รักข้ามเวลา ชุดกาลรักหนึ่ง
เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
กาลที่ 2 : เจ้าจิ๋วเจิดจ้า
เวลาบ่ายคล้อยและอากาศหน้าร้อนยังอ้าวระอุ
ณ มุมหนึ่งของสี่แยกใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ควันธูปหอมลอยคละคลุ้งราวหมอกควันไปทั่วบริเวณศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ เหล่าผู้เคารพศรัทธาหลั่งไหลมาจากหลายทิศทาง ทั้งมาขอพรนมัสการและทั้งมาขอบนบานในสิ่งที่ปรารถนา
ท่ามกลางกลุ่มคนชาวไทยและชาวต่างชาติ หญิงสาวร่างเล็กผมสั้นดัดอ่อนๆ สีน้ำตาลทอง คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพรหม ในมือเล็กที่ประนมไหว้มีธูปหอมสิบหกดอก บนแขนกลมกลึงมีมาลัยดอกดาวเรืองพวงใหญ่คล้องพาดไว้ จวบจนอธิษฐานขอพรพร้อมบนบานในใจเรียบร้อย เธอก็ยืดตัวไปปักธูปลงกระถางธูปเบื้องหน้า แล้วจึงค่อยลุกไปคล้องมาลัยถวาย
สีหน้าของหญิงสาวที่ถอยออกมายืนมองควันธูปนิ่ง ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลหม่นหมอง ดวงตากลมไร้แววสดใสและออกจะแดงระเรื่อ ไม่แน่นักว่าเพราะผ่านการร้องไห้ หรือเพราะควันธูปหนาแน่นชวนแสบตากันแน่
เพ็ญนรีอาจจะยืนอยู่นานกว่านั้น ถ้าหากภายในกระเป๋าดีไซน์เก๋ด้วยบล็อกสามเหลี่ยมสีชมพูเข้มใบเบาหิ้วสบาย แต่ราคาไม่เบาตามชื่อ จะไม่มีเสียงเพลงจังหวะสนุกดังขึ้นมาเสียก่อน หญิงสาวหลุดจากอาการเหม่อ ก้าวเร็วๆ ออกจากบริเวณศาลพระพรหมเพื่อไปยังจุดที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน พร้อมกับล้วงมือค้นหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าไปด้วย เมื่อเจอก็ยกขึ้นมามองรูปคนโทรเข้าแล้วกดรับสายทันที
“คะเจ๊?”
ผู้ที่โทรเข้ามาคือจิรภพหรือเจ๊จิลล์... หนุ่มหน้าหล่อ ร่างสูง กล้ามสวยที่รักชอบผู้ชายกล้ามสวยด้วยกันเอง ผู้จัดการดาราและนักปั้นดาวมือทองคนดังของวงการ ซึ่งเธอทำงานเป็นผู้ช่วยในส่วนของการดูแลเสื้อผ้าหน้าผม และปั้นแต่ง ‘สไตล์’ ของดาราในสังกัดให้
“เอ๊ะ? อ๋อ... เดี๋ยวจ้าไปดูให้ จ้ายังอยู่แถวๆ ห้างนี่แหละค่ะ”
สาวร่างเล็กเจรจาพร้อมออกเดินไปด้วยตามประสาคนทำอะไรรวดเร็ว สองเท้าก้าวขึ้นบันไดทางเดินใต้เส้นทางรถไฟฟ้าซึ่งเชื่อมต่อบรรดาสารพัดห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เพื่อย้อนกลับไปยังห้างใหญ่ที่เธอเพิ่งจากมา
เธอเพิ่งเหมาซื้อเครื่องสำอางตามออเดอร์ของจิรภพไปเรียบร้อย แต่อีกฝ่ายกลับมีของที่อยากได้เพิ่ม
“จ้าแวะไหว้พระพรหมน่ะค่ะ” เธอตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็ได้คำถามที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจย้อนกลับมา
“ยังทำใจไม่ได้อีกหรือยัยจ้า”
“จ้าขอมีหวังของจ้าต่อไปอย่างนี้ ดีกว่าให้ทำใจตามที่เจ้าหน้าที่พวกนั้นบอกมานะคะเจ๊” เสียงของหญิงสาวซึมหงอยลดความสดใส แต่ละก้าวที่เดินก็ลดความกระฉับกระเฉงลงทันตา
คุยกันต่อไม่นาน เธอก็จบการสนทนากับคนที่แสดงความห่วงใยมาให้ ก่อนจะเดินผ่านช่องตรวจสัมภาระเข้าไปในห้างขนาดใหญ่
ศาลพระพรหมที่เธอแวะไปกราบไหว้เมื่อได้โอกาสมาทำธุระแถวนี้ นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สิบเก้าที่เพ็ญนรีไปกราบไหว้ขอพรและว่ากล่าวบนบาน หลังจากอาทิตย์ก่อนได้เดินสายจุดธูปจุดเทียน ถวายดอกไม้และมาลัยมาแล้วเก้าวัด และเพิ่งกราบไหว้เพิ่มอีกเก้าวัดไปเมื่อวันก่อน
สาวโสดในวัยเกือบสามสิบ หน้าตาไม่สวยจัดแต่นับว่าน่ารักสดใส ฐานะมีอันจะกิน และยังมั่นใจในตัวเองอย่างเพ็ญนรี ก่อนหน้าเคยเป็นสาววัยใกล้คานในกลุ่มผู้พยายามทุ่มเทกับโค้งสุดท้าย ผู้นิยมตรวจสอบดวงชะตาและขอพรพระให้ได้เจอเนื้อคู่โดนใจเสียที
แต่เวลานี้... เธอไม่ได้กำลังเดินสายขอเนื้อคู่อย่างที่เคยนิยมเวลาไหว้พระทำบุญที่ไหนทั้งนั้น
เธอกำลังขอให้ได้เพื่อนรักของเธอกลับมาเสียที...
เพื่อนรัก... ที่พลัดตกหน้าผาและหายตัวไปอย่างเป็นปริศนามานานเกินสัปดาห์แล้ว
หญิงสาวร่างเล็กนั่งคุกเข่าประนมมืออยู่ท่ามกลางกลุ่มควันขาวหนาทึบ แต่น่าแปลกนักที่เธอไม่ได้กลิ่นควันเลยสักนิดทั้งที่ถือธูปอยู่กำใหญ่ หลังจากที่เอ่ยขอพรเดิมๆ จนกลายเป็นประโยคชินปากไปแล้ว เธอก็ลืมตาเงยหน้าขึ้นมองตรงไปเบื้องหน้า แต่แล้วจุดที่ควรเป็นตำแหน่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลับกลายเป็นแสงสว่างจ้าขาวโพลน หญิงสาวมองจ้องอย่างแปลกใจอยู่ไม่นาน ความสว่างนั้นก็ราแรงลง แล้วปรากฏเป็นร่างของคนๆ หนึ่งยืนอยู่ไกลๆ
ไอ้ขิม!
หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่เมื่อครู่ผุดลุกขึ้นยืนพรึบ ตะโกนร้องเรียกเสียงดังอย่างจำได้แม่น เสียงเรียกนั้นดังก้องสะท้อนไปมาซ้ำๆ ทับซ้อนกับเสียงฝีเท้าของเธอที่ออกวิ่งตรงเข้าไปหาเงาร่างของเพื่อนรัก
แต่ทว่าวิ่งเท่าไรก็ไม่ถึงตัว แถมเพื่อนรักยังขว้างอะไรบางอย่างคล้ายเชือกขดใหญ่เข้าใส่
เหวอ!..
เธอหยุดวิ่งในทันที ยืนอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโต แหงนมองจ้องเจ้าเชือกนั้นลอยวูบเข้ามาใกล้ ราวกับเป็นภาพช้า มันค่อยคลายตัวออกและขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหล่นพาดทับลงมาบนร่างเธอเต็มๆ น้ำหนักของมันหนักเสียจนเธอต้องลงไปทรุดนั่งกองกับพื้น เมื่อก้มมองสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่บนตักและพันรัดรอบเอวเธอไว้ก็ต้องร้องหาเพื่อนเสียงแตกตื่น
ไอ้ขิมๆๆ ช่วยด้วยๆ
แต่เพื่อนรักที่คอยปกป้องเธอตลอดมากลับยืนมองเฉย ปล่อยให้เจ้างูเผือกเกล็ดวาวเลื่อมตัวยักษ์เลื้อยพันรัดตัวเธอรอบแล้วรอบเล่า จนมาหยุดชูคออยู่ตรงหน้า ใช้ดวงตาสีทองน่ากลัวนั่นจ้องเธอเขม็ง ก่อนจะส่งลิ้นสองแฉกสีสดออกมาเลียแก้มเธอ... แผล็บ!
อี๋... ความชื้นแฉะตรงข้างแก้มนั้น ทำเอาหญิงสาวเบี่ยงหน้าหนีพร้อมยกมือปัดไล่ แต่ทว่ากลุ่มขนหนานุ่มที่หลังมือปัดไปโดน ตามด้วยเสียงเล็กแหลมแทรกฝ่าเข้ามาก็ช่วยปลุกให้เธอสะดุ้งตื่นจากความฝันสุดสยองขวัญ
เพ็ญนรียังไม่ทันได้ลืมตา เจ้าตัวซนที่ถูกปัดไล่ก็งับข้อมือเบาๆ เพราะคิดว่าเธอเล่นด้วย ก่อนจะหมุนตัวมาแลบลิ้นเลียหน้าเธออีกครั้ง
หญิงสาวเจ้าของเตียงรีบคว้าเจ้าตัวเล็กขนปุย กอดเอาไว้ด้วยมือหนึ่ง ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย พยายามสู้กับความง่วงลืมตามาก้มมองบนตักก็เห็นเจ้าตัวเล็กอีกตัวกำลังนอนคว่ำกางขาทั้งสี่ทับต้นขาของเธอไว้ ลูกตากลมสีดำสุกใสมองจ้องมา พร้อมอวดลิ้นสีชมพูห้อยย้อย
“กวนแม่ทำไมแต่เช้า... ดุ๊กดิ๊ก กิ๊กกิ้ว”
ว่าแล้วก็รวบคว้าเจ้าสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนสองตัวมากอดรัด แกล้งฟัดแรงๆ ก่อนจะยอมปล่อยเมื่อเจ้าตัวซนเริ่มดิ้น คนที่ตื่นเต็มตาอมยิ้มมองตามเจ้าขนนุ่มสองตัวกระโดดลงจากเตียง แล้วหมุนตัวหันกลับมาส่ายหางกุดๆ เห่าเรียก เหมือนอยากจะเร่งให้เธอลงจากเตียงเสียที
เจ้าดุ๊กดิ๊กเป็นสุนัขเพศผู้ ที่ตัดแต่งขนส่วนลำตัวและขาจนเหลือแค่โคนขนสีขาว เหลือเพียงส่วนใบหน้ากลมดิกที่มีสีน้ำตาลอ่อน ส่วนเจ้ากิ๊กกิ้วเป็นคู่หูตัวเมีย เธอเลยไม่ได้ได้ให้ช่างตัดแต่งขนสีน้ำตาลครีมนั้นให้สั้นลงสักเท่าไร
เพ็ญนรีก้าวลงจากเตียงเดินตรงไปยังประตูห้องนอน ดึงเปิดออกให้เจ้าสองตัวซนที่เดินวนพันแข้งพันขาได้วิ่งปร๋อออกจากห้องไปก่อน ส่วนตัวเองก็เดินกลับมาเข้าห้องน้ำ จัดการธุระยามเช้า
ขณะที่กำลังยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจก หญิงสาวก็พิจารณาใบหน้าโทรมๆ และตาบวมๆ ของตัวเองไปด้วย
ดูท่าแล้วการนอนไม่หลับมาหลายคืนจะทำร้ายเธออย่างแรงจริงๆ
พักหนึ่ง หญิงสาวก็หวนคิดถึงความฝันเมื่อตอนใกล้ตื่น
งูเผือกตัวยักษ์ตัวนั้น...
หากเป็นเวลาอื่น เพ็ญนรีคงได้กระดี๊กระด๊ากับการฝันว่าถูกงูรัดครั้งแรกในชีวิต
แต่ครั้งนี้มันกลับมาพร้อมกับเพื่อนรักของเธอ เธอไม่อยากจะคิดถึงแง่ร้ายๆ ที่ใจทั้งใจยังไม่อาจยอมรับได้ ไม่อยากคิดต่อไปเลยว่าการที่เพื่อนรักมาเข้าฝันเธอได้นั้น มันหมายถึงอะไรกัน
‘สิ่งที่รอคอยจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า
ดอกไม้กล้าเบ่งบานจากหินผาแกร่ง
ลองพิศ สัมผัส เชยชม อย่าเมินหนี
ในความทุกข์ยังมีความสุขอันงดงาม...’
จู่ๆ คำทำนายของแม่หมอฟ้ากระจ่างก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด
เมื่อสามวันก่อนเธอได้ไปหาหมอดูคนดังอีกครั้ง เพื่อลองถามดวงชะตาเพื่อนของเธอที่เคยชักชวนกันไปดูดวงเมื่อไม่นานมานี้ แต่แม่หมอกลับตีหน้าขรึมเครียดและบอกว่ามองไม่เห็น เธอจึงเปลี่ยนคำถามเป็นว่าเธอจะสมหวังกับการรอคอยหรือไม่
วันนั้นเธอยังตีความคำทำนายที่ได้รับอย่างเชื่อมั่นว่าเพื่อนที่รอจะกลับมาในไม่ช้าแน่นอน
‘ดอกไม้กล้า’ จะต้องหมายถึงฝนปรายที่ร่วงตกหน้าผาไปแน่ๆ และหลังจากที่เธอทนทุกข์อยู่อย่างนี้ สุดท้ายความสุขจะต้องกลับมาหาเธอ...
แกจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยสิ
จริงไหมไอ้ขิม...
อาเธอร์นั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงทรงเรียบ เบื้องหน้าคือแผงบังคับยานข้ามเวลา บนหน้าจอกำลังแสดงข้อมูลต่างๆ มากมาย
ก่อนหน้านี้ยานข้ามเวลาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสง แทบเรียกว่าเป็นการวาร์ปมาจากปากรูหนอน สถานที่ลี้ลับในจักรวาลที่เวลาไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรง แต่กลับหมุนเวียนวกวน เกิดเป็นทางเชื่อมข้ามผ่านระหว่างอดีตกับอนาคต
จนเมื่อเดินทางมาใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง ยานก็เริ่มลดความเร็วลง กล้องด้านหน้าเริ่มจับภาพให้เห็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินตรงหน้า
แรงไหวสะเทือนจนยานโคลงเคลงเกิดขึ้นในทันทีที่ยานปะทะเข้ากับชั้นบรรยากาศของโลก เพียงไม่กี่นาทีก็สั่นสะเทือนแรงขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเขานำยานข้ามเวลาร่อนลงจอดบนพื้นโล่งกลางป่าผืนใหญ่แห่งหนึ่ง
นักข้ามเวลาหนุ่มตรวจสอบข้อมูลมากมายที่วิ่งแล่นอยู่บนหน้าจอ เมื่อมั่นใจว่าเดินทางมาถึงช่วงเวลาที่ต้องการเรียบร้อยก็ดับเครื่อง ก่อนจะเปิดไฟภายในยานให้สว่างขึ้น
มือขาวกระจ่างหยิบเข็มทิศกาลเวลาจากแท่นครอบแก้วเบื้องหน้าขึ้นมาสวมคล้องคอไว้ดังเดิม ก่อนจะลุกจากที่นั่ง หมุนตัวไปด้านหลังเพื่อสำรวจอาการผู้ร่วมทาง
ฝนปราย... หญิงสาวจากกาลอดีต ผู้ซึ่งถูกนักข้ามเวลาของยูไนเต็ดที่สิบสามเก็บตัวเธอติดยานไปยังอนาคตโดยไม่รู้ตัว... ในรอบการเดินทางเดียวกับแผ่นบันทึกการแสดงที่มีเบาะแสเกี่ยวกับอีธานพวกนั้น
เมื่อเขาได้รู้ข่าวว่ามีผู้ต้องการว่าจ้างให้นำตัวเธอกลับมายังห้วงเวลาของเธอ อาเธอร์จึงไม่ลังเลเลยที่จะรับงานซึ่งตรงกับความต้องการของเขาเข้าพอดี แลกกับการที่หญิงสาวจะช่วยเหลือให้ที่พัก และปกปิดตัวตนของเขาตลอดเวลาที่อยู่ในยุคปีสองพันเศษๆ
อาเธอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นผู้ที่สมควรยังหลับใหลอ่อนเพลียอยู่ในแคปซูลชนิดพิเศษซึ่งออกแบบมาสำหรับการท่องเที่ยวข้ามกาลของมนุษย์ทั่วไป กลับลุกขึ้นมาได้ก่อนที่เขาจะขยับไปปลุกเธอเสียอีก
“รู้สึกยังไงบ้าง” เสียงนุ่มรื่นก้องกังวานชวนฟังเอ่ยถาม
หญิงสาวจากกาลอดีตก้าวออกมาจากแคปซูล ก่อนจะยืนหลับตา ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก “ก็... มึนๆ ตื้อๆ เหมือนนั่งเรือฝ่ามรสุมมาอย่างนั้นล่ะค่ะ แต่ก็ยังโอเคนะคะ”
นักข้ามเวลาหนุ่มกวาดดวงตาสำรวจอาการของหญิงสาวให้ดีอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีอาการเมาเวลาร้ายแรงก็ค่อยคลายใจลง เขาขยับไปคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่สองใบขึ้นมาสะพายบนไหล่ข้างละใบ
“ถ้ามิสยังไหว เราต้องรีบออกจากยานกันก่อน ผมจะได้รีบเก็บยานข้ามเวลาไม่ให้ใครมาเห็นเข้า” เขาเอ่ยเรียกให้เธอเดินตาม
การเดินทางข้ามเวลาทุกครั้ง เขาจะต้องระมัดระวังไม่ให้ใครมาพบเห็นยานข้ามเวลาหรืออุปกรณ์ไฮเทคจากยุคปีสามพันเข้า เพราะมันอาจถูกบันทึกภาพและส่งต่อกระจายออกไปในวงกว้าง ซึ่งอาจทำให้เกิดเรื่องราวบิดเบือนและความวุ่นวายตามมา อย่างที่เคยมีนักข้ามเวลาบางกลุ่มถูกเก็บภาพยานข้ามเวลาเอาไว้ได้ และถูกเหมารวมไปเป็นพวกเดียวกับยานอวกาศจากต่างดาวเสียอย่างนั้น
อาเธอร์เดินนำฝนปรายออกมาจากยานข้ามเวลา วางกล่องไฟส่องสว่างที่ช่วยขับไล่ความมืดของยามค่ำคืนไว้บนพื้น ก่อนจะหันมาจัดการใช้ปืนย่อขยาย ยิงย่อส่วนยานจนเหลือขนาดเพียงครึ่งท่อนแขน เก็บมันลงกล่องทรงกระบอกแล้วยัดมันลงในกระเป๋าเป้ ซุกซ่อนพาหนะจากอนาคตไว้อย่างสะดวกง่ายดาย
จากนั้นชายหนุ่มก็ค้นเอากล่องใบเล็กเพียงครึ่งฝ่ามือมาวางบนพื้น สะกิดปุ่มด้านบนเบาๆ แล้วก้าวถอยห่างออกมา เพียงสามวินาทีไม่ขาดไม่เกิน เต็นท์ขนาดย่อมก็กางผึงออกมาโดยไม่ต้องเสียแรงกางให้เปลืองเวลา
ชายหนุ่มวางกล่องสี่เหลี่ยมอีกใบไว้ด้านหน้าเต็นท์ ไม่นานมันก็ขยายกลับคืนรูปเป็นตู้คงสภาพอาหารขนาดย่อม ที่มีอาหารสำเร็จรูปเรียงอยู่ห้าหกกล่อง รวมทั้งน้ำดื่มและเอเนอร์จีบาร์นับสิบแท่ง
“เราต้องเตรียมตัวพร้อมเสมอ และถูกฝึกทักษะการเอาตัวรอดให้สามารถอยู่อาศัยได้ทุกๆ ที่ เผื่อเหตุฉุกเฉินกรณีที่เราแลนดิ้งไปยังถิ่นกันดารมากๆ” อาเธอร์อธิบายตอบสายตาสอดส่องสนใจของหญิงสาว
