งแรกที่ผู้ก้าวเข้าไปในโถงกลางของบ้านหลังใหญ่ได้เห็น ก็คือภาพถ่ายขนาดใหญ่เท่าตัวจริงของนางเอกตัวแม่ของวงการ ผู้ที่จิรภพปลุกปั้นขึ้นมาเองกับมือ และทำให้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดการดาราคนดัง บนฝาผนังข้างๆ กันยังมีรูปของดาราดังอีกหลายคนประดับเอาไว้ โดยเจ้าของบ้านบอกว่าจะได้เป็นแรงบันดาลใจ และปลุกไฟพวกเด็กๆ ที่เข้ามาใหม่ ให้มองเห็นเป้าหมายแจ่มจรัสบนเส้นทางที่เขาจะพาก้าวเดิน
เมื่อเดินตามหลังเจ้าของบ้านร่างสูงหนาเข้าไปยังห้องนั่งเล่น พวกเขาก็ได้พบกับเด็กหนุ่มสี่คนนั่งอยู่บนพื้นพรม เบื้องหน้ามีจอทีวีขนาดใหญ่ที่กำลังฉายภาพสนามฟุตบอลในเกม ทั้งเสียงเชียร์ปนเสียงโม้ ข่มผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามดังขรม เรียกว่าใช้ฝีปากมากกว่าใช้ฝีมือเสียอีก
พลันที่จิรภพปรบมือดังๆ สามที หนุ่มหน้าตาดีทั้งสี่ก็หันขวับมามองพร้อมกับลูกฟุตบอลที่ถูกปล่อยให้หลุดออกข้างสนามไปอย่างลืมตัว เสียงนกหวีดที่ดังลั่นห้องทำเอาฝ่ายเสียบอลร้องโหยเบาๆ อย่างเสียดาย ก่อนจะพากันลุกมาหาผู้จัดการและผู้ช่วยร่างเล็ก
“สวัสดีครับเจ๊จิลล์”
“เจ๊จ้า ไม่ได้เจอนานเลย”
“ไหนฮะน้องใหม่ เรามารวมตัวเตรียมปาร์ตี้รับน้องเลยเนี่ย”
เมื่อโดนรุมถามโดยไม่มีเว้นช่องให้ตอบ จิรภพก็ยกมือขึ้นทำนองให้พวกเขาหยุด ก่อนจะแนะนำเด็กใหม่ทั้งสองคนให้รู้จักเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน ที่เขาส่งข่าวไว้ว่าถ้าว่างก็มานั่งเล่น รอทำความรู้จักเพื่อนใหม่ที่คลับเฮาส์กันหน่อย เพื่อเป็นการสร้างมิตรภาพความเป็นพวกเดียวกันไว้ จะได้ไม่คิดย้ายสังกัดหรือดังแล้วแยกตัวกันง่ายๆ
แม้จิรภพจะคอยดูแลและตีกรอบให้ทุกคนสนิทสนมกลมเกลียว ไม่แก่งแย่งแข่งขันกันเอง เพราะแค่แข่งขันแย่งงานดีๆ กับสังกัดผู้จัดการคนอื่นก็ลำบากพออยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริง การที่แต่ละคนจะคิดนอกลู่นอกทาง หรือนึกเขม่นคนที่ได้ดีกว่าอยู่ในใจหรือไม่นั้น เขาคงไม่สามารถห้ามปรามได้ ขอแต่อย่าแสดงออกให้เห็น หรือสร้างปัญหากระทบกับภาพลักษณ์ความอบอุ่นของ ‘ครอบครัวเจ๊จิลล์’ ก็เป็นพอ
“แล้วไหนจ๊ะปาร์ตี้ รู้สึกคุณพี่จะเห็นแต่บ้านโล่งๆ กับพวกคุณน้องมารวมตัวกันเล่นเกมอยู่นี่” จิรภพจีบปากจีบคอย้อนถาม
