รักล่วงเวลา ชุด กาลรักหนึ่ง
ผู้เขียน : แก่นฝัน
เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
กาลที่ 4 : แม่บ้านคนใหม่
“ทำไมเธอยังไม่ฟื้นเสียที แน่ใจนะว่าไม่มีส่วนไหนบาดเจ็บเสียหายร้ายแรง”
“อาการทางกายมีเพียงแค่ไหล่เคล็ด รอยแผลกับรอยฟกช้ำทั่วไป ซึ่งตอนนี้ฮีลลิ่งเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ที่เธอยังไม่รู้สึกตัวอาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลียเพราะเสียพลังงานไปมากจากการหลงข้ามเวลามามากกว่าค่ะ”
“อาจเป็นได้ งั้นคงต้องฝากเอาไว้ที่นี่อีกวัน...”
เสียงพูดคุยของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นอยู่ไม่ห่างจากตัวเธอนัก ฝนปรายที่นอนนิ่ง ลองตั้งใจจับความตามไปด้วยแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย หูของเธอดักความได้แค่เป็นคำๆ และรับรู้เพียงว่าเสียงของฝ่ายชายนั้นคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
เปลือกตาที่ปิดสนิทมานานข้ามวันเริ่มขยับยุกยิก ก่อนจะเปิดขึ้นรับความสว่างจ้าที่ทำให้เธอต้องปิดตาลงปรับสายตา แล้วจึงค่อยลืมขึ้นใหม่
สิ่งแรกที่เธอได้เห็นเมื่อดวงตาปรับการรับภาพได้ชัดเจน ก็คือใบหน้าหล่อเหลาเรียบกริบไร้รอยอารมณ์ของคนที่ยืนตระหง่านชิดขอบเตียง ซึ่งกำลังก้มลงมองหน้าเธออยู่ก่อนแล้ว
ทำไมนายมนุษย์ต่างดาวนี่ยังไม่หายไปจากฝันเสียทีเนี่ย!
ใบหน้าของหญิงสาวที่เพิ่งฟื้นฉายความยุ่งเหยิงสับสนกับสิ่งที่ได้เห็น ในใจยังไม่ยอมรับง่ายๆ ว่าสิ่งที่ได้รับรู้ก่อนหมดสติไปจะเป็นเรื่องจริง มันอาจเป็นฝันซ้อนฝันแล้วซ้อนฝันอีกที ซึ่งสมควรจะหายไปเมื่อเธอตื่นขึ้นมาจริงๆ
คีนส์ละสายตาจากการสำรวจสีหน้าประหลาดของคนที่คงยังรวบรวมสติได้ไม่ครบถ้วนดี ถอยห่างออกมาให้แพทย์หญิงประจำห้องพยาบาลของแอลเอซีโร่ได้ทำงานของเธอ แม้จะเรียกที่นี่ว่าห้องพยาบาล แต่อุปกรณ์การแพทย์และบุคลากรที่มีอยู่แทบไม่ต่างไปจากสถานรักษาชั้นนำสักแห่งเลย
ฝนปรายไม่ทันได้คิดอะไรต่อก็ต้องงุนงงกับประโยคไม่ยาวนักที่
หญิงสาวในเสื้อโค้ทสีขาวตัวยาวก้มลงมาพูดกับเธอ ก่อนที่มือในถุงมือบางๆ จะยื่นมาวางอะไรสักอย่าง ลักษณะกลมแบนคล้ายเหรียญแปะลงที่ข้างลำคอ หญิงสาวยอมอยู่เฉยเมื่อมันไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไร ระหว่างนั้นสายตาก็สอดส่องไปรอบๆ ห้องสีขาวสะอาดตา ตกแต่งเรียบๆ
เรียบมาก... แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรนอกจากเตียงที่เธอนอนอยู่ ม่านปรับแสงสีขาวถูกปรับให้ปิดช่องหน้าต่างบานใหญ่เอาไว้จนสนิท ความอยากรู้ทำให้ฝนปรายนึกอยากจะลุกขึ้นไปเปิดแหวกมันออกมาให้เห็นสภาพภายนอกเสียจริงๆ
ไม่นานเสียงปิ๊บเบาๆ ก็ดังขึ้นจากเจ้าเหรียญตรงลำคอ ดึงความสนใจของฝนปรายกลับมายังหญิงชุดขาวที่หยิบมันกลับไปไล่กดอ่านค่าบางอย่าง
“อุณหภูมิร่างกายปกติดีค่ะ ไม่มีการอักเสบใดๆ แสดงว่าอาการบาดเจ็บถูกฮีลทั้งหมดแล้ว หัวใจเต้นเร็วไปหน่อย น่าจะมาจากความตกใจไม่ใช่ความผิดปกติ เหลือสิ่งที่ต้องดูแลต่อไปน่าจะเป็นระดับเม็ดเลือดแดงที่ต่ำไปหน่อย อาจเหนื่อยง่ายในสภาพบรรยากาศต่ำกว่าเขตเอของบลูแพลนต์”
เสียงรายงานเรียบเรื่อยจากหญิงสาวผมซอยสั้นสีทองสว่างที่ฝนปรายลงความเห็นว่าคงจะเป็นแพทย์ และเป็นผู้ที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเธอจนรู้สึกว่าร่างกายเกือบจะเป็นปกติ ประโยคยาวเหยียดนั้นเข้าสองหูของคนที่ตั้งใจฟังชัดเจน แต่สมองของเธอกลับตีความให้เข้าใจได้ไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ต่างจากร่างสูงที่ตอบรับการรายงานนั้นด้วยการพยักหน้านิดๆ
คีนส์เหลือบตาลงมองใบหน้ายุ่งๆ ท่ามกลางผมยาวยุ่งเหยิงที่แผ่กระจายบนหมอน โดยไม่ต้องอาศัยการสื่อจิตใดๆ แค่เพียงอ่านจากสายตาสังเกตสังกาสำรวจทุกสิ่งรอบตัวเพื่อเก็บข้อมูล ก่อนที่สุดท้ายนัยน์ตาคู่นั้นจะมองจ้องตรงเป๋งมายังเขาด้วยแววคาดหวังรอคอย ชายหนุ่มก็รับรู้ได้แล้วว่าหญิงสาวกำลังอัดอั้นอยากได้รับคำอธิบายมากเพียงใด
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปทำอย่างอื่นเถอะ” เขาออกคำสั่งต่อแพทย์สาว
คนถูกสั่งกึ่งไล่อยากจะบอกเหลือเกินว่าตอนนี้เธอก็มีผู้ป่วยในการดูแลแค่หญิงสาวประหลาดคนนี้คนเดียว ไม่มีภาระหน้าที่อื่นอีก แต่เมื่อสบแววตาเรียบดุของผู้เป็นนายแล้วก็ต้องปิดปากเงียบ และเดินออกจากห้องพยาบาลไปอย่างอดเสียดายไม่ได้ เธอทำงานมาก็หลายปี แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ใกล้ชิดชายหนุ่มเจ้าของสถานที่แห่งนี้สักครั้ง จนกระทั่งเมื่อวานนี้ที่เขาให้คนสนิทอุ้มคนเจ็บคนนี้เข้ามาให้เธอรักษา
เมื่อแพทย์สาวออกจากห้องไปแล้วก็เหลือเพียงคีนส์และฝนปราย กับทีต้าร์ที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ห่างออกไป ตราบเท่าที่เจ้านายไม่ต้องการตัว เขาก็สามารถทำตัวราวกับไม่มีตัวตนได้เป็นอย่างดี
คีนส์ในวันนี้อยู่ในชุดแจ็คเก็ตหนังสังเคราะห์ชั้นดีสีดำที่ไม่ได้รูดซิปด้านหน้า เผยให้เห็นเสื้อตัวในสีเทาเงินที่กระชับตัวจนเห็นลอนคลื่นของแผงอกหนาและกล้ามท้องลอนสวยได้ชัดเจน แต่ภาพยั่วสายตาหญิงสาวทั้งหลายนั้นไม่สามารถเรียกความสนใจจากฝนปรายไปได้มากกว่าปลายนิ้วซึ่งโผล่พ้นถุงมือชนิดครึ่งข้อที่ยื่นเข้ามาใกล้ ไม่นานมันก็แตะลงบนหน้าผากสมกับที่รอคอย
‘ตกลงเป็นเรื่องจริงเหรอคุณ ที่ฉันหลุดมาโลกอนาคตอะไรเนี่ย... ฉันไม่ได้ฝันบ้าเพ้อเจ้อไปเองใช่ไหม’
มุมปากของคนที่ถูกคลื่นความคิดกระแทกเข้ามาจู่โจมกระตุกขึ้นนิดๆ อย่างที่ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น แม้แต่ตัวเจ้าของเอง
‘ใจเธอเองก็รู้ดีอยู่แล้ว’
ฝนปรายชะงักไปทันทีที่ได้รับคำยืนยันราบเรียบนั่น จริงอย่างที่เขาบอก อันที่จริงในใจเธอเองก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่การคิดไปเองหรือมีใครมาล้อเล่น แต่จะให้เธอยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ก็แสนจะเหลือเชื่อ
‘แล้วฉันมาอยู่นี่ได้ยังไง’ หญิงสาวถามต่อไป
‘ฉันคิดว่าเธออาจหลงไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา เลยติดมากับป่าที่พวกนักข้ามเวลาเก็บมาจากอดีต แล้วก็เป็นฉันที่ซื้อป่าที่ว่านั่นมาอีกที’
ส่วนหนึ่งในใจของคีนส์หวนนึกถึงความต้องการครอบครองผืนป่านั้นอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในงานประมูล... ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกของเขาชี้ทางผิดพลาด ทำให้ต้องมาพบเจอกับสิ่งยุ่งยากมีชีวิตคนนี้เข้าให้
‘นักข้ามเวลา?..’ ฝนปรายถามถึงคำสะดุดหู
‘พวกเขาเป็นกลุ่มมนุษย์ที่มีความสามารถท่องกาลเวลาได้’
คีนส์บอกเล่ากระชับ ไม่คิดจะอธิบายลงไปให้ละเอียดต่อไปว่านักข้ามเวลาเหล่านี้เป็นคนเฉพาะกลุ่ม ที่มีจำนวนจำกัดเสียยิ่งกว่าพวกที่สามารถสื่อจิตได้อย่างเขาเสียอีก เพราะในการข้ามเวลาแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังจิตมหาศาลในการบังคับกำหนดจุดเวลา ยิ่งต้องการให้แม่นยำมากก็ยิ่งสูญเสียพลังมาก รวมถึงใช้พลังกายที่ต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อต้านทานกับการเดินทางด้วยยานข้ามเวลาความเร็วสูง พุ่งทะยานไปสู่ปากรูหนอนที่ภายในเป็นอีกมิติที่เต็มไปด้วยความบูดเบี้ยวของห้วงเวลา อุโมงค์ที่นักข้ามเวลาใช้เป็นประตูทะลุมิติที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อราวสามร้อยปีก่อนว่าซ่อนตัวอยู่ในห้วงอวกาศไม่ไกลจากเส้นโคจรของดาวพลูโต
‘งั้นพวกเขาก็ต้องสามารถส่งฉันกลับไปได้ใช่ไหม’ ประกายแห่งความหวังฉายจรัสขึ้นมาในแววตาคนถาม
‘ยาก’
คีนส์ดับความหวังทันทีอย่างเฉยชา ทว่าประกายตาที่หม่นวูบแต่ก็ยังจ้องมาอย่างรอคอยทำให้เขาต้องอธิบายต่อ
‘การกลับไปยังช่วงเวลาที่เธอเคยอยู่อย่างแม่นยำไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ และพวกนักข้ามเวลาก็ไม่เคยคิดทำอะไรให้ใครฟรีๆ’
การเดินทางของนักข้ามเวลาส่วนใหญ่จึงเป็นแบบสุ่มย้อนไปในอดีตโดยไม่เจาะจงเฉพาะปีใดเป็นพิเศษ เก็บของที่ต้องการด้วยปืนย่อส่วนใส่ลงกล่องขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือ เมื่อได้จำนวนจนพอใจและถึงเวลาที่กำหนด ก็จะถูกดึงกลับมายังปัจจุบันโดยมีฐานส่งยานเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงยานเหล่านั้นให้กลับมาอย่างถูกเวลา
ฝนปรายได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดหาทางออกว่าจะเอาอย่างไรต่อไปกับชีวิตในโลกใบใหม่ใบนี้ ความสิ้นหวังหรือยอมแพ้จมจ่อมย้ำทุกข์ย้ำเศร้าแทบไม่เคยอยู่ในวงจรชีวิตของนางสาวฝนปราย ในเมื่อเขาบอกมาเพียงแค่มันไม่ง่าย... ซึ่งนั่นแปลว่าความหวังที่จะได้กลับบ้านของเธอไม่ได้เป็นศูนย์
สองตาคมโตเหลือบมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงที่ดูแล้วก็ไม่ได้เป็นคนร้ายกาจอะไร เพราะเขายังอุตส่าห์พาตัวเธอมารักษาที่นี่
ถ้าหากนักข้ามเวลาอะไรนั่นต้องการค่าจ้างพาเธอไปส่ง คนตรงหน้าจะช่วยเหลือออกให้เธอได้ไหมนะ
ฝนปรายยังไม่ทันได้คิดเป็นคำถามออกไป คำตอบเย็นชาไร้ความเห็นใจจากคนไม่ร้ายกาจก็สวนกลับทันที
‘ไม่มีทาง!’
เขาเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่พวกกลุ่มชนนักบุญแสวงความหลุดพ้นด้วยการสละ ถึงจะต้องมาเสียสละเงินหลายล้านออกไปโดยที่มองไม่เห็นผลประโยชน์หรือผลตอบแทน
‘ใจดำ เย็นชาได้ใจจริงๆ’
ฝนปรายต่อว่าต่อขานคนบอกปัดไล่ความหวังที่กำลังจะจุดติดให้เหลือเพียงความริบหรี่จวนดับมอด แต่เมื่อรู้สึกว่าเขาจ้องมาด้วยแววตาดุดันยิ่งขึ้นและขยับจะถอนปลายนิ้วออกห่าง หญิงสาวก็รีบคว้ามือของเขาเอาไว้เสียก่อน แต่เพียงแค่เธอแตะถูกมือเขา ชายหนุ่มกลับสะบัดมือเธอออกอย่างแรง แล้วถอยออกไปหนึ่งก้าวพร้อมจ้องมองเธอเขม็ง
ไอ้ความรู้สึกลั่นเปรี๊ยะจากมือที่ถูกแตะจับ ลามมาตามท่อนแขนพุ่งวาบเข้าสู่กลางหัวใจราวถูกไฟช๊อตเมื่อครู่มันคืออะไรกัน
แรกนั้นคีนส์คิดว่าถูกอีกฝ่ายใช้อาวุธลับทำร้ายเข้าให้เสียแล้ว แต่นอกจากความแปลบปลาบและคันยิบๆ เพียงครู่เดียวก่อนจะจางหายไป ร่างกายเขาก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ อีก แถมเมื่อมองหน้าตัวต้นเหตุแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดี๋ยวสิคุณ ฉันยังมีเรื่องจะคุยต่ออีกนะ”
ฝนปรายไม่สนใจแววตาดุที่จ้องเขม็งมา ผุดลุกขึ้นนั่งได้รวดเร็วทันใจอย่างที่คาดไม่ถึงว่าอาการเจ็บระบมทั้งตัวจะหายสนิทได้รวดเร็วขนาดนี้ มือเรียวสีน้ำผึ้งเอื้อมไปหมายจะคว้าเป้าหมายที่หลุดมือไปอีกครั้ง แต่ร่างสูงใหญ่กลับขยับถอยห่างไปอีกจนเธอเอื้อมไม่ถึง
“ขอมืออีกหน่อยสิ”
เธอขอร้องทั้งที่รู้ดีว่าเขาคงฟังไม่รู้เรื่อง แต่กลับผิดคาดที่ร่างสูงนั้นเพียงผ่อนลมหายใจเบาๆ คล้ายหงุดหงิดติดรำคาญใจ ก่อนจะยอมส่งมือเข้ามาเจรจากับเธออีกครั้ง คราวนี้คนที่ลุกขึ้นมานั่งแล้วเป็นฝ่ายยื่นหน้าผากเข้าไปแตะปลายนิ้วอุ่นจัดนั้นเองอย่างใจร้อน
‘งั้นฉันของานคุณทำได้ไหม’
ฝนปรายแจ้งความต้องการออกไปทันที ไม่ว่าจะเพื่อการใช้ชีวิตอยู่หรือสะสมมันเพื่อเป็นค่าจ้างกลับบ้าน ‘เงิน’ ก็นับเป็นสิ่งแรกที่เธอต้องการ
คีนส์ใช้สายตาพิจารณา มองคนที่ปรับตัวปรับใจรับมือกับสถานการณ์แปลกประหลาดของตนเองได้อย่างรวดเร็ว พอใจอยู่บ้างที่หญิงสาวไม่ได้โวยวายไร้เหตุผล หรือพูดไม่รู้เรื่อง
ไม่สิ! ตอนนี้เธอก็ยังพูดและฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี... ชายหนุ่มลอบนินทา
‘แล้วเธอทำอะไรได้บ้าง’
ได้ยินคำถามแล้วฝนปรายก็ทบทวนถึงความสามารถของตนเอง เมื่อตอนอยู่โลกนู้นเธอมีอาชีพหลักเป็นช่างภาพอิสระ มีอาชีพเสริมเป็นนักดนตรีบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็เป็นดนตรีไทยที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะยังตกทอดมาถึงโลกยุคนี้บ้างหรือเปล่า งานอดิเรกคือซิ่งมอเตอร์ไซค์และเตะต่อยมวยไทย ไล่เรื่อยมาจนสะดุดกับฝีมืองานบ้านงานเรือนชาววังที่ได้รับมาจากคุณยาย
แต่เธอไม่คิดสักนิดว่าความสามารถพวกนี้จะเป็นที่ต้องการในยุคไฮเทคขนาดนี้ สุดท้ายฝนปรายจึงอ้อมแอ้มตอบไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
‘คุณมีงานอะไร ฉันก็ทำได้หมดนั่นแหละ...’