ขณะที่มือก็กรอกน้ำเข้าไปยังถาดรองชั้นล่างของกล่องอาหาร รอเพียงสองนาทีมันก็อุ่นร้อนด้วยปฏิกิริยาคายความร้อนจากสารเคมีภายในถาด เขายื่นให้คนที่ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ รับไป ก่อนจะจัดการกล่องของตัวเองต่อ
“ตอนนี้ เราอยู่ไม่ห่างจากจุดที่นักข้ามเวลากลุ่มที่เอาตัวมิสไปได้บันทึกการเดินทางไว้เท่าไหร่นัก พรุ่งนี้เช้าผมจะส่งโดรนนำทางเราไปหาแหล่งชุมชนที่จะช่วยเหลือเราได้”
อาเธอร์บอกเล่าแผนการคร่าวๆ ให้ผู้ร่วมเดินทางได้อุ่นใจ จากนั้นสองหนุ่มสาวก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารส่วนของตัวเองกันเงียบๆ โดยไม่ได้พูดคุยกันมากนัก จนเมื่ออิ่มเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงขยับมานั่งอยู่ตรงหน้าผู้ร่วมทาง เอ่ยถึงหนึ่งเรื่องสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้ชีวิตอยู่ในโลกโบราณปีสองพันเศษๆ ของเขา
ภาษาที่เขาใช้ในยุคสามพันสามร้อยนั้นเป็นการหลอมรวมหลายๆ ภาษาเข้าด้วยกันจนเป็นภาษาใหม่ แตกต่างจากภาษาต่างๆ ซึ่งเป็นรากเดิม และยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาษาพื้นถิ่นของประเทศเล็กๆ แห่งนี้เลย
“ตอนนี้ผมคงต้องขออ่านประสบการณ์ในอดีตของมิส เพื่อที่จะได้พูดจาไม่แปลกแยกจากผู้คนในยุคนี้”
แววตาสงสัยที่หญิงสาวมองมา ทำให้นักข้ามเวลาหนุ่มต้องอธิบายต่อ ทั้งที่ปกติไม่ค่อยชอบพูดอะไรยืดยาวมากความ
“ผมสามารถอ่านอดีตที่ผ่านมาของมนุษย์หรือสิ่งของต่างๆ ได้ แค่เพียงมิสมองตาและเปิดใจเพื่อให้ผมอ่านได้อย่างสะดวก ผมจะเจาะลึกแค่การใช้ภาษาและเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันพื้นฐานเท่านั้น ไม่ก้าวก่ายความทรงจำส่วนอื่นๆ”
อธิบายแล้วอาเธอร์ก็ขยับกายโน้มใบหน้าลงมาจนอยู่ในระดับสายตาของหญิงสาว และในทันทีที่ดวงตาสองคู่สบประสานกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลทองของนักข้ามเวลาหนุ่มก็เปล่งประกายเรืองสีทองวาบ ในขณะที่ดวงตาสีดำอีกคู่กลับนิ่งสนิทคล้ายตกอยู่ในภวังค์โดยไม่รู้ตัว
การอ่านของอาเธอร์ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที แต่หลังจากที่เขาถอนสายตาออกไป หญิงสาวก็คล้ายคนหมดพลังงาน เปลือกตาพลันปิดสนิทลงแทบในทันที ร่างที่นั่งอยู่เอียงวูบจะล้มฟุบ ยังดีที่มีท่อนแขนแม้ไม่หนาแต่ก็แข็งแรงของนักข้ามเวลาหนุ่มรองรับเอาไว้ได้อย่างสบายๆ
ชายหนุ่มอุ้มร่างที่หลับใหลไม่รู้สึกตัวเข้าไปนอนในเต็นท์ที่กางเตรียมไว้ จัดการรูดซิปปิดกั้นความเย็นจากภายนอกที่อุณหภูมิเริ่มลดลงเรื่อยๆ
อาเธอร์เดินกลับออกมานั่งลงข้างกองไฟกองเล็กจากถ่านสังเคราะห์ชนิดให้เปลวสว่างลุกโชนยาวนานต่อเนื่องกว่าสี่สิบแปดชั่วโมง ร่างสูงนับสองเมตรเศษนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง อีกข้างทอดยาวไปกับพื้นดิน กายแกร่งเอนไปด้านหลังเล็กน้อย สูดหายใจเอาอากาศสะอาดสดชื่นสบายปอด
เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าประดับด้วยดวงดาววิบวับมากมายแทบจะล้นฟ้า และที่สำคัญคือเป็นของจริงไม่ใช่ภาพจำลองบนหลังคาโดม ความสงบสวยงามอันเรียบง่าย แต่ทว่าหาโอกาสเห็นได้ไม่ง่ายเลยบนบลูแพลนต์ยุคสามพันที่ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยชั้นอากาศเปื้อนฝุ่นขมุกขมัว
มือใหญ่ล้วงมินิคอมพ์ทรงสี่เหลี่ยมแบนบางขนาดเท่าฝ่ามือที่มีแต่หน้าจอสัมผัสออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต แตะเลือกภาพหนึ่งขึ้นมา นัยน์ตาสีน้ำตาลทองมองจ้องหญิงสาวผมดัดหยิกจนเกือบฟูให้ดีอีกครั้ง ทั้งที่จดจำใบหน้าของเธอได้ตั้งแต่วันแรกเห็น ปลายนิ้วขาวสะอาดแตะปัดเลื่อนไปยังอีกภาพ ภาพที่เขาให้ทีมโปรแกรมเมอร์สร้างภาพจำลอง เพิ่มความคมชัดของสิ่งที่ห้อยอยู่บนคอของหญิงสาวขึ้นมาใหม่ แล้วสิ่งที่ได้ออกมาก็ยิ่งเป็นการยืนยันเพิ่มน้ำหนักให้กับความหวังอันน้อยนิดที่ครอบครัวของเขายึดเอาไว้
ความหวังที่เคยริบหรี่ เสมือนมองหาแสงดาวผ่านโดมกระจกในคืนวันเพ็ญ การตามหาที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนในตระกูลเบิร์นสไตน์ก็ยังไม่ล้มเลิกการตามหาเบาะแสของอีธาน
ข้อมูลต่างๆ บนวันสกาย... ระบบเครือข่ายข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่สุดของบลูแพลนต์ถูกดึงมาประมวลผลย้อนหลังไปเรื่อยๆ แต่แม้จะค้นหาย้อนกลับไปถึงสองร้อยปีแล้ว พวกเขาก็ยังไม่พบข้อมูล รูปภาพ หรือเรื่องราวใดที่อาจเชื่อมโยงถึงนักข้ามเวลาหนุ่มผู้หายสาบสูญได้เลย
ทว่าในตอนนี้เขาได้เบาะแสสำคัญมาอยู่ในมือแล้ว...