“ไม่เชื่อเจ๊จิลล์ไปดูในครัวเลยครับ ของกินตรึม พี่ก้องจัดเต็ม”
ชื่อของก้องหรือกวินทร์... พระเอกเบอร์ต้นๆ ในสังกัด ทำให้จิรภพคิ้วขมวดอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าคนคิวงานแน่นอย่างเขาจะมารวมตัวในวันนี้ด้วย
แม้จะนึกไม่ถึง แต่เจ้าของบ้านก็ยังเดินไปตามคำชักชวนของเด็กหนุ่มทั้งหลายแต่โดยดี ทว่าการได้เห็นดาราสาวอีกคนปรากฏตัวอยู่ในห้องอาหาร ข้างๆ โต๊ะอาหารขนาดยี่สิบที่นั่ง ก็ทำให้จิรภพยิ่งแปลกใจเข้าไปอีก
“ยัยมีน มากับเค้าด้วยเหรอ” เสียงทุ้มร้องทักสดใส
มาลีรินทร์นั้นก้าวเข้ามาเป็นที่รู้จักด้วยการรับบทนางร้าย มีทั้งร้ายวีนและร้ายลึก ซึ่งเธอก็ทำได้ดีมาก เข้าถึงบทจนผู้ชมทั้งเกลียดทั้งด่ากันกระจาย จนจิรภพต้องปล่อยภาพความเป็นคนตรงๆ และเรียบง่ายของหญิงสาวออกไปถ่วงกระแส ดึงภาพติดลบของอีกฝ่ายคืนมาบ้าง ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะเอาไปขายงานแนวอื่นต่อ
“ค่ะเจ๊จิลล์ มีนไปเจอพี่ก้องที่กูร์เมต์พอดี เลยขอติดรถมาด้วยกัน”
มาลีรินทร์เอ่ยถึงซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีสินค้าเกรดพรีเมียมหลากหลายชนิดไว้ให้เลือกซื้อหา ซึ่งวันนี้เธอสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เรียบๆ ไปถ่ายรูปขณะเลือกผักสดออแกนิก แล้วโพสต์ลงในพื้นที่สาธารณะส่วนตัว เกาะกระแสรักสุขภาพอย่างที่แฟนคลับสายเฮลตี้ของเธอชื่นชอบ
“แล้วรถมีนไปไหนเสียล่ะ”
“คอนโดมีนอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นเองนี่คะเจ๊... มีนก็เลยเดินออกกำลังกายไปในตัว... ตอนแรกตั้งใจจะไปซื้อสลัดมาอัพเมนูคลีนๆ ให้แฟนคลับลองทำทานตามนิดๆ หน่อยๆ เองค่ะ” ดาวร้ายสาวสวยดวงใหม่ของวงการเอ่ยตอบ หลังจากวางชามไม้บรรจุผักสลัดหลากชนิดลงบนโต๊ะ
“มาได้จังหวะพอดีเลยเจ๊จิลล์ จ้า” เสียงของกวินทร์ดังแทรกขึ้นมา ในมือของคนที่เดินออกจากครัวมีถาดใบใหญ่ ใส่ซี่โครงอบและสเต๊กชิ้นโตชุ่มซอสฉ่ำส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
“มาครบแล้วก็เริ่มกันเลยไหมครับ เดี๋ยวใครบางคนจะหิวตาลายจนเป็นลมซะก่อน”
ใครบางคนที่เป็นผู้หญิงร่างเล็ก แม้วัยมากกว่าแต่ก็ไม่เคยถูกเรียกว่าพี่ ส่งค้อนให้คนแซวทันที เพ็ญนรีย่นจมูกใส่เขาเล็กๆ ก่อนจะโต้กลับ