คีนส์มองคนที่นั่งนิ่งบนเตียง เงยหน้ามองสบตาเขาอย่างรอคอยคาดหวัง ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ให้กับตัวเองเมื่อความรับผิดชอบต่อชีวิตของหญิงโบราณคนนี้ต้องมาตกถึงมือ คนที่พูดจากับใครไม่รู้เรื่อง และอาจหนักหนาขนาดไม่รู้เรื่องการใช้ชีวิตประจำวันในยุคสมัยนี้เลยสักนิด แล้วเขาจะสามารถมอบหมายงานอะไรให้ทำได้
ทว่า... ชายหนุ่มใช้ความคิดอยู่เพียงไม่นานก็ได้คำตอบ
‘งานแม่บ้านพื้นๆ ก็คงจะได้สินะ’
หลังจากตกลงปลงใจรับงานแม่บ้านกับเจ้านายรูปหล่อแต่หน้านิ่งสุดใจเรียบร้อย ฝนปรายก็นั่งมองเขาพูดคุยกับแพทย์สาวอยู่ไม่กี่ประโยค ก่อนจะหันมาใช้สายตาออกคำสั่งและพยักหน้าน้อยๆ ให้เธอเดินตามออกจากห้อง
ขณะเดินตามเจ้านายหมาดๆ และคนของเขา สายตาของหญิงสาวที่เดินรั้งท้ายขบวนก็ส่ายสอดไปมาไม่หยุดนิ่ง ทางเดินโล่งสะอาดมีเพียงเพดานที่ส่องแสงสว่างเหมือนเป็นโคมไฟแผ่นใหญ่ทอดยาว สองข้างผนังสีขาวเรียบๆ มีเพียงช่องกรอบประตูสักสิบบานแทรกเว้นระยะห่างเป็นระเบียบ ตรงบานประตูนั้นเป็นกระจกฝ้าขุ่นที่เลื่อนเปิดอัตโนมัติแบบเดียวกับห้องที่เธอจากมา
ตลอดทางที่เดินผ่าน ฝนปรายเห็นคนหลายคนไม่ว่าจะอยู่ในชุดขาวอันบอกสถานะแพทย์เช่นเดียวกับหญิงสาวผมทองที่ให้การรักษาเธอ หรือแม้แต่คนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นชุดแขนยาวขายาวกระชับรัดกุมไม่ต่างกันนัก ทุกคนที่เดินสวนมาหรือไม่ก็คนที่เพิ่งก้าวออกจากประตูเลื่อน ต่างหยุดยืนนิ่งและค้อมศีรษะเล็กๆ ให้เจ้านายคนใหม่ของเธอ ท่าทางทำความเคารพอันเป็นสากลที่ทำให้ฝนปรายนึกรู้ว่าชายหนุ่มที่เดินตัวตั้งหน้ามองตรงไปข้างหน้า ไม่ชะลอฝีเท้าและไม่เสียเวลาหันไปทักทายคนเหล่านั้น คงจะ ‘ใหญ่’ และ ‘หยิ่ง’ ไม่ใช่เล่น
เดินมาไม่ไกลเท่าไหร่ ฝนปรายก็ก้าวผ่านกระจกบานเลื่อนใสแจ๋วซึ่งเป็นประตูหน้าของอาคาร และสิ่งที่จอดรออยู่ตรงหน้าก็ทำให้เธอตาโตมองสำรวจมันอย่างสนใจ หญิงสาวไม่รู้จะเรียกพาหนะที่อยู่ตรงหน้าว่าอย่างไรดี มันมีรูปทรงราบเรียบปราดเปรียวเหมือนรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงแต่ว่ามีความยาวเพียงสี่หรือห้าเมตร และมันก็มีล้อรองรับอยู่เหมือนรถยนต์ทั่วไป แต่ไม่ยักกะมีปีกเอาไว้บินอย่างที่จินตนาการเอาไว้จากที่เห็นตามหนังอนาคต
ประตูตอนหลังของแอร์โมบิลเลื่อนเปิดออกโดยฝีมือของผู้ที่นั่งอยู่หลังแผงบังคับที่ขับมาจอดส่งและรอผู้เป็นนายได้ครู่ใหญ่ ทีต้าร์ยืนรั้งรอให้ผู้เป็นนายก้าวเข้าไปนั่งตรงเบาะกว้างขวางตอนหลังเรียบร้อย แต่ผู้คุ้มกันหนุ่มยังตัดสินใจไม่ถูกว่าเขาควรตามเข้าไปนั่งตอนหลังกับผู้เป็นนาย แล้วให้หญิงสาวที่ตอนนี้มีฐานะเป็นแค่เพียงแม่บ้านคนหนึ่งไปนั่งตอนหน้า หรือเขาควรจะนั่งประจำด้านหน้าเหมือนเช่นเดิมดี จนเมื่อได้ยินคำสั่ง ร่างสูงใหญ่ผิวสีทองแดงจึงกดปุ่มดึงประตูด้านหน้าเปิดออกกว้าง หันกลับไปมองหญิงสาวที่ยังยืนนิ่งละล้าละลัง ก่อนจะผายมือแข็งๆ เป็นการบอกให้อีกฝ่ายขึ้นแอร์โมบิลได้แล้ว
สกายหันมามองหญิงสาวที่ก้าวขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ อย่างพิจารณา เมื่อวานตอนที่เขาเป็นคนอุ้มเธอออกมาจากป่าโบราณตามคำสั่งของผู้เป็นนาย สภาพของอีกฝ่ายยังขะมุกขะมอมผมเผ้ายุ่งเหยิง แตกต่างจากตอนนี้ที่ใบหน้าเนียนสะอาดฉายความแตกต่างแปลกตาออกมาเด่นชัด เมื่อเธอยิ้มน้อยๆ มาให้แทนคำทักทาย เขาจึงพยักหน้าน้อยๆ กลับไปให้ ก่อนจะกดปุ่มบังคับให้แอร์โมบิลเริ่มเคลื่อนที่