เบาะแสที่ยืนยันว่ายานข้ามเวลาของอีธานไม่ได้หลุดหายล่องลอยไปในห้วงอวกาศ... แต่ได้ข้ามเวลามายังบลูแพลนต์ในอดีตที่ห่างไกลเกือบหนึ่งพันสามร้อยปี
หลังจากได้อาบน้ำ เพ็ญนรีก็สดชื่นตื่นเต็มตา หญิงสาวร่างเล็กกลมกลึงมีน้ำมีนวลในชุดเสื้อยืดขาวสกรีนลายสวยกับกางเกงยีนส์ขาสั้น เดินตรงไปยังห้องครัวด้านหลังบ้านด้วยจังหวะก้าวกระฉับกระเฉง แล้วเธอก็ได้เห็นมารดากำลังเทอาหารกระป๋องใส่ชามของเจ้าสองตัวซนอยู่พอดี
“ตื่นสายเชียวหนูจันทร์” จินดามณีเงยหน้าขึ้นมาทักบุตรสาว
ทุกวันนี้ไม่มีคนเรียกหญิงสาวด้วยชื่อที่ฟังดูน่าเอ็นดูน่าทะนุถนอมขนาดนี้หรอก ยกเว้นเพียงบิดาและมารดาเท่านั้น
“นอนดึกไปหน่อยค่ะมี้ มีอะไรเหลือให้ทานบ้างคะ พอตื่นมาแล้วก็หิวมากเลย”
คนนอนดึกถามเสียงอ้อนแล้วก็หันไปเปิดตู้เย็น ไม่ได้จะมองหาของกิน แต่กลับหยิบช้อนที่แช่อยู่ในช่องแช่แข็งมาแตะประคบตาบวมๆ ตามประสาคนรักสวยรักงาม ระหว่างประคบก็เดินไปเปิดฝาหม้อที่ตั้งอยู่บนเตา เมื่อเห็นข้าวต้มเหลืออยู่ค่อนหม้อก็หันไปจะหยิบถ้วยมาตัก
“เย็นหมดแล้ว... เดี๋ยวให้พี่แดงอุ่นให้ก่อนดีกว่า”
จินดามณีวางชามอาหารของเจ้าขนฟูสองตัวไว้ตรงมุมห้องครัวแล้วหันมาบอกกับบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน ก่อนจะเรียกหาเด็กในบ้านมาสั่งให้จัดเตรียมอาหารเช้าไปให้ที่โต๊ะอาหาร
ครอบครัวสินคุณานันท์เป็นเศรษฐีใหม่ที่ร่ำรวยจากธุรกิจนำเข้าสิ่งทอ ก่อนจะขยายกิจการไปยังบริษัทรับเหมาติดตั้งผ้าม่านและวอลเปเปอร์ รวมไปถึงโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ที่มีโชว์รูมสินค้าและผ้าพิมพ์ลายในแบรนด์ของตนอยู่ในย่านชานเมือง โดยมีไพโรจน์ หนุ่มร่างท้วมเชื้อสายจีนวัยหกสิบเป็นหัวหน้าครอบครัว และมีคุณนายจินดามณี สาวไทยเสี้ยวจีนและมอญเป็นแรงสนับสนุนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และมีเพ็ญนรีเป็นลูกสาวคนเดียวที่บิดามารดาคอยตามอกตามใจทุกอย่าง
“หนูจันทร์หน้าโทรมๆ ไปนะลูก... วันนี้มีงานที่ไหนหรือเปล่า ถ้าไม่มี... ไปสปากับมี้ดีไหม” คุณนายจินดามณีในวัยเกือบหกสิบที่ยังดูอ่อนเยาว์เพราะดูแลตัวเองอย่างดี เอ่ยถามอย่างจับสังเกตระคนเป็นห่วง
“แล้ววันนี้มี้ไม่ไปโชว์รูมเหรอคะ”
“เพื่อลูกสาวคนเดียว มี้โดดงานได้อยู่แล้ว” คุณนายเจ้าของกิจการบอกกับบุตรสาวยิ้มๆ
“แต่วันนี้หนูไม่อยากออกไปไหนเลยค่ะ ไม่อยู่บ้านตั้งหลายวัน อยากพักผ่อนสักหน่อย มี้ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวหนูมาสก์หน้าอยู่บ้านนี่แหละค่ะ ไม่ยอมสวยน้อยให้เสียชื่ออดีตเทพีสงกรานต์ปากน้ำหรอกนะคะ” เพ็ญนรีแกล้งแซวมารดา จนเมื่อมีชามข้าวต้มมาวางตรงหน้าพร้อมกับน้ำส้มคั้นสดๆ ก็หันไปขอบคุณพี่เลี้ยง
“ไม่ให้มี้ห่วงได้ไง ถ้าหนูจันทร์ปกติดี จะลงมาทั้งที่ไม่มีคิ้วเหรอ”
หญิงสาวที่กำลังจะตักข้าวต้มเข้าปากชะงักในทันใด
ใบหน้าของเธอได้ส่วนสวยงามจากมารดามาครบ ทั้งดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย และคางเล็กเรียวที่ถ่วงความกลมจากการมีแก้มยุ้ยๆ ยกเว้นก็แต่... คิ้วบางๆ ที่แทบมองไม่เห็น
เธอไม่แต่งหน้าทาปากยังไงก็ย่อมได้ แต่ถ้าวันไหนไม่ได้เขียนคิ้วให้สวยเป๊ะ ก็จะหมดความมั่นใจในการพบปะผู้คนไปในทันที
แต่เพื่อไม่ให้มารดาเป็นห่วงจนเกินไป เพ็ญนรีจึงจำต้องเอ่ยปด
“หนูก็แค่ลงมาหาอะไรทาน แล้วจะกลับขึ้นไปขัดผิว มาสก์หน้าสักหน่อยไงคะ ก็เลยหน้าโล่งหัวฟูลงมาแบบไม่แคร์สื่อ... มี้ก็อย่าทักสิ” พูดจบก็ทำหน้ามุ่ยให้มารดา
พอเห็นท่าทางกระเง้ากระงอดของบุตรสาว จินดามณีก็ยิ้มขันออกมา แล้วยื่นมือไปหยิกแก้มเนียนนุ่มอย่างรักใคร่
“เอาน่า... จะมีคิ้ว หรือไม่มีคิ้ว หนูจันทร์จ้าของหม่ามี้ก็ so cute น่ารักที่สุดอยู่แล้ว”
เพ็ญนรีได้ยินก็ยิ้มกว้างสดใสรับคำยกยออย่างไม่มีขัดเขินหรือถ่อมตน
“ของมันแน่ที่สุดอยู่แล้วค่ะ ลูกสาวใครล่ะคะ”
จินดามณีนั่งรอเป็นเพื่อนจนบุตรสาวทานอาหารเช้าเรียบร้อยจึงค่อยออกจากบ้านไปทำงาน ส่วนเพ็ญนรีก็กลับขึ้นห้องไปหาแผ่นมาสก์บำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นเร่งด่วนมาวางโปะบนใบหน้า เป็นการขอโทษผิวหมองๆ จากการพักผ่อนไม่เพียงพอเสียหน่อย
ขณะนอนหลับตา ฟังเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ในห้องนอน หญิงสาวก็วางแผนว่าเสร็จจากนี้จะเดินไปบ้านเพื่อนรักซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน เพื่อไปพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนคุณยายดวงดาวให้หายเหงาเสียหน่อย
ทว่ายังไม่ทันครบกำหนดเวลาเอามาสก์ชีทออกจากใบหน้า พี่เลี้ยงของเธอก็เดินขึ้นมาเคาะประตูเรียก บอกว่าบ้านตรงข้ามมีเรื่องด่วน!