“เหอะ! ก็ใครเอารูปอาหารมายั่วก่อนล่ะ คอยดูเถอะ! ไว้จ้าหิวจัดๆ ทนไม่ไหวขึ้นมา ได้มีกินหัวพระเอกให้เจ๊จิลล์เดือดร้อนหาคนใหม่แน่”
เมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน กวินทร์ส่งข้อความเข้ามาถามว่าอยู่ที่ไหน เมื่อเธอบอกว่ากำลังติดแหง็กบนถนนไม่ไกลจากคลับเฮาส์ รูปถ่ายซี่โครงหมูอบซอสบาร์บีคิวฉ่ำเยิ้มชิ้นโตก็ถูกส่งมายั่วราวจะต้องการแกล้ง จากที่ไม่รู้สึกหิวก็เลยเริ่มหิวจัดน้ำลายสอขึ้นมาทันที เลยแกล้งว่าเขาไปว่ากินของอร่อยไม่แบ่งคนหิวเป็นบาปหนา ขอให้ถ่ายละครเทคแล้วเทคอีกจนหิวโซตาลาย... ใครจะรู้ว่าเขาไม่ได้ไปทานที่ร้านไหนแล้วถ่ายมายั่ว แต่กลับซื้อมารอเสิร์ฟถึงที่นี่
คนที่จะถูกกินหัวกลับหัวเราะเสียงดัง ดวงตาคมจับจ้องใบหน้างอๆ ของสไตลิสต์สาวอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของพระเอกหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดยังคงดูเปิดเผยจริงใจจับตาคนมอง เหมือนที่เคยทำเอาจิรภพสะดุดตาและจับลากเข้าสังกัดเมื่อห้าปีก่อน
ส่วนด้านนักปั้นดาราที่โดนพาดพิงให้หาพระเอกใหม่กลับมองคนสองคนสลับไปมาแล้วส่ายหน้า เมื่อกวาดตามองดูอาหารบนโต๊ะที่พระเอกหนุ่มเป็นตัวตั้งตัวตีซื้อหามาซึ่งล้วนเป็นของโปรดของใครคนหนึ่ง เขาก็ต้องตวัดตามองแม่ผู้ช่วยร่างเล็กอีกครั้ง
จิรภพก็พอรู้ว่ากวินทร์นั้นแอบมีใจให้สาวรุ่นพี่มาสักพัก แต่เพราะถูกเขาขอร้องให้ช่วยสร้างกระแสคู่จิ้น ดันนางเอกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาได้ปีกว่าๆ กวินทร์จึงยังไม่ได้ออกตัวจีบสไตลิสต์สาวอย่างจริงจัง และยอมใจเย็นมาได้เพราะเห็นว่าหญิงสาวยังเป็นอิสระ ไร้วี่แววของคู่แข่งหัวใจมาปรากฏตัว
แต่มาวันนี้... จู่ๆ เพ็ญนรีก็มีหนุ่มลูกครึ่งคอยตามติด แถมยังคอยทำตาขวางใส่แสงตะวันที่ชอบเข้าไปแกล้งหยอก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหวงจัดขนาดไหน และกวินทร์เองก็คงจะสังเกตเห็นมันในไม่ช้าแน่นอน
จิรภพลอบถอนใจเล็กๆ จากนี้เขาคงทำได้แค่ต้องหาทางรับมือกับเรื่องวุ่นๆ ของหัวใจอันไม่ลงตัวที่อาจจะตามมา หาทางออกให้สวยงามดูดีและไม่เสียคะแนนนิยมที่สุดให้กับทุกคน...
โอ๊ย... แค่คิดไปล่วงหน้า เจ๊จิลล์ก็ปวดเฮด!
นั่นยังไง ที่คิดไว้ผิดเสียที่ไหน...
จิรภพที่นั่งอยู่หัวโต๊ะมองไปทางซ้ายมือของตนแล้วต้องกลอกตามองบน ก่อนจะคว้าแก้วน้ำเปล่าที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพขึ้นมาจิบ ไม่อยากจะรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้า
ภาพที่อยู่เบื้องซ้ายมือคือกวินทร์ที่นั่งอยู่ถัดจากเขา ต่อด้วยเพ็ญนรีและอาเธอร์ หนุ่มคนหนึ่งชี้ชวนพร้อมตักอาหารให้หญิงสาวได้ลองชิมของโปรดที่ตนเองตั้งใจซื้อมา ทำอ้างว่าขอไถ่โทษที่แกล้งยั่วให้เธอหิว วันนี้เลยจะบริการเป็นพิเศษ ในขณะที่หนุ่มอีกคนที่แม้จะดูเงียบเฉย ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากอาหารในจานของตน แต่เมื่อกวินทร์ยื่นมือไปจะช่วยหั่นสเต๊กให้หญิงสาวที่ใช้มือซ้ายไม่ถนัด อาเธอร์กลับคว้าเอาจานของหญิงสาวไปหน้าตาเฉย จากนั้นก็เลื่อนจานของตนที่มีสเต๊กหั่นชิ้นพอดีคำ ผักสลัดใบใหญ่ก็ถูกตัดให้เล็กลงจนสามารถใช้ส้อมจิ้มเข้าปากได้โดยสะดวกมาวางแทนที่
“นายมายุ่งอะไรกับจานของจ้า” กวินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงพยายามสะกดความไม่พอใจ
ส่วนอาเธอร์ก็ยังหน้าเฉยไม่สะทกสะท้าน เอ่ยด้วยเสียงเรียบต่ำ
“คุณจัดการตัวเองไปเถอะ ผมดูแลคุณจ้าเองได้”
ถ้อยคำสุภาพแต่กลับคล้ายคำสั่ง แถมกีดกันราวกับเขาเป็นส่วนเกิน ทำเอากวินทร์ยิ่งตาลุก แต่ยังไม่ทันได้โต้ตอบ เสียงหงุดหงิดของสาวคนกลางก็ดังขึ้นมาก่อน
“โอ๊ย... นี่! ไม่ต้องมาแย่งกันเป็นสุภาพบุรุษที่สุดในโลกแถวนี้หรอกย่ะ กินๆ ของตัวเองไปเถอะ ทั้งคู่เลย!” เพ็ญนรีปรามทั้งคู่แล้วก็ส่ายหน้า มือเล็กหยิบส้อมขึ้นมาจิ้มลงไปบนสเต๊กหมูชิ้นพอดีตำในจานแล้วส่งเข้าปากอย่างรวดเร็ว ไม่ขอทนกับความหิวอีกต่อไป
หญิงสาวเพิ่งเคี้ยวได้สองทียังไม่ทันกลืน กวินทร์ก็เอ่ยถามอย่างใส่ใจ
“อร่อยไหม”
เพ็ญนรีเลยแกล้งงึมงำตอบว่า ‘งั้นๆ’ ไม่ดังนัก เพราะยังมีอาหารในปาก แต่คนฟังก็รู้ว่าเธอแกล้งตอบเลยได้ส่ายหน้ายิ้ม
“ชอบก็กินเยอะๆ แล้วกัน” กวินทร์บอกแล้วก็ยิ้มอีกครั้ง ทอดสายตาอ่อนหวานมองสาวหน้าอ่อนใสที่เขาไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่มานานแล้ว
“เวลาเคี้ยวอย่าพูดสิ เดี๋ยวก็ได้สำลัก” จู่ๆ ชายหนุ่มที่ไม่ชอบพูดจา กลับเอ่ยแทรกในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะอ้าปากพูดโต้ตอบกับพระเอกหนุ่ม
และเป็นเพราะการกระทำผิดปกติของเขานี่เอง ที่ทำเอาคนถูกดุต้องเกิดอาการสำลักเข้าให้จริงๆ
“เห็นไหม...” อาเธอร์ตีคิ้วยุ่งเอ่ยเสียงดุ
แต่สองมือกลับช่วยยื่นส่งกระดาษให้คนไอจนหน้าแดง และลูบหลังบรรเทาอาการให้เธออย่างดี จนเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดไอก็ส่งแก้วน้ำยื่นจ่อให้ถึงปาก ซึ่งคนตัวเล็กก็ยอมจิบเข้าไปไม่เกี่ยงงอน ทั้งที่ดวงตากลมยังถลึงมองดุอย่างที่เขาอ่านคำกล่าวหาได้ชัดเจน
เมื่ออาเธอร์วางแก้วน้ำลงโดยไม่สนใจสายตาของคนทั้งโต๊ะที่จับจ้อง จิรภพก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกอย่างหมั่นไส้ผู้ช่วยสาว
“สำลักความสุขเหรอยัยจ้า”
“ความสุขอะไรกันเจ๊” เพ็ญนรีถามอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าอ่อนใสยังเป็นสีเข้มจัดจากการไอเมื่อครู่
“ก็มีเนื้อนุ่มๆ มารุมพร้อมเสิร์ฟขนาดนี้ ไม่สุขหรือไงยะ”
“งั้นก็สุขมั้งคะ”
คำตอบของสาวเสน่ห์แรงแบบที่เจ้าตัวเองยังมึนๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำเอาคนหัวโต๊ะต้องกลอกตา อ่อนใจกับคนที่ดูเป็นสาวเก่ง มั่นใจ เปิดเผยและสนิทสนมเข้ากับผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย แต่กลับมองทุกอย่างรอบตัวเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ตัดสินผู้คนจากการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นความรู้สึกที่ไม่แสดงหรือพูดออกมาให้ชัดเจน ก็อย่าหวังว่าแม่สาวจันทร์จ้าคนนี้จะรับรู้ อย่างมากก็แค่จินตนาการเพ้อเจ้อบ้าบอ ไม่ได้จริงจังไปวันๆ เท่านั้นเอง
“แล้วเป็นไงบ้างธรรม... โฆษณาตัวแรกออนแอร์เมื่อวาน”
คนหัวโต๊ะตัดสินใจเปลี่ยนประเด็น ไล่สอบถามเรื่องราวการทำงานของคนอื่นๆ ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อจุดสนใจถูกกระจายออกไปอย่างทั่วถึง ไม่ใช่การนั่งมองสองหนุ่มรุมเอาใจหนึ่งสาวอย่างเมื่อครู่
เมื่อการพูดคุยถามไถ่เป็นกันเองเริ่มก่อ ความครึกครื้นสนุกสนานก็เริ่มเกิด และปาร์ตี้เล็กๆ ต้อนรับสองหนุ่มน้องใหม่เข้าสังกัดก็จบลงด้วยดี แต่เหล่ารุ่นพี่ผู้เข้าสังกัดมาก่อนยังมีการรับน้องเบาๆ ด้วยการปล่อยให้ผู้มาใหม่เก็บล้างจานชามกันสองคน ในขณะที่พวกเขายกขบวนกันไปเปิดคาราโอเกะร้องเพลงที่ห้องนั่งเล่น รอเวลากลับออกจากคลับเฮาส์พร้อมๆ กัน
เสียงร้องเพลงของเด็กในสังกัดจิรภพนั้นไม่ธรรมดาเลย บางคนก็มาพร้อมพรสวรรค์ ขณะที่บางคนก็ไม่ได้เรื่องจนจิรภพต้องส่งไปเรียนอย่างจริงจัง เพราะ ‘เด็กเจ๊จิลล์’ ต้องมีความสามารถครบถ้วนทุกประการ ทั้งร้อง ทั้งเต้น และเล่นละครได้ โดยที่การเรียนต้องไม่เหลว ด้วยสโลแกนประจำตัวที่จิรภพคอยกรอกหูให้ทุกคนจดจำขึ้นใจ
‘แค่หน้าตาดี ไม่ได้การันตีว่าจะดัง!’
เมื่อแสงตะวันและตรัยภพทำงานตามคำสั่งรุ่นพี่เรียบร้อยแล้วก็เข้ามาสมทบที่ห้องนั่งเล่น เสียงร้องเพลงและบางครั้งยังมีการลุกขึ้นเต้นโชว์สเต็ปตามนักร้องต้นฉบับกันแบบจริงๆ จังๆ ดำเนินต่อไปอีกราวหนึ่งชั่วโมง จิรภพก็เป็นคนลุกขึ้นมาเปิดไฟ ปิดเครื่องเสียง พร้อมสั่งไล่ให้แยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน เตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานและการเรียนในวันรุ่งขึ้น
ในบ้านหลังใหญ่จึงเหลือเพียงจิรภพและเด็กหนุ่มอีกสองคนซึ่งเป็นเด็กต่างจังหวัดไม่มีญาติที่กรุงเทพ นักปั้นมือทองจึงให้พักอาศัยอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลาปีกกล้าโบยบินสู่โลกกว้างอย่างหมดห่วง
“วันจันทร์ให้ผมไปรับไหมจ้า” เสียงถามอย่างหวังดีจากกวินทร์
พระเอกหนุ่มเดินออกจากคลับเฮาส์มาพร้อมกับเพ็ญนรีและมาลีรินทร์ที่ติดรถมากับเขา โดยมีอาเธอร์ก้าวช้าๆ ตามมาด้านหลัง
“ไม่เป็นไร จ้าไปกับรถทีมงานได้”
“แล้วจะไปนั่งเบียดในรถตู้ทำไม มือก็เจ็บอยู่ ไหนจะเสียเวลาออกจากบ้านไปจุดนัดพบอีก” พระเอกหนุ่มตีหน้ายุ่งอย่างไม่เห็นด้วยนัก
“เอาน่า จ้าไปของจ้าได้แล้วกัน ไม่ต้องห่วง” เพ็ญนรียังคงยืนยัน
ขืนให้เธอไปกับอีกฝ่าย ก็คงได้ตกเป็นเป้าสายตาของคนในกองละครกันพอดี และถ้ามีข่าวประหลาดหลุดออกมา จิรภพคงได้แหกอกเธอที่ไปเป็นมือที่สาม ทำให้กระแสคู่จิ้นพระนางเพื่อเรียกเรตติ้งละครต้องด่างพร้อย
“ตอนนี้คือนายรีบไปส่งมีนเถอะ ถึงบ้านแล้วก็รีบนอนด้วยนะทั้งสองคน พักผ่อนเยอะๆ หน้าจะได้สดๆ เมคอัพง่ายๆ วันจันทร์เจอกันที่กองนะ”
หญิงสาวกำชับสั่งลา ก่อนจะหันไปบอกลาดาราสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ จบแล้วก็คว้าข้อมือคนร่างสูงให้เดินตามกลับไปยังรถของตน
“เป็นไงล่ะคะพี่ก้อง มัวแต่ช่วยเจ๊จิลล์ดันน้องแอล ตัวจริงเลยโดนหนุ่มอื่นคว้าไปแล้ว”
เสียงเย้าแหย่ของสาวร่างสูงโปร่งข้างตัว ดึงสายตาของกวินทร์กลับมาจากรถยนต์สีขาวคันโตที่กำลังเคลื่อนออกจากรั้วบ้าน ดวงตาคมภายใต้คิ้วเข้มฉายความไม่พอใจในคำพูดนั้นชัดเจน
ขายาวๆ ของพระเอกหนุ่มหน้าคมก้าวต่อไปยังแอสตัน มาร์ตินคันหรูของตน เมื่อเปิดประตูออกก็หันมาเรียกหญิงสาวที่ยังส่งยิ้มขัดสายตามาให้ พยายามเก็บงำความหงุดหงิดในน้ำเสียงไว้เต็มที่
“ถ้าจะกลับก็ขึ้นรถได้แล้ว”
อ่านต่อ >> กาลที่ 8 : กองถ่ายผีสิง
หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ ได้เลยค่ะ
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
โหลดฉบับอีบุ๊ค...
Meb : https://goo.gl/NMjUZU
The1Book : https://goo.gl/YBDkJg
Hytexts : https://goo.gl/AG1Hxy
Ookbee : https://goo.gl/FMfeuY
NaiinPann : https://goo.gl/X5dZpR
Google Play : https://goo.gl/ZJ8RWG
Dek-D : https://goo.gl/MyUR2K
No comments:
Post a Comment