รักล่วงเวลา ชุด กาลรักหนึ่ง
ผู้เขียน : แก่นฝัน
เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
กาลที่ 2 : เนื้อคู่... อยู่ไหน?
ในเวลาใกล้พลบค่ำ แสงแดดอันร้อนแรงโรยราลงไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งไอระอุร้อนสมเป็นช่วงเวลากลางเดือนเมษายนที่พระอาทิตย์ตั้งฉากกับแผ่นดินไทย ฝนปรายเดินวนเลาะอยู่ในสวนซึ่งปลูกดอกไม้ไทยกลิ่นหอมเอาไว้รอบบ้าน เหล่าดอกมะลิ กุหลาบมอญ ชมนาด ถูกเด็ดจากต้นและวางลงตะกร้าสานอย่างเบามือไม่ให้กลีบช้ำ ดูแล้วไม่เข้ากับมาดทะมัดทะแมงของร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์ตัวหลวมซึ่งนับรอยขาดรุ่ยได้นับสิบรอย ที่ตอนนี้กำลังเขย่งเอื้อมสุดแขนเพื่อคว้าเด็ดเจ้ากระดังงาดอกเหลืองเข้มกำลังสวยที่หมายตาในตอนนี้เอาเสียเลย
ใบหน้าสวยคมแย้มยิ้มกว้างออกมาเมื่อคว้าเจ้ากระดังงาที่เลื้อยหลบไปออกดอกเสียบนซุ้มสูงมาได้ในที่สุด อดไม่ได้ต้องยกขึ้นสูดกลิ่นเชยชมเสียหนึ่งฟอด ก่อนจะวางมันลงตะกร้าเบามือ เมื่อได้ดอกไม้หอมครบชนิดตามต้องการก็หมุนตัวก้าวเร็วๆ เดินกลับเรือนอย่างไม่เหลือมาดนิ่มนวลเมื่อครู่
บ้านของฝนปรายเป็นบ้านเรือนไทยไม้สักทองอายุเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุตั้งแต่รุ่นตาทวด ซึ่งเป็นครูดนตรีไทยฝีมือดีที่โด่งดังและมีชื่อเสียงมากในสมัยหกสิบเจ็ดสิบปีก่อน จนถึงกับได้รับฉายาสรรเสริญเป็นมือระนาดเทวดา ผู้ที่มีฝีไม้ลายมือในการเดี่ยวระนาดเอกไม่เป็นรองใคร และความสามารถเชิงดนตรีนี้ก็ยังถ่ายทอดอย่างไม่มีตกหล่นมาสู่รุ่นตา ผู้เป็นเจ้าของ ‘เรือนดนตรีบุญยืน’ เรื่อยมาจนถึงรุ่นลูกศิษย์อย่างบิดาของเธอที่เข้ามาร่ำเรียนดนตรีไปพลาง พอคุณตาเผลอก็เป่าขลุ่ยสีซอเพลงรักหวานจีบมารดาของเธอไปพลาง จนได้แปรฐานะจากศิษย์โปรดกลายมาเป็นเขยขวัญและผู้สืบทอดเรือนดนตรีและวงปี่พาทย์เรือนบุญยืน และวิชาดีดสีตีเป่าบางอย่างก็ได้ส่งผ่านมาให้เธอซึมซับเอาไว้บ้าง แม้ไม่มากมายแต่ก็นับได้ว่ามีฝีมือพอตัว
ฝนปรายเดินเข้าไปในบ้านชั้นล่างที่แรกเริ่มเก่าก่อนเคยเป็นใต้ถุนสูงโล่ง แต่ตอนหลังได้เทปูนปูกระเบื้อง ต่อเติมผนังกั้นห้องเสียใหม่ ให้สามารถใช้ประโยชน์และมิดชิดปลอดภัยมากขึ้น ตัวบ้านด้านหน้าถูกแบ่งไว้เป็นห้องเรียนและซ้อมดนตรีโดยยกพื้นปูไม้กระดานสูงหนึ่งศอก ห่างออกมาด้านหนึ่งมีมุมเล็กๆ ตั้งตั่งไม้ตัวโต จัดเบาะรองนั่งและหมอนอิงไว้สำหรับรับแขก หรือให้คุณยายและมารดาได้นั่งเอนหลัง รับชมรับฟังเสียงดนตรีของคุณตา บิดา และเธออย่างพร้อมหน้า