ฝนปรายมองสภาพสองข้างทางที่ผ่านไปอย่างสนอกสนใจเต็มที่ แต่เพียงไม่นานก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดแปลกใจไม่ได้ นอกจากผู้คนทั้งหญิงชายรูปร่างสูงใหญ่ในเครื่องแต่งกายเรียบๆ แต่ดูล้ำสมัยแล้ว สิ่งอื่นๆ รอบตัวนั้นแทบไม่ต่างจากโลกในยุคที่เธอจากมาสักเท่าไรเลย อาคารและตึกรามต่างๆ ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตสูงเสียดฟ้าอย่างที่คาดคิด กลุ่มตึกในบางช่วงยังเป็นสถาปัตยกรรมย้อนสมัยของทางยุโรปบ้างเอเชียบ้างเสียด้วยซ้ำ พื้นที่สวนดอกไม้หลากสีจัดแต่งอย่างสวยงาม สวนป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ดูสมบูรณ์และยังมีอาณาเขตกว้างขวาง ดูแล้วชื่นตาชื่นใจและช่วยปลอบประโลมคนไกลบ้านได้บ้าง ทุกสิ่งที่ได้เห็นไม่เหมือนโลกอนาคตอันแสนแห้งแล้งขาดแคลนธรรมชาติอันบริสุทธิ์สวยงามในจินตนาการของใครต่อใครตรงไหน
พ้นจากเขตสวนป่าก็มาเจอกับกำแพงสูงใหญ่คล้ายสร้างจากกระจกค่อนข้างใสตั้งตระหง่านขวางอยู่ตรงหน้า พอแอร์โมบิลเคลื่อนเข้าไปใกล้ ช่องประตูใหญ่ก็เปิดออกให้พาหนะที่เธอนั่งมาแล่นผ่าน จากนั้นไม่นานก็ตามด้วยอาการโหวงวูบในช่องท้องเหมือนอยู่ในลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนขึ้นสู่ที่สูงซึ่งเข้ามาจู่โจมโดยไม่ทันให้ตั้งตัว พร้อมกับภาพนอกหน้าต่างที่ปรากฏและเคลื่อนหายลงไปในแนวดิ่ง!
ฝนปรายรู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจผิดไปเอง ที่คิดว่าเจ้าพาหนะคันนี้ไม่มีปีกแล้วจะบินไม่ได้!
เมื่อแอร์โมบิลเคลื่อนขึ้นสูงจนถึงระดับของเลนชั้นที่ต้องการ สกายก็จัดการเชื่อมต่อระบบการขับเคลื่อนเข้ากับเลน ค่าใช้ทางถูกตัดเก็บโดยอัตโนมัติพร้อมๆ กับที่แอร์โมบิลคันกว้างขวางจะเคลื่อนไปข้างหน้ามุ่งสู่ที่หมายด้วยความเร็วสูงเต็มอัตราที่เลนชั้นพิเศษจะอนุญาต
โดยไม่มีผู้ร่วมทางคนใดใส่ใจสนใจหญิงสาวที่กำลังตาโตอ้าปากค้าง
เพราะเมื่อฝนปรายก้มมองยังจุดที่เธอเพิ่งลอยวูบจากมา ก็พบว่าอาคารบ้านเรือนทั้งหลาย รวมทั้งสวนดอกไม้และป่าผืนย่อมๆ นั้น ทั้งหมดที่เธอเห็นต่างเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้โดมกระจกรูปไข่ขนาดใหญ่ยักษ์ที่เธอหลงเข้าใจผิดไปว่าเป็นกำแพงสูง!
อาการวูบหวิวเข้าโจมตีช่องท้องของฝนปรายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเหมือนกล่องลิฟต์ที่ลวดสลิงขาดตกร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว แปลกนักที่ร่างของเธอไม่ลอยวูบขึ้นไปโหม่งเพดานรถอย่างที่นึกกลัวจนต้องจับยึดเบาะไว้แน่นตามสัญชาตญาณ ยานยนต์แห่งโลกอนาคตคันนี้คงมีกลไกอะไรสักอย่างที่ช่วยปรับถ่วงน้ำหนักร่างของเธอให้ติดกับเบาะที่นั่ง ไม่กี่วินาทีพาหนะที่เหินทะยานด้วยความเร็วสูงมาตลอดทางก็เปลี่ยนมาแล่นบนเลนภาคพื้นดินอีกครั้ง แล้วมันก็เหมือนเป็นภาพย้อนกลับ เมื่อมันแล่นผ่านเข้าไปในโดมกระจกอีกแห่งซึ่งฝนปรายมองเห็นจากตอนอยู่บนฟ้าแล้วว่ามีขนาดเล็กกว่าโดมที่เธอเห็นก่อนหน้าหลายเท่าตัว... แต่มันก็ยังใหญ่ประมาณสักสนามฟุตบอลที่จุคนดูหลักหมื่นขึ้นไปอยู่ดี
เมื่อผ่านประตูโดมเข้าไปแล้ว แนวป่าทึบ เนินทุ่งหญ้าโล่งๆ และสวนดอกไม้ก็เคลื่อนผ่านสายตาของหญิงสาวไปตามระยะทางที่เคลื่อนเข้าใกล้ศูนย์กลางของโดม ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าอาคารหลังใหญ่ขนาดน้องๆ คฤหาสน์ราคาแพงสักหลัง รูปทรงคล้ายกล่องใบโตวางเรียงซ้อนกันสามหรือสี่ชั้นโดยมีระยะเหลื่อมล้ำกันบ้างไม่ให้มันตรงทื่อจนเกินไป ผนังอาคารที่เห็นเป็นสีเขียวอ่อนนั้นแท้จริงคือวัสดุกึ่งกระจกโปร่งแสงที่ให้แสงสว่างส่องผ่านเข้าไปในตัวอาคารได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็สามารถผลิตพลังไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้ด้วยในตัว
ฝนปรายกำลังลังเลกับปุ่มจำนวนมากเกือบสิบปุ่มที่ปรากฏบนแผงควบคุมเล็กๆ ด้านข้างประตู ไม่รู้ว่าควรจะกดไปบนปุ่มใดดีถึงจะสามารถเปิดประตูออกได้ แต่ยังไม่ทันได้ลงมือสุ่ม ประตูแอร์โมบิลด้านเธอก็เปิดออกกว้างสมตั้งใจ หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองมาหน้านิ่งแต่แววตามีรอยยิ้มเจือเล็กๆ แล้วก็ต้องส่งยิ้มพยักหน้าไปให้
“ขอบคุณนะ” ฝนปรายเอ่ยออกไปทั้งที่รู้ว่าเขาคงฟังไม่รู้เรื่อง ก่อนจะก้าวลงจากแอร์โมบิล รีบสาวเท้าเร็วๆ ตามหลังเจ้านายที่เดินทิ้งระยะห่างไปไกลเกือบจะเข้าบ้านไปโดยไม่หันมามองหรือรอกันเลยสักนิด
การตกแต่งภายในบ้านหลังใหญ่ทำเอาความคาดคิดของฝนปรายพลิกคว่ำไปอีกรอบ เมื่อมันไม่ได้ราบเรียบเหมือนในห้องพยาบาลที่เธอฟื้นขึ้นมา และไม่ได้อัดแน่นเต็มไปด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หน้าตาล้ำสมัย แต่มันแทบไม่ต่างจากโรงแรมหรูห้าดาวของประเทศในโซนเอเชีย หรือไม่ก็บ้านของมหาเศรษฐีสักคนซึ่งชื่นชอบสะสมของเก่าและการตกแต่งแนวโอเรียนทัลอย่างเด่นชัด
ฝนปรายเดินผ่านฉากโปร่งตาซึ่งสร้างจากไม้ไผ่สีน้ำตาลทองลำโตตั้งสูงจรดเพดาน แต่ละลำต้นมีทั้งตั้งตรงและไขว้เอนเรียงอย่างสวยงามเป็นแนวแบ่งพื้นที่ระหว่างโถงทางเข้าและห้องรับแขก เธอมองเห็นแผงไม้สีแดงเข้มคล้ายบานประตูกลมของจีนประดับอยู่ตรงผนังด้านหนึ่ง ตรงกลางซุ้มประตูโค้งมีระฆังทองเหลืองขนาดสองแขนโอบรอบแขวนห้อยอยู่บนโครงไม้เนื้อแข็งผ่านการเช็ดขัดจนเงาวับ ขนาบข้างด้วยแจกันลายครามสูงเท่าเอวที่ปักกิ่งไม้แห้งเอนไหวสวยงามลงตัว และสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าชุดโซฟารับแขกก็ไม่ใช่โต๊ะกลางตัวเตี้ยทั่วไป แต่กลับเป็นหีบไม้ดูมีอายุเก่าแก่ที่มีลายแกะสลักอ้อยช้อยงดงาม
หากจะมีสิ่งไหนที่แสดงความล้ำสมัยของห้องนี้ ก็คงจะเป็นภาพของท้องทะเลยามเย็นที่คลื่นผิวน้ำสะท้อนแสงทองระยิบระยับภายนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่กินพื้นที่เต็มผนัง ด้านหน้าชุดโซฟาสีครีมชุดใหญ่ที่มีเจ้านายหมาดๆ ของเธอเพิ่งก้าวเข้าไปนั่ง
ทิวทัศน์ที่หากไม่รู้มาก่อนว่าบ้านหลังนี้ถูกโอบล้อมด้วยสวนดอกไม้แสนสวย เธอคงดูไม่ออกว่ามันเป็นของปลอม
“ให้คนไปตามยาเรียมามีอะไรหรือคะ”
เสียงที่ดังมาจากด้านหลังเรียกให้หญิงสาวหยุดการสำรวจและหันไปมอง ผู้มาใหม่เป็นหญิงผิวเข้มวัยน่าจะสักเกือบห้าสิบปี แต่ผมสีน้ำตาลเข้มตรงตัดสั้นเพียงปลายคางกระชากลดวัยไปมาก แถมยังดูแฟชั่นจ๋าด้วยริมฝีปากสีชมพูสว่าง เสื้อเชิ้ตและกางเกงสีเทาเข้าชุดดูทะมัดทะแมงพอๆ กับความคล่องแคล่วในการเดินเหินของเธอ
“ผมเก็บผู้ช่วยมาฝาก” คีนส์เอ่ยกับหัวหน้าแม่บ้านด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าที่ใช้กับคนทั่วไปหลายส่วน เพราะอีกฝ่ายทำงานให้กับมารดาของเขามานานตั้งแต่เขายังไม่เกิดเสียอีก และยังเป็นผู้ช่วยคอยเลี้ยงดูเขามาตลอด
“ผู้ช่วยหรือคะ” หญิงพ้นวัยสาวเอ่ยทวนคำ พร้อมมองตามสายตาของเจ้านายหนุ่มไปยังหญิงสาวแปลกหน้าที่เธอสังเกตเห็นตั้งแต่แรกที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้งด้วยสายตาพิจารณายิ่งขึ้น
“แต่ไม่รู้จะช่วยงานหรือช่วยเพิ่มภาระเหมือนกัน เธอพูดและฟังพวกเราไม่รู้เรื่อง เห็นมัมกับยาเรียเคยบ่นว่าอยากเลี้ยงเด็กอีกสักคนไม่ใช่หรือ งานนี้ถือว่าซ้อมกับเด็กตัวโตแต่ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มบอกเล่ากึ่งนินทาคนที่ฟังไม่รู้เรื่อง
“อะไรกันคะ นี่มิสเตอร์ไปเก็บเธอมาจากไหน”
“ของแถมจากพวกนักข้ามเวลาน่ะ”
ฟังคำตอบของเจ้านายที่อ่อนวัยกว่าหลายปีแล้ว ผู้ที่ต้องรับภาระดูแลของแถมก็ต้องตาโต นี่ไม่ใช่ว่าเจ้านายเก็บของเถื่อนผิดกฎการค้าของบลูแพลนต์เอาไว้กับตัวหรอกหรือ มนุษย์ด้วยกันแท้ๆ จะกลายเป็นสินค้าไว้ขายหรือแม้แต่เป็นของแถมให้กันได้ที่ไหน
แต่พอนัยน์ตาสีเทาของหัวหน้าแม่บ้านมองสำรวจใบหน้าสวยแปลก จมูกแม้ไม่สูงโด่งแต่ก็ได้รูปรับกับริมฝีปากอิ่ม นัยน์ตาและเรือนผมยาวสีดำสนิท แถมยังผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนเปล่งปลั่ง มองแล้วก็เห็นเสน่ห์ของหญิงงามแดนตะวันออกเข้มข้น หายากและแตกต่างจากผู้คนในยุคนี้ที่มักเป็นส่วนผสมหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ผู้ที่รู้ถึงความชื่นชอบส่วนตัวของชายหนุ่มเป็นอย่างดีก็คิดวิตกกึ่งเห็นใจเป้าสายตาของเธอไม่ได้
หวังว่าเจ้านายคงไม่คิดจะเก็บหญิงโบราณคนนี้เอาไว้เป็นหนึ่งในของสะสมอีกชิ้นหนึ่งหรอกนะ
เวลาล่วงผ่านไปสามคืนกับสามวันแล้ว ที่ฝนปรายเข้ามาอาศัยในบ้านที่เต็มไปด้วยของสะสมจากยุคเก่าดุจเป็นพิพิธภัณฑ์หลังใหญ่ หลังจากเจ้านายออกคำสั่งกึ่งไล่ทางสายตาให้เธอเดินตามยาเรียออกจากห้องรับแขกสไตล์จีนจ๋าวันนั้น เธอก็ไม่ได้เจอหน้าชายหนุ่มอีกเลย ในบางครั้งคนที่พูดจากับใครไม่รู้เรื่องจึงรู้สึกเคว้งนิดๆ เหมือนถูกเขาปล่อยเกาะอย่างไรบอกไม่ถูก
แต่คนอย่างฝนปรายก็ไม่เคยยอมเสียเวลาให้กับความรู้สึกแย่หรือท้อแท้อยู่นาน หญิงสาวเรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนในยุคสามพันนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ โดยมีต้นแบบให้คอยมองและลอกเลียนเก็บข้อมูลเป็นยาเรีย หัวหน้าแม่บ้านที่ช่างใจเย็นและเอ็นดูหญิงสาวข้ามเวลาคนนี้ไม่น้อย เรียกได้ว่าสามวันนี้หัวหน้าแม่บ้านเดินไปไหน ก็จะมีแม่บ้านคนใหม่ร่างเล็กบางเดินตามต้อยๆ เลยทีเดียว
ใช่เลย... ตอนนี้หญิงสาวที่สูงถึงเกือบร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรกลายเป็นคนร่างเล็กไปเลยเมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางผู้คนในยุคนี้ ยุคที่ผู้หญิงมีความสูงเฉลี่ยที่ร้อยแปดสิบ และผู้ชายจะสูงเฉลี่ยถึงสองเมตร
ฝนปรายขยับมือที่ถือไม้เส้นใยไฟฟ้าสถิตปัดเก็บกักฝุ่นที่อยู่บนแผ่นศิลาแลงสลักนูนสูงรูปนางอัปสราสี่นางในอิริยาท่าทางราวกำลังเริงรำ ซึ่งประดับอยู่ตรงผนังของชานระเบียงเปิดโล่ง ชุดเก้าอี้และเตียงริมสระวางตั้งอยู่ในส่วนที่มีอาคารชั้นบนยื่นออกมาเสมือนเป็นหลังคาบดบังแดด ถัดออกไปไม่กี่ก้าวก็เป็นสระว่ายน้ำสไตล์บาหลีที่ประดับโดยรอบด้วยกำแพงหิน น้ำตก และคู่เทพีหินทรายสลักรินน้ำลงมุมหนึ่งของสระดูสงบสวยงาม ความยาวของสระนี้ทอดยาวไปไกลจนเกือบสุดตัวบ้านด้านข้างเลยทีเดียว
“เจอแล้ว!..”
เสียงร้องใสแจ๋วทำเอาฝนปรายสะดุ้งตกใจ เมื่อเธอหันไปมองต้นเสียง ก็เจอกับเด็กหญิงรูปร่างผอมบางผมสีบลอนด์เทาเป็นลอนยาวถึงกลางหลัง ร่างสูงประมาณไหล่ของเธอนั้นกำลังหันข้างให้เพื่อจะร้องตะโกนอะไรบางอย่างเข้าไปในบ้าน
“อยู่นี่คะแกรนด์มัม!”