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ร่างเล็กก็กระโดดผลุงลงจากเตียงในทันใด หยิบมาสก์ชีทโยนลงถังขยะอย่างว่องไว ขณะก้าวเร็วรี่แทบเป็นวิ่งออกจากบ้านตามหลังลูกบัว... เด็กสาวที่คุณยายดวงดาวรับเลี้ยงไว้ ซึ่งเป็นคนมาแจ้งข่าว หญิงสาวก็ใช้ปลายนิ้วตบเบาๆ บนใบหน้าให้บรรดาสารบำรุงจากแผ่นมาสก์ยังที่ไม่แห้งดีซึมซาบเข้าสู่ผิวไปด้วย โดยที่ฝีเท้าไม่ชะลอช้าหรือสะดุดเลยสักนิด
และในเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมา... เพ็ญนรีก็วิ่งกลับมายังบ้านของตนเองด้วยอาการลนลาน บนใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มมีทั้งความตื่นเต้นยินดี ยินดีมากเสียจนอยากจะร้องไห้... ไม่สิ... เธอเสียน้ำตาไปแล้วเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนรักผ่านโทรศัพท์ นอกจากนี้ก็เป็นความร้อนใจและเป็นห่วงเพื่อนที่รอให้เธอไปรับโดยไม่มีเงินติดตัวสักบาท
หญิงสาวคว้ากุญแจรถได้ก็รีบวิ่งออกไปยังโรงจอดรถ โดยมีพี่เลี้ยงไล่ตามมาเรียกรั้งไว้สอบถามด้วยความตระหนกในอาการของคุณหนู
“ขิม! ขิมโทรมา... ขิมกลับมาแล้วค่ะพี่แดง! จ้าไปรับขิมนะคะ ฝากบอกมี้ด้วย” หญิงสาวตอบรัวเร็ว
“เดี๋ยวก่อนค่ะ แล้วคุณหนูจะไปทั้งตัวเปล่าอย่างนี้เหรอคะ”
ได้ยินสิ่งที่พี่เลี้ยงคู่กายซึ่งอายุมากกว่าเธอเจ็ดแปดปีเอ่ยท้วงแล้ว เพ็ญนรีก็ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถยนต์คันโต ใจเริ่มเย็นลงได้... เล็กน้อย
“งั้นพี่แดงช่วยหยิบกระเป๋าของจ้าบนห้องให้หน่อยนะคะ จ้าขอสงบสติอารมณ์รออยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่ง”
บอกพี่เลี้ยงไปแล้ว หญิงสาวก็ยืนนิ่งหายใจเข้าออกช้าๆ สะกดคำภาษาอังกฤษถอยหลังตามที่เพื่อนรักเคยแนะนำให้เธอลองทำเมื่อรู้สึกว่าเริ่มจะคุมอารมณ์ไม่ได้
แต่อีกห้านาทีจากนั้น... แม้จะพยายามสงบใจแล้วก็ตาม รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสีขาวคันโตแตกต่างจากร่างเล็กๆ ของเจ้าของก็ยังพุ่งออกจากรั้วบ้านไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติในจังหวัดกาญจนบุรีที่เพื่อนรักติดต่อส่งข่าวมา จากเดิมที่เพ็ญนรีมักขับรถได้หุนหัน ตัดสินใจรวดเร็วอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งเพิ่มความหวือหวาใช้ความเร็วมากกว่าปกติด้วยความใจร้อนโดยไม่รู้ตัวและควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
เมื่อถึงที่หมาย... เพ็ญนรีก็รีบกระโดดลงจากรถ วิ่งตรงเข้าไปหาเพื่อนรักที่เดินออกมาจากอาคารอำนวยการนักท่องเที่ยวของอุทยาน ร่างเล็กโผเข้าไปหาร่างที่สูงโปร่งกว่าและกอดรัดไว้แน่น เพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป
“ไอ้ขิมบ้า! ฉันตกใจกลัวแทบตายว่าแกจะหายไปแล้วไปลับ... ฉันร้องไห้เสียใจแค่ไหน แกรู้ไหม?.. วันๆ งานการแทบไม่ได้ทำ... เอาแต่เดินสายบนบานให้แกปลอดภัยกลับมาตั้งสิบเก้าวัดแล้วด้วย” เพ็ญนรีทั้งคร่ำครวญทั้งต่อว่าโดยไม่คลายอ้อมกอด
จนเมื่อคลายใจลงแล้ว ร่างที่เล็กกว่าเพื่อนเป็นคืบจึงค่อยผละห่างออกมา ใช้ดวงตากลมรื้นน้ำตานั้นมองสำรวจคนที่หายตัวไปเกือบสิบวัน แต่ในพริบตาแรกก็ต้องตะลึงกับผมสั้นกุดสุดแนว แต่ก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนสาวมาดนิ่งห้าวของเธอดูดีน้อยลงเลย
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหัวแกเนี่ย!”
เธอถามด้วยความเป็นห่วง ทั้งยังนึกเสียดายผมยาวสลวยถึงกลางหลังของเพื่อนอยู่ไม่น้อย
“พอดีมีเหตุนิดหน่อยน่ะ แล้วคุณยายล่ะ ไม่ได้มาพร้อมกันกับแกหรอกเหรอ” ฝนปรายตอบเลี่ยงไปแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง
“ฉันให้รอที่บ้าน... แกดูหน้าตื่นๆ ของฉันสิ มือก็ยังสั่นอยู่เลย... แล้วแกคิดว่าฉันจะกล้าให้คุณยายนั่งรถที่ฉันขับหรือไง” เพ็ญนรีชี้หน้าตัวเอง พร้อมแจงอาการตนเองอย่างพอรู้ตัวดี
“แกก็เลยเสี่ยงขับรถมาตั้งสี่ห้าชั่วโมงถึงนี่คนเดียว...” คนใจเย็นกว่าเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงคล้ายตำหนิด้วยความเป็นห่วงเพื่อนไม่ต่างกัน
“คนที่บ้านแก... หรือเพื่อนคนอื่นๆ ไม่มีเลยหรือไง?”
“ไม่รู้ล่ะ! ฉันรีบ ฉันไม่ทันคิด ฉันเป็นห่วงแก ฉันไม่อยากให้แกรอนาน... โอเคป่ะ?” คนใจร้อนรีบร่ายคำแก้ตัว
จบแล้วก็ใช้แววตากึ่งค้อนกึ่งน้อยใจช้อนขึ้นมองเพื่อน ไม่นานก็ได้เห็นฝนปรายถอนใจแผ่ว ยิ้มบางๆ พร้อมส่ายหน้าให้ ยกมือขึ้นผลักหัวกลมๆ ของเธอเบาๆ
“โอเค... แต่ครั้งหน้าอย่าทำอย่างนี้อีก มันอันตราย เข้าใจไหม”
“อือ...” เพ็ญนรีพยักหน้ารับ
“แต่แกต้องเล่ามาอย่างละเอียดให้ฉันหายห่วงด้วยว่าไปหลงป่าอยู่ไหน ยังไง ทำไมใครๆ ก็ตามหาไม่เจอ”
“ได้สิ งั้นรีบกลับกันเถอะ... ฉันคิดถึงแล้วก็เป็นห่วงคุณยายจะแย่แล้ว”
ได้ยินฝนปรายว่าอย่างนั้น เพ็ญนรีก็พยักหน้าให้พร้อมหมุนตัวกลับไปที่รถ แต่ทว่าเธอก็ต้องงุนงงหนักเมื่อเพื่อนรักไม่ได้รีบก้าวตาม แต่กลับหันไปเรียกใครอีกคน
เมื่อหญิงสาวมองตามไปก็เห็นชายหนุ่มลูกครึ่งวัยสักยี่สิบต้นๆ ที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลารวมเอาลักษณะเด่นของคนหลายเชื้อชาติมารวมกันไว้อย่างลงตัว ผิวของเขาขาวจัด ผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้น คิ้วเข้มหนาได้รูปพาดตรงเหนือดวงตาสีน้ำตาลทองสองชั้นลึกชัด ดวงตาคมคู่นั้นดูหวานเกินชายด้วยแพขนตาหนางอนยาว จมูกเป็นสันแต่ไม่โด่งเกินงาม และยังมีริมฝีปากบางได้รูปก็มีสีชมพูสดโดยธรรมชาติ
ร่างที่กำลังเดินตรงเข้ามาใกล้นั้นสูงเกินมาตรฐานชายไทยไปเป็นฟุต สูงมากจนเธอที่พิศมองความ ‘รูปงาม’ ของเขาเสียเพลิน ต้องแหงนหน้ามองคอแทบตั้งเมื่อเขามาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ยัยจ้า... นี่อาเธอร์ เขาเป็นคนพาฉันกลับมา” ฝนปรายสะกิดเรียกและเอ่ยแนะนำ
สไตลิสต์คนเก่งผู้ชื่นชอบชื่นชมคนหล่อคนสวยจึงค่อยรู้สึกตัว เธอดึงสายตากลับมาจากใบหน้าหล่อเหลา รูปลักษณ์ของเขาทำให้หญิงสาวเลือกเอ่ยทักเป็นภาษาสากลไปก่อน
แต่แล้ว... หญิงสาวกลับต้องตาโตแปลกใจปนตะลึง ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พร้อมส่งแววตากึ่งเสียดายกึ่งเข้าใจไปให้
เมื่อหนุ่มลูกครึ่งร่างสูงใหญ่ตอบกลับมาเป็นภาษาไทยชัดเจนเต็มคำ แต่หางเสียงกลับเพี้ยนเพศ!
“สวัสดีจ้ะคุณจ้า... ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อคันใหญ่มุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพด้วยความเร็วระดับปกติ ความร้อนใจของเพ็ญนรีจางหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความเริงร่ายินดีที่ทำให้ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มประดับไว้ตลอดเวลา ชักชวนเพื่อนสาวพูดคุยสอบถามเรื่องราวไม่หยุด
ฝนปรายบอกเล่าว่าหลังจากที่หล่นจากหน้าผา ก็ไปติดอยู่บนยอดไม้เลยช่วยให้รอดตายมาได้ราวปาฏิหาริย์ หลังจากนั้นเธอก็สลบไป แต่พอฟื้นขึ้นมา กลับไปโผล่ในป่าส่วนที่ไม่รู้จัก เธอเดินวนหลงอยู่ในป่าเกือบสามวัน ก่อนจะบังเอิญเดินมาเจออาเธอร์ ที่มากางเต็นท์พักผ่อนกลางป่าด้วยความปลงในชีวิต หลังจากถูกหลอกชิงทรัพย์เอาของมีค่าไปจนหมด
“โคตรจะเหลือเชื่อเลย แต่ก็โชคดีที่สุดที่แกเดินหลงไปจนเจอคนดีๆ อย่างนายอาเธอร์เข้า ไม่ใช่ผู้ชายอันตรายที่ไหน... นี่! นายอาเธอร์ ขอบคุณนะ”
เพ็ญนรีเอ่ยขึ้นมาหลังจากฟังเพื่อนเล่าจนจบ ตอนท้ายหญิงสาวยังเหลือบตามองผ่านกระจกมองหลังไปกล่าวขอบคุณกับผู้มีพระคุณของเพื่อน แต่เขากลับนั่งกอดอกหลับตานิ่งไปแล้ว
“อ้าว... หลับไปแล้วเหรอ” หญิงสาวดึงสายตากลับมาพึมพำกับตัวเอง แต่ครู่เดียวก็หันมาเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเพิ่งนึกได้
“ฉันนี่ก็ชวนแกคุยอยู่นั่น ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แกจะหลับไปก่อนก็ได้นะ ผจญภัยมาตั้งหลายวันคงจะเพลียอะดิ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วปลุกเอง ไว้ใจจันทร์จ้าการทัวร์ได้เลย”
“ไม่เป็นไร ตื่นเป็นเพื่อนแกนี่แหละ”
“เฮ้ย! ไม่เป็นไรๆ สบายๆ น่า ฉันรู้ว่าแกก็ต้องเหนื่อยต้องเพลียบ้างแหละ ขนาดผู้ชายตัวโตเป็นยักษ์ยังหลับไปแล้วเลย ไม่ต้องเกรงใจน่า เดี๋ยวหนังหน้าโทรมไปเจอคุณยายไม่รู้ด้วยนะ” เพ็ญนรีคิดแทนเพื่อนเสร็จสรรพ
“เรื่องนั้นไม่ห่วงเลย อย่างมากก็แค่โทรมพอๆ กับแกนั่นแหละไอ้คุณหนูจันทร์จ้า” ฝนปรายมองหน้าใสๆ ของเพื่อนแล้วอมยิ้ม “ได้ส่องกระจกก่อนออกจากบ้านบ้างรึเปล่า”
“หือ? ทำไม...” คนถูกทักเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาจากท้องถนน
“คิ้วไม่มา ตาไม่ได้ หัวก็เพิ้งสุดๆ เลย”
สิ้นคำสาธยายของเพื่อนรัก เพ็ญนรีก็ร้อง ‘ห๊า!’ ดังลั่นรถ ระดับเดซิเบลที่ถ้าหากชายหนุ่มซึ่งนั่งกอดอกอยู่ด้านหลังหลับอยู่จริงๆ คงจะได้สะดุ้งตื่น
“แต่แกรีบขนาดนี้ก็เพื่อฉันใช่ไหมล่ะ ขอบใจนะจ้า” ฝนปรายเอ่ยยิ้มๆ รับรู้ความห่วงใยของเพื่อนได้อย่างดี
“หึ! ไม่ต้องมาทำซึ้งเลยย่ะ ตบมาซะหัวหลุด แล้วมาลูบหลังตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว... แกก็หลับๆ ไปเลย ไม่ต้องมานั่งมองหน้าฉันแล้ว หมดกันๆๆ เสียเซลฟ์สุดๆ ขอแวะข้างทางเขียนคิ้วตอนนี้จะทันไหมเนี่ย”
อาเธอร์ที่นั่งหลับตานิ่งแสร้งหลับอยู่ด้านหลัง ขยับคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจในความกังวลของหญิงสาว นึกถึงใบหน้ากลมเกลี้ยงเกลานั้นแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีจุดไหนที่ทำให้ไม่กล้าพบหน้าผู้คนอย่างที่เธอคร่ำครวญ หากให้ตัดสินอย่างเป็นธรรม ใบหน้าเล็กๆ ไม่ถึงฝ่ามือนั้นนับว่าจัดอยู่ในเกณฑ์น่ารักน่ามองด้วยซ้ำไป
จะเสียก็แต่ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นที่จ้องเอาๆ อย่างไม่เกรงใจเมื่อแรกพบหน้า จังหวะนั้นเขาเห็นแววชื่นชมถูกอกถูกใจฉายชัด จนนึกเอือมว่าอุตส่าห์ย้อนเวลามาไกลขนาดนี้ เขายังหนีผู้หญิงหลงรูปไม่พ้น แต่ทว่าไม่นานแววตานั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นระยิบระยับยิ่งกว่าเก่าเมื่อเขากล่าวทักทาย... แววตาที่เปล่งประกายเจิดจ้าภายในกรอบดวงตาที่โค้งลงเป็นจันทร์เสี้ยวราวกับมันยิ้มได้
แล้วยังมีรอยยิ้มกว้างเปิดเผยเป็นมิตร ไม่ใช่ยิ้มตามมารยาท ยิ้มหยาดเยิ้มหรือยิ้มขัดเขิน มันเป็นอะไรที่เขาไม่คุ้นชินเอาเสียเลย จนเขาต้องหลับตาลงเสีย เพื่อหลบสายตาของคนช่างเจรจาอารมณ์ดีที่คอยเหลือบมองผ่านกระจกมาแจกยิ้มให้เขาเป็นระยะ
“เอาล่ะ ถึงแล้ว”
ประโยคที่คนขับเอ่ยขึ้นพร้อมกับพาหนะสี่ล้อที่หยุดลง เรียกให้
อาเธอร์ลืมตาขึ้นมา แต่แล้วเขาก็ต้องเก็บอาการสะดุ้งแทบไม่ทัน เมื่อใบหน้าเล็กล้อมกรอบด้วยผมสั้นหยิกฟูยื่นโผล่มาจากช่องว่างของเบาะด้านหน้า ก่อนจะฉีกยิ้มสดใสมาให้เห็นเต็มสองตา
“ไง? ตื่นแล้วเหรอ จ้าว่าจะสะกิดปลุกพอดี เงียบสนิท หลับสบายมาตลอดทางเลยนะนายอาเธอร์”
คนถูกเรียกว่า ‘นาย’ หน้าเคร่งขึ้น เขาอุตส่าห์เลือกใช้ถ้อยคำสุภาพเรียกอีกฝ่ายว่า ‘คุณ’ แท้ๆ แต่เธอกลับลามปามเห็นเขาเป็นเพื่อนเล่นหรือยังไง
ชายหนุ่มผู้ถือตัวเก็บความไม่พอใจเล็กๆ นั้นไว้ ไม่เอ่ยอะไรตอบ หันไปเปิดประตูก้าวลงจากรถ แต่ยังไม่ทันปิดประตูกลับ เขาก็ต้องคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคนในรถบ่นงึมงำ
“พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย... หยิ่งจริงเชียว”
อาเธอร์ส่ายหน้า ปล่อยคำพูดนั้นผ่านหูไป เขาเดินตามฝนปรายไปเปิดประตูท้ายรถเพื่อขนกระเป๋าเป้สองใบของเขาลงมา ก่อนจะเดินมาหยุดยืนด้านข้างตัวรถ ฟังหญิงสาวสองคนเอ่ยลากันผ่านหน้าต่างที่ถูกลดลง
แต่ในตอนท้าย... คนในรถก็หันมาเรียกเขาอีกครั้ง
“นี่!.. เกือบลืมแหนะ ขอบคุณมากๆๆ เลยนะนายอาเธอร์ ที่ช่วยเพื่อนจ้ากลับมา ขอบคุณจริงๆ”
อาเธอร์มองสบแววตาเปล่งประกายนั้นได้เพียงไม่นานก็เมินหลบ ไม่อาจรับเอาเรื่องครั้งนี้มาเป็นบุญคุณ หรือให้อีกฝ่ายซาบซึ้งใจอะไรมากมายขนาดนี้ได้ เสียงทุ้มต่ำนุ่มเนิบจึงเอ่ยปัดไปอย่างสุภาพ
“เรื่องเล็กน้อยเองค่ะ”
รอยยิ้มกว้างขวางของเพ็ญนรีถูกส่งมาอีกครั้ง จนคนมองยิ่งหน้ายุ่ง เขาเห็นใบหน้าเล็กพยักหงึกๆ ก่อนจะเอ่ยลา แล้วจึงค่อยเคลื่อนรถคันโตหายเข้าไปในรั้วบ้านฝั่งตรงข้าม
นักข้ามเวลาหนุ่มเดินตามฝนปรายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง บริเวณภายนอกล้อมรอบด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความรู้สึกร่มรื่นและมีกลิ่นหอมสดชื่น แต่ทว่าในความคิดของเขากลับมีภาพใบหน้าอ่อนใส แจกยิ้มทั้งปากทั้งตาตามติดมารังควานสลัดทิ้งไม่หลุด จนเมื่อรู้สึกตัวก็โยนความผิด นึกตำหนิอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจทันที
คนตัวจิ๋วนี่ออกจะเป็นมิตรเกินเหตุ และช่างแจกยิ้มฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อยหรือเปล่า
อ่านต่อ >> กาลที่ 3 : เด็กเจ๊
หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ ได้เลยค่ะ
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
โหลดฉบับอีบุ๊ค...
Meb : https://goo.gl/NMjUZU
The1Book : https://goo.gl/YBDkJg
Hytexts : https://goo.gl/AG1Hxy
Ookbee : https://goo.gl/FMfeuY
NaiinPann : https://goo.gl/X5dZpR
Google Play : https://goo.gl/ZJ8RWG
Dek-D : https://goo.gl/MyUR2K
No comments:
Post a Comment