แต่ทว่า... แสนคำนึงถึงคืนวันเหล่านั้นเหลือเกิน เพราะในวันนี้ ทั้งเรือนกลับเหลือเพียงเธอคนเดียวที่สามารถก่อบรรเลงเสียงเพลงให้กังวาน และผู้ฟังก็เหลือเพียงคุณยายดวงดาวคนเดียวเท่านั้น
ฝนปรายละสายตาออกมาจากมุมยกพื้นสูงที่ยังมีเครื่องดนตรีไทยหลายชิ้นวางตั้งอยู่และทุกชิ้นนั้นก็ยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เดินผ่านประตูบานเล็กไปยังส่วนด้านหลังที่จัดไว้เป็นห้องอาหาร และถัดไปคือห้องครัวซึ่งมีทั้งส่วนครัวปิดติดตั้งเครื่องดูดอากาศอย่างครัวฝรั่งและส่วนเปิดโล่งอย่างครัวไทย
“กลับเข้ามาเร็วเชียวเจ้าขิม ได้มาครบหรือเปล่า”
คุณยายดวงดาวในวัยเกือบแปดสิบนั่งรออยู่ในห้องอาหาร บนโต๊ะทานข้าวตัวโตเบื้องหน้ามีหม้อดินเผาใบคู่มือที่ถูกนำมาใช้ทุกๆ หน้าร้อนวางตั้งอยู่
“ระดับเสียงขิมแล้วนะจ๊ะคุณยาย ไม่มีพลาดจ้ะ”
แม้ประโยคที่ตอบจะเล่นลิ้นโอ้อวดสักเพียงไหน แต่เมื่อพูดกับผู้เป็นยาย สาวมาดห้าวก็พูดจาจ๊ะจ๋าได้ไม่ขัดเขิน
คุณยายของเธอเคยเป็นลูกมือคนรับใช้ของหม่อมเจ้าหญิงในวังเก่า จึงได้ร่ำเรียนวิชางานฝีมือและงานครัวชาววังมาไม่น้อย ส่วนคุณตาเป็นนักดนตรีที่ได้เข้าไปเล่นถวายและทั้งเป็นอาจารย์แก่บุตรของหม่อมบ่อยๆ วันหนึ่งจึงได้บังเอิญพบกับสาวน้อยดวงดาวในวัยแรกรุ่น สาวตาคมหวานซึ้งที่อายุอ่อนกว่าตาถึงสิบสี่ปี ทำเอาครูเพลงหนุ่มตกบ่วงรักสมัครใจกันนับแต่นั้น จนในที่สุดก็ทูลขออนุญาตสมรสและรับตัวคุณยายดวงดาวออกมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้
“อย่ามัวแต่โม้เลยเจ้าขิม ได้มาแล้วก็เอาไปผ่านน้ำสักหน่อยเถอะ” คุณยายดวงดาวส่ายหน้าช้าๆ บอกกับหลานสาวคนเดียว
“อากาศแถมควันพิษสมัยนี้มันไว้ใจไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน ที่เด็ดมะลิมาแล้วก็ลอยน้ำฝนดื่มได้เลยชื่นใจ”
ฝนปรายรับคำก่อนจะหิ้วตะกร้าเดินผ่านไปยังห้องครัว ล้างบรรดาเจ้ากลีบบางทั้งหลายอย่างระมัดระวังไม่ให้ช้ำมือช้ำน้ำ ไม่เช่นนั้นน้ำลอยดอกไม้หอมๆ คงกลายเป็นเหม็นเขียวได้เททิ้งทั้งหมด
เมื่อกลับออกมาก็เห็นลูกบัว... เด็กสาววัยสิบเก้า ลูกของแม่บ้านคนสนิทซึ่งเสียไปนานแล้วที่คุณยายรับเลี้ยงเอาไว้ กำลังจุดเทียนตามคำสั่งของคุณยายดวงดาว
“ขิมทำเองจ้ะ เดี๋ยวไฟได้ลวกมือ”
“แหนะ มาดูถูกฝีมือ ยายทำของยายมาตั้งแต่สาวๆ”
“ขิมทราบจ้ะ ทำจนคุณตาติดอกติดใจรสมือ ทานอาหารบ้านไหนก็ไม่อร่อยถูกใจเหมือนไปรับประทานเลี้ยงในวัง จนต้องขอตัวแม่ครัวสาวน้อยมาอยู่ประจำเรือนหลังนี้เสียเลย” ฝนปรายเอ่ยยิ้มๆ ถึงเรื่องในวันเก่าที่ได้รับถ่ายทอดมานับหลายสิบรอบ