เพียงไม่ถึงนาทีหลังจากเสียงเรียกนั้น แกรนด์มัมของเด็กหญิงก็ก้าวตามมาปรากฏตัวยังชานบ้าน หญิงเลยวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานด้วยเชิ้ตขาวแขนสั้นกับกางเกงสีเทาเนื้อผ้าพริ้วไหว ผ้าผืนเล็กนิ่มลื่นลายสวยผูกประดับไว้ที่ลำคอระหง ผมยาวสีน้ำตาลเทาขมวดเก็บไว้ตรงหลังท้ายทอยเรียบกริบดูดี
แม้จะไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร แต่พอเห็นยาเรียเดินตามมาและหยุดยืนเยื้องหลังอีกฝ่ายด้วยท่าทีเคารพ ฝนปรายตัดสินใจเอ่ยทักทายไปก่อน ด้วยคำศัพท์ที่เธอเร่งเก็บบันทึกไว้ในความจำทีละคำสองคำ
“สวัสดีค่ะ”
มาดามเมเรนตอบรับคำทักทายสำเนียงแปร่งด้วยการพยักใบหน้าเรียบเฉยช้าๆ นัยน์ตาสีเทาอมฟ้าจับจ้องมองมายังหญิงสาวในชุดแม่บ้านซึ่งเป็นชุดเสื้อมีปกแขนสั้นกับกางเกงสีน้ำเงินเข้ม เธอซึ่งอาศัยอยู่คนละตึกแต่อยู่ไม่ห่างไปจากที่นี่นัก เพิ่งจะได้ข่าววันนี้เองว่าลูกชายคนโตรับหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน ร้อนใจจนตามยาเรียไปสอบถามจึงรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ถูกรับเข้ามาเป็นแม่บ้านเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดพิเศษ แต่กระนั้นคนเป็นแม่ก็ยังไม่วางใจจนกว่าจะได้มาเห็นความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายกับตา
พอได้เห็นแล้วว่าหญิงสาวหน้าแปลกคนนี้กำลังทำงานเช็ดถูอยู่จริงๆ ก็ค่อยคลายใจลงไปส่วนหนึ่ง
“ยาเรียก็บอกมาดามแล้ว” เสียงของคนสนิทที่อายุมากกว่าบอกเสียงยืดนิดๆ แฝงแววกระเง้ากระงอด ทำไมจะไม่รู้ว่านายผู้หญิงไม่ยอมเชื่อเธอเพราะคิดว่าเธอปกป้องเข้าข้าง ช่วยเจ้านายหนุ่มปกปิดเรื่องผู้หญิงคนใหม่
“มิสเตอร์คีนส์ไม่คิดอะไรกับผู้หญิงคนนี้เหรอค่ะ เอามาทิ้งไว้แล้วก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย ไม่ทำงานเพลิน ก็คงไปมีความสุขกับมิสรีซานมากกว่า”
เมเรนสะบัดสายตาใส่คนสนิทเล็กน้อย รู้ทันว่ายกเอาชื่อหญิงสาวที่เธอหมายมั่นรอวันต้อนรับเข้าบ้านอย่างดีมาพูดเพื่อจะเบนความสนใจของเธอ
“แล้วเขาพักที่ไหน”
“ห้องพักด้านหลัง รวมกับสาวๆ อีกสี่ห้าคนค่ะ” ยาเรียหมายถึงอาคารด้านหลังที่เป็นที่พักของพนักงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนดูแลสวน คนบังคับโมบิล หรือแม้แต่ผู้คุ้มกันระดับล่างที่ทำงานในวิลตันไชลด์โดมแห่งนี้
“อย่างนั้นก็แล้วไป” เมเรนเอ่ยเสียงอ่อนลง ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองหญิงสาวผู้ตกเป็นประเด็นสนทนาอีกครั้ง เห็นสีหน้างุนงงแววตาไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็อดนึกแปลกใจไม่ได้
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
ฝนปรายเห็นคุณผู้หญิงสวยสง่าหันมาพูดบางอย่างกับเธอแล้วก็ยิ่งแสดงสีหน้างงหนัก ทำได้เพียงแค่เหลือบมองที่พึ่งหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ข้างคนถาม
“คือ... เธอยังไม่ค่อยเข้าใจภาษา พูดจาไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ค่ะ”
ได้ฟังคำอธิบายจากแม่บ้านคนสนิทแล้วเมเรนก็ต้องขมวดคิ้วยุ่งตามคนพูดจาไม่รู้เรื่องไปด้วย ไม่คิดว่าลูกชายผู้ที่ใครๆ ก็ขยาดว่าเขี้ยวจัดและไม่มีความปรานีจะยอมรับคนพัฒนาการไม่สมบูรณ์อย่างนี้เข้ามาทำงานด้วย แต่ถ้ามองอีกมุม ความไม่สมบูรณ์ของคนตรงหน้าก็ทำให้เธอวางใจได้เต็มร้อย ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมีสัมพันธ์เร้นลับอะไรกับลูกชายช่างเลือกของเธอแน่
คิดได้อย่างนั้นก็ไม่คิดจะเข้ามาก้าวก่ายอะไรในการตัดสินใจของลูกชายคนโตซึ่งเป็นแกนหลักกำลังสำคัญที่ดูแลธุรกิจของตระกูลทั้งหมด เมเรนหันไปเรียกหลานสาวตัวน้อยที่ยังยืนมองหญิงสาวในชุดน้ำเงินตาแป๋วอย่างสนใจ
“พีณา... กลับกันเถอะ”
เด็กหญิงใบหน้าเล็กเรียว ตากลมโตสีฟ้าอมเทา หันไปรับคำแกรนด์มัมสั้นๆ ขณะที่มือหนึ่งถูกจับจูงให้เดินจากไป ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูราวตุ๊กตาบาร์บี้ก็หันมาส่งยิ้มให้หญิงสาวที่ยังยืนเงียบมองส่ง
“บ๊ายบายค่ะ แม่บ้านเจ้าหญิงจัสมิน”
คนที่พยายามผึ่งหูรับทุกคำมาตีความแล้วก็ยังไม่ค่อยจะรอดเมื่อมันมาเป็นประโยค ฉีกยิ้มแข็งๆ อย่างตั้งตัวไม่ทัน เมื่อจู่ๆ เด็กหญิงบาร์บี้ก็หันมาส่งยิ้มสดใสให้ เธอเข้าใจว่าอีกฝ่ายเอ่ยคำบอกลา ก่อนจะสะดุดกับคำสุดท้ายที่ตามมาไม่น้อย
จัสมินเหรอ?..
ถ้าหากฟังไม่ผิดและเป็นจัสมินคนเดียวกับที่เธอรู้จักจริงๆ ฝนปรายก็นึกไม่ถึงเลยว่าการ์ตูนเจ้าหญิงเจ้าชายของวอลท์ ดิสนีย์ จะเป็นที่รู้จักยาวนานข้ามผ่านกาลเวลานับพันปีมาจนถึงตอนนี้ด้วย!
อ่านต่อ >> กาลที่ 5 : เพื่อนใหม่ต่างวัย
หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
โหลดฉบับอีบุ๊ค...
Meb : https://goo.gl/3Wom8E
Hytexts : https://goo.gl/s31ks7
Hytexts : https://goo.gl/s31ks7
Ookbee : https://goo.gl/HxuTI7
NaiinPann : https://goo.gl/Sz74tt
Google Play : https://goo.gl/8hs31Q
Dek-d : https://goo.gl/qDu9hn
Google Play : https://goo.gl/8hs31Q
Dek-d : https://goo.gl/qDu9hn
No comments:
Post a Comment