หญิงสาววางถาดดอกไม้ไว้ใกล้มือผู้เป็นยายที่ส่งค้อนใส่หลานสาวทั้งที่แววตายังมีแววรอยยิ้ม มือบางคล่องแคล่วหยิบดอกกระดังงาขึ้นมาซับน้ำจนหมาด ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ พับกลีบขึ้น ก่อนจะดันส่วนกระเปาะที่เป็นเหมือนต่อมเก็บน้ำมันหอมไปลนห่างจากเปลวเทียนพอประมาณ แล้วจึงบีบกระเปาะหอมให้แตก ฉีกกลีบดอกเป็นเส้นๆ ลอยลงในหม้อดินที่คุณยายดวงดาวและลูกบัวค่อยๆ ลำเลียงดอกไม้ลงไปลอยคอรออยู่ก่อนแล้ว
“ทิ้งเอาไว้ก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ายายมาตักออกเอง ส่วนขิมกับบัวก็นอนให้เยอะเถอะ จะได้มีแรงมากวนลูกกะปิ ขยี้เนื้อปลา” คุณยายดวงดาวบอกกับหลานสาวที่ปิดฝาหม้ออบน้ำดอกไม้เรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ
ฝนปรายดูแลปิดไฟปิดเรือนด้านล่างจนเรียบร้อย จึงค่อยหันกลับมาช่วยลูกบัวประคองคุณยายขึ้นบันไดเรือน
พูดถึงเรื่องต้องใช้แรงพรุ่งนี้แล้ว เดี๋ยวต้องหาเหยื่อหนุ่มๆ มาเป็นแรงงานดีกว่า
เมื่อกลับเข้าไปถึงห้องนอน ฝนปรายก็จัดการไล่ค้นรูปเก่าๆ ที่ถ่ายเก็บไว้ในโทรศัพท์ เมื่อเจอรูปสำรับข้าวแช่ที่คุณยายได้ทำไว้เมื่อปีก่อนก็จัดการโพสต์ขึ้นพื้นที่ส่วนตัวกึ่งสาธารณะในโลกโซเชียล พร้อมพิมพ์บทกลอนส่วนหนึ่งจาก “รำพันพิลาป” โดยกวีเอกสมัยต้นรัตนโกสินทร์เพื่อเรียกความสนใจ
ระดูร้อนก่อนเก่าทำเข้าแช่
น่าชมแต่เครื่องกับสำรับฉัน
ช่างทำเป็นเช่นดอกจอกเป็นดอกจันทน์
งามจนชั้นกระชายทำเหมือนจำปา
- สุนทรภู่ -
‘เรือนบุญยืนเปิดรับสมัครหนุ่มสาวแรงงานดีมาเป็นลูกมือให้คุณยายกัน พรุ่งนี้วันเดียว ค่าแรงไม่มี ไม่ต้องแย่งกันนะ’
ฝนปรายกดโพสต์ทั้งภาพและข้อความไปเรียบร้อยก็วางโทรศัพท์มือถือลง ลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวและชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำไป
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็หยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องบางขึ้นมาเช็คผลตอบรับ ก็เจอข้อความทั้งอาสาขอช่วยทำและทั้งขอช่วยทานฝากเอาไว้เกือบสิบคน หญิงสาวกดถูกใจในทุกๆ ข้อความที่ฝากไว้ และนัดหมายเวลากับคนที่ตกลงจะมาร่วมลงมือลงแรงกันจริงๆ
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้แรงงานเพิ่มมาตั้งสี่คน แค่นี้ก็ไม่ต้องนั่งโขลกเครื่องผสม กวนลูกกะปิ ยีเนื้อหมู เนื้อปลาลำพังกับลูกบัวแล้ว
ฉลาดจริงๆ ไอ้ขิม!
ฝนปรายตวัดตัวขึ้นนอนบนเตียงในท่าทางสบายๆ แต่อารมณ์ครึ้มอกครึ้มใจก็หล่นร่วงลงมานิดๆ เมื่อไล่เปิดดูรูปถ่ายและเรื่องราวประจำวันต่างๆ ของผู้ที่เชื่อมโยงเป็นเพื่อนกันบนโลกออนไลน์ แล้วต้องเห็นแต่รูปคนไปเที่ยวเป็นคู่ รูปไปร่วมงานแต่ง รูปพรีเวดดิ้งที่มาพร้อมคำเชิญให้ไปร่วมงานอย่างไม่เป็นทางการ และรูปเด็กหญิงเด็กชายตัวเล็กน่ารักน่าอุ้ม
“เฮอะ! มันจะเริ่มเยอะเกินไปหน่อยไหม”
หญิงสาววัยใกล้เหยียบเลขสามในอีกไม่กี่เดือนเริ่มคิ้วขมวด ปากก็ส่งเสียงบ่นออกมาเล็กๆ เธออุตส่าห์สามารถฝ่ามรสุมงานวิวาห์ที่ถาโถมเข้ามาในช่วงสองสามปีนี้ได้แล้ว แต่ตอนนี้ต้องมาเจอมรสุมตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดูอีก และดูท่ามรสุมลูกนี้ไม่น่าจะพัดผ่านไปง่ายๆ
หลานน้าขิมแต่ละคน ทำไมน่าเอ็นดูนักฮึ!
ฝนปรายไล่กดถูกใจรูปเจ้าตัวเล็กหน้ากลมแก้มยุ้ยที่เพื่อนร่วมรุ่น ร่วมที่ทำงานและคนรู้จักโพสต์เอาไว้ ตากลมๆ แป๋วๆ ที่มองกล้องตรงมาทำให้นึกเอ็นดูได้ไม่ยาก และรอยยิ้มของหลานบางคนยังทำเอาใจสาวห้าวอย่างเธอแทบละลาย
อยากมีอย่างงี้ไว้เลี้ยงสักคนสองคน
แต่วี่แววของพ่อมันอยู่ไหนล่ะเนี่ย?
เช้าวันเสาร์ เรือนดนตรีบุญยืนคึกคักกว่าปกติเพราะเหล่าเพื่อนฝูงร่วมคณะศิลปกรรมศาสตร์ห้าคน บวกกับเพ็ญนรีอีกหนึ่งมานั่งหน้าสลอนรอให้จิกใช้แรงงานตั้งแต่แสงตะวันยังไม่ร้อนแรง และข้าวต้มหมูกุ้งหม้อพิเศษที่ฝนปรายเตรียมไว้ต้อนรับเพื่อนๆ ก็วูบหายพร่องไปในเวลาอันรวดเร็ว
“ข้าวต้มฝีมือไอ้ขิมนี่มันซดคล่องคอ หายฮวบๆ เลยจริงๆ”
เสียงเพื่อนชายคนหนึ่งชมเปาะ ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นเอื้อมมือไปตักข้าวต้มเม็ดพองกำลังสวยในน้ำซุปหอมหวานลงชามอีกเป็นรอบที่สาม โปะหน้าด้วยหมูบะช่อนุ่มเด้ง และกุ้งตัวงามผัดกับกระเทียมพริกไทยจนหอม ตบท้ายด้วยผักโรย แล้วก็นั่งลงตามเดิม ระหว่างใช้มือคนข้าวต้มในชามให้หายร้อนก็หันไปถามเพื่อนสาวเจ้าของบ้าน
“แม่ศรีเรือนขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครมาสอยลงจากคานอีกก็ไม่รู้”
“โหย... ถามงี้! สมควรให้กินต่อดีไหม?” ฝนปรายแกล้งทำหน้าขึงขังใส่
“จะลงได้ไงล่ะ มีหนุ่มมาทอดสะพานให้เสด็จลงมา มันก็ตัดฉับซะสะพานขาด จนรายสุดท้ายก็เพิ่งประกาศแต่งงานกับสาวอื่นไปแล้ว” เพื่อนอีกคนยังไม่หยุดซ้ำเติม
“ก็ตามฝันทำนายเนื้อคู่ของไอ้ขิมขมของเราไง ที่มันเคยเล่าว่าฝันว่าเจองูตัวโตไล่ตาม แต่แทนที่จะยอมแพ้ให้งูมันรัดดีๆ มันดันฮึดสู้ เตะก้านคองูขาดซะงั้น” เพ็ญนรีสมทบด้วยเรื่องราวประจำตัวของเพื่อนสาว ที่พอพูดถึงทีไรก็ไม่รู้ว่าควรมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสารเห็นใจหรือสมน้ำหน้าดี
“เออ... อย่าให้รู้นะว่าถ้าแกฝันถึงงูแล้วจะไม่วิ่งหนี” ฝนปรายว่าอย่างหมั่นไส้เพื่อนสาวที่ยังโสดสนิทพอกัน แถมยังไม่เคยได้มีโอกาสฝันถึงงูนำพาเนื้อคู่สักตัว “เอาล่ะ มีแรงพูดมากก็แปลว่าอิ่มแล้วใช่ไหม จะได้เริ่มงานเสียที”
จบคำถามตัดบทของสาวเจ้าบ้านเท่านั้น เสียงประท้วงจากเหล่าแรงงานโดยเต็มใจก็โวยวายดังขึ้นทันที ก่อนจะส่งคำหวานหูปะเหลาะเอาใจเจ้าของฝีมือเสน่ห์ปลายจวักที่สุดแสนจะขัดกับท่าทางและวาจาของสาวห้าวหน้าคม และกว่าจะได้เริ่มลงแขกทำเครื่องข้าวแช่ชาววังสูตรคุณยายดวงดาวกันจริงๆ ก็เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
ย่างเข้าเวลาบ่าย ฝนปรายกำลังยืนอยู่หน้าเตาซึ่งมีกระทะใบเล็กตั้งน้ำมันรอให้ร้อนอยู่เบื้องหน้า นิ้วมือขวาทั้งห้ากางออกเป็นกรงเล็บชุบลงในชามไข่ที่ตีเอาไว้ขึ้นมาหยอดโรยเป็นสายตาข่ายลงในน้ำมันร้อนๆ ก่อนจะสลัดให้เป็นเม็ดฟูสวยงามประดับแพไข่สำหรับเอาไว้ห่อพริกหยวกยัดไส้ หรือที่เรียกกันว่า ‘ห่อหรุ่ม’ หลายตำรานั้นอาจเพียงห่อไข่ที่สานเป็นตาข่ายธรรมดา แต่สำหรับตำรับชาววังที่คุณยายดวงดาวได้รับถ่ายทอดมาจะต้องสลัดไข่เป็นเม็ดสวยและหรุ่มต้องกรอบร่วน น้ำมันที่ใช้ยังต้องเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งสำหรับการห่อหรุ่มแต่ละครั้ง
ขณะที่ฝนปรายกำลังวางพริกหยวกยัดไส้หมูและกุ้งสับที่นำไปนึ่งจนสุกลงบนแพไข่เหลืองสวยอร่ามในกระทะ ก็มีมือหนึ่งมาสะกิดกระแซะข้างๆ
“นี่... ขิมจ๋า...”
“ว่าไง” เธอตอบไปทั้งที่สายตายังไม่คลาดจากการบรรจงห่อม้วนหรุ่มไข่จนมิดเม็ดพริกหยวก ก่อนจะตักออกจากกระทะไปวางพักให้สะเด็ดน้ำมัน
“บ่ายนี้พอเสร็จ ขิมก็ต้องเอาข้าวแช่ไปส่งให้ที่บ้านหม่อม เจ้านายเก่าคุณยายด้วยใช่ไหม” เพ็ญนรีถามทั้งที่ได้ยินคุณยายสั่งเพื่อนมาแล้ว
“อือ... ทำไมเหรอ”
ในหน้าร้อนของทุกปี คุณยายดวงดาวจะลุกขึ้นมาทำข้าวแช่ของว่างชาววังอันแสนจะมีกรรมวิธียุ่งยากสักครั้ง เพื่อนำไปเป็นของฝากแด่เจ้านายและเพื่อนเก่าคนสนิทในวังเก่าที่เคยอยู่อาศัยมา บางปีคุณยายก็ให้เธอเป็นคนขับรถไปเป็นเพื่อน แต่บางปีก็ให้เธอเป็นคนนำไปส่งให้แทน
“ฉันขอไปด้วยนะ”
ฝนปรายมองสายตาเป็นประกายที่บ่งบอกว่าการขอตามไปด้วยครั้งนี้คงมีอะไรแอบแฝงไม่บริสุทธิ์ใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ทันได้ใส่ใจนัก และไม่เห็นความจำเป็นจะต้องคิดขัดขวางอะไร เพราะความคิดของสาวที่ดูเหมือนจะเป็นคุณหนูขาเหวี่ยงวีนอย่างเพ็ญนรี ยังไงแล้วก็ไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยอะไรกับใครนักหรอก
“ก็ไปสิ”
ฝนปรายไม่คิดเลยว่าการตกปากรับคำ ยอมให้เพ็ญนรีติดสอยห้อยตามมาด้วยเมื่อบ่าย จะทำให้เธอต้องมานั่งกร่อยนานเกือบชั่วโมงในห้องตึกแถวเล็กๆ ร้อนๆ แทนที่จะได้รีบกลับบ้าน
หลังจากส่งสำรับข้าวแช่ไปฝากไว้ที่วังของหม่อมเจ้าหญิงและเพื่อนเก่าของคุณยายครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว เพ็ญนรีก็ทำตาวาวเป็นประกายวิ้งๆ ออดอ้อนฉอเลาะบอกว่าอยากชวนเธอไปยังที่แห่งหนึ่ง
“ขอบคุณมากนะคะหมอฟ้า”
น้ำเสียงรื่นเริงของหญิงสาวที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูกั้นห้องด้านใน เรียกสายตาของคนที่กำลังนั่งเซ็งให้หันไปมองด้วยแววตาที่ดีขึ้น เพราะนั่นแสดงว่าการรอคอยของเธอขยับเข้าใกล้การสิ้นสุดลงแล้ว
“เชิญคุณเพ็ญนรีค่ะ”
เพ็ญนรีที่สามารถนัดคิวนักพยากรณ์ชื่อดังแห่งยุคไว้ได้รีบลุกขึ้นยืนทันที แต่หญิงสาวไม่ได้เดินเข้าไปในห้องทำนายเพียงลำพัง กลับหันกลับมาคว้ามือของเพื่อนสาวที่ยังนั่งเฉยเหมือนจะเป็นการบอกทางอ้อมว่าจะนั่งรออยู่ข้างนอก
“ไม่เอา แกเข้าไปคนเดียวเถอะ”
“น่า... นั่งรอเฉยๆ น่าเบื่อออก เข้าไปเป็นเพื่อนกันดีกว่า”
ผู้ซึ่งถูกหลอกลากมาจนถึงที่นี่กลอกตาขึ้นหน่อยๆ ก่อนจะยอมลุกเดินตามเจ้าของมือเล็กแต่กลับแรงเยอะและเหนียวหนึบไม่ยอมปล่อยมือเธอง่ายๆ
เพียงแค่แง้มประตูเข้าไปในห้องทำนาย กลิ่นกำยานหอมประหลาดแต่ชวนให้จิตใจสงบก็ลอยมากระทบปลายจมูก อากาศภายในห้องขนาดเล็กไร้หน้าต่างเย็นฉ่ำด้วยการทำงานของเครื่องปรับอากาศ แสงสีส้มจากโคมไฟลวดลายโบราณสวยงามที่ประดับอยู่หลายดวง ไม่ได้ขับไล่ความมืดสลัวออกไปสักเท่าไรเลย
เบื้องหลังโต๊ะไม้คลุมด้วยผ้าทอลายดอกกุหลาบ นักพยากรณ์สาวใบหน้าสวยคมผิวขาวจัด อายุของเธอไม่น่าจะเกินสามสิบแต่เส้นผมบนศีรษะกลับเป็นสีเงินเทาราวเป็นคนชรา มือเรียวกำลังกวาดรวบสำรับไพ่ที่เพิ่งละเลงล้างกระจายไปเต็มโต๊ะให้กลับเป็นกองเดียว
แม่หมอฟ้ากระจ่างเงยหน้าขึ้นมา ใช้ดวงตาคมโตมองสบเข้าไปในดวงตาของแขกรายใหม่ทั้งสองคน ก่อนที่แววตานิ่งเฉยจะทอประกายประหลาดใจเล็กๆ เมื่อเห็นแววตาคมกล้าของสาวร่างสูงโปร่งที่มองตรงมาอย่างสังเกตสังกาเต็มที่ ต่างจากแววตาตื่นเต้นรื่นรมย์ของสาวร่างเล็กกว่า
“เชิญนั่ง... จะเริ่มจากใครก่อน”
“ขอจ้าเริ่มก่อนเลยนะคะหมอฟ้า” เพ็ญนรีรีบตอบ
แล้วการทำนายดวงชะตาของเพ็ญนรีก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการสับไพ่ เลือกไพ่ และเปิดไพ่ขึ้นมาอ่านพื้นชะตาทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ น้ำเสียงกังวานแฝงพลังบางอย่างเอ่ยบอกเล่าเปิดเผยเรื่องราวเป็นจังหวะไม่เร่งไม่ช้า ด้วยภาษาทำนายที่ค่อนข้างแปลก ต้องขบคิดตีความต่ออีกเล็กน้อย แต่หลายประโยคก็ทำเอาเจ้าของชะตาตาโตลุกวาวหันมาสบตาเพื่อนสาวอย่างตื่นเต้นไม่อยากจะเชื่อในความแม่นยำ
จนเมื่อจบการบอกเล่าดวงชะตา แม่หมอฟ้ากระจ่างก็เปิดโอกาสให้ผู้รับคำทำนายถามคำถามได้สามข้อ
แล้วหญิงสาววัยเข้าใกล้เลขสามที่ฐานะทางบ้านไม่ธรรมดา การงานก็ราบรื่นรุ่งเรืองไร้อุปสรรค ความสัมพันธ์กับเพื่อนรอบข้างก็ไร้ความอัดอั้นคับข้อง แล้วคนอย่างเธอจะมีเรื่องใดในชีวิตให้วิตกไม่มั่นใจ จนถึงกับต้องมาถามเอากับผู้ทำนาย ถ้าหากไม่ใช่เรื่องเนื้อคู่ที่ไม่รู้ไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน
จบคำถามทั้งสามที่ล้วนเกี่ยวข้องกับความรักและเนื้อคู่ของเพ็ญนรี แม่หมอฟ้ากระจ่างก็ทำการล้างไพ่ทั้งสำรับอีกครั้ง ก่อนจะส่งให้หญิงสาวอีกคนทำการสับไพ่
ฝนปรายที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาดูดวงอะไรกับเพื่อนด้วยได้แต่ยื่นมือไปรับมาอย่างงงๆ ก่อนจะคิดว่าไหนๆ ก็มานั่งรอตั้งนานสองนานขนาดนี้แล้ว จะลองดูกับเขาบ้างก็ไม่มีอะไรเสียหาย
“แปลก... แปลกที่แปลกทาง แปลกผู้แปลกคน... ชะตาสับสน ต้องเจอทั้งเคราะห์หนักและโชคครั้งใหญ่ ทั้งพานพบทั้งพลัดพราก...”
คำที่แม่หมอทำนายถึงอนาคตของฝนปรายช่างประหลาดยากจะทำความเข้าใจยิ่งกว่าคำทำนายของเพื่อนสาว แต่คำสองขั้วที่ล้วนเป็นชะตาที่ใครๆ ก็ต้องพบเจออยู่แล้วก็ทำให้เจ้าของชะตาคิ้วขมวด ในใจเริ่มนึกติงไม่ค่อยอยากเชื่อถือ
“จงใช้สติให้มาก แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลาย ความคิดอ่าน และการตัดสินใจของคุณเองที่จะเป็นกุญแจของทุกอย่าง” แม่หมอฟ้ากระจ่างเอ่ยปิดท้าย
เมื่อถึงคราวจะต้องถามคำถามพิเศษ ฝนปรายก็หมดอารมณ์จะนึกตั้งคำถามถึงสิ่งที่อยากรู้ จนเพ็ญนรียื่นเสนอให้ลอกสามคำถามถึงเนื้อคู่ของเธอให้เพื่อนใช้อีกรอบ
แม่หมอหลุบตาลงเพ่งสมาธิไปยังไพ่ใบล่าสุดที่หญิงสาวตรงหน้าเลือกเปิดขึ้นมา ทิ้งช่วงเวลาแห่งความเงียบเพื่อใช้ความคิดเรียบเรียงสิ่งที่หยั่งได้อีกนิด ก่อนที่เสียงกังวานใสจะเอ่ยคำพยากรณ์ออกมาช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“เนื้อคู่ที่คุณถามหา... เขาอยู่ ณ ดินแดนไกลแสนไกล... เขาเป็นคนต่างชาติต่างภาษา ใบหน้าหล่อเหลา เรือนกายสูงใหญ่ อายุห่างกับคุณมาก... และเขาจะเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในเส้นทางชะตาชีวิตอันแสนสับสนโดดเดี่ยว...”
การทำนายจบลงไปแล้ว ฝนปรายและเพ็ญนรีเดินออกมาจากสำนักพยากรณ์ฟ้ากระจ่างด้วยอารมณ์และสีหน้าที่แตกต่าง สาวร่างสูงนั้นมีรอยยิ้มบางๆ ประดับริมฝีปากด้วยไม่ได้ใส่ใจให้ความสำคัญกับคำทายทักนัก เอ่ยทวนลักษณะเนื้อคู่ที่แม่หมอเอ่ยถึงอย่างล้อเลียน พอจบก็ยิ้มส่ายหน้า
“เคยดูที่ไหนๆ ก็บอกว่ามีแน่ๆ มาแน่ๆ แถมเป็นคนต่างชาติอีก... ผ่านมาจะสามสิบปีแล้วก็ยังไม่เห็นมาสักที สงสัยเนื้อคู่ไอ้ขิมคงได้เป็นต่างชาติจริงๆ ฉันอยู่ชาตินี้ ส่วนเขาก็อยู่ชาติหน้า... แกว่าป่ะ?”
หญิงสาวหันไปถามเพื่อนสาวที่เดินอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงขบขัน แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่เพ็ญนรีไม่ยิ้มหัวไปด้วย ใบหน้าเล็กๆ นั้นกลับเคร่งเครียด ราววิตกกังวลถึงบางอย่าง
“เป็นอะไรอ่ะ?..”
เพ็ญนรีมองหน้าเพื่อนรักที่ส่งยิ้มบางๆ มาให้พร้อมแววตาสงสัย ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ไม่ตอบคำ ทำเพียงแค่ยื่นมือเล็กกว่าไปคว้ามือของเพื่อนแล้วจับไว้แน่น... คำทำนายของแม่หมอฟ้ากระจ่างที่เอ่ยเกี่ยวกับอนาคตของฝนปรายนั้น ราวกับเป็นเมฆหมอกสีเทา หมอกที่กดดันหน่วงหนัก และยังทำให้เธอรู้สึกหวิวโหวงในอก ไม่สบายใจอย่างน่าประหลาด
ตกเย็นวันหนึ่ง คุณยายดวงดาวมองหลานสาวที่เข็นเจ้ามอเตอร์ไซค์คันโตออกมาเช็ดล้างขัดถู ตรวจเช็คสภาพ ก็รู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคงจะไม่อยู่บ้านอีกหลายวัน หญิงชราวัยใกล้แปดสิบเดินตรงไปหาคนที่กำลังฮัมเพลงเบาๆ พร้อมขัดถูเจ้ารถคันเก่าซึ่งเป็นมรดกต่างหน้าอีกชิ้นของเจ้าลูกเขยของเธอเสียจนเงาวับ
“คราวนี้จะไปไหนอีกละ”
“อ้าว! ขิมยังไม่ได้บอกคุณยายเหรอจ๊ะ” ฝนปรายแสร้งทำท่าทำทางตกใจว่าเพิ่งนึกได้
คนถามมองแล้วต้องนึกค้อนขวางอย่างหมั่นไส้ในตัวหลานสาวคนเดียวแต่เฮี้ยวห้าวยิ่งกว่าลิงทะโมน
“ฮึ! ถ้าบอกแล้วยายจะถามอีกไหม” เมื่อผู้เป็นหลานเห็นคุณยายดวงดาวตวัดสายตาค้อนราวสาวรุ่นเข้าให้ ก็เอ่ยตอบแต่โดยดี
“รอบนี้ไปกาญฯ เองจ้ะยาย ขี่ไม่ไกล ไปช้าๆ เหมือนเดิม”
“แล้วก็มาบอกยายวันนี้ เดินทางพรุ่งนี้เช้าตรู่... เหมือนเดิม” หญิงชราย้อนคำของเจ้าหลานสาว
ฝนปรายรีบฉีกยิ้มประจบนำไปก่อน วางผ้าชามัวร์ผืนนุ่มพาดไว้กับเบาะ ลุกขึ้นเดินไปโอบเอวบางเพื่อง้องอน
“รู้ล่วงหน้านานหลายวัน คุณยายก็นึกห่วงไปล่วงหน้าหลายวัน รู้ทันทีก็ประหยัดความห่วงลงไปได้บ้างไงจ๊ะ ไม่ดีเหรอ”
“รู้ว่ายายห่วงแล้วจะไปทำไม”
ได้ยินคำถามเดิมวนซ้ำมาอีกไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ ฝนปรายก็ร้องอุทานลากเสียงยาวตอบกลับไปเหมือนเช่นเคย “หูย... ก็ขิมชอบของขิมอย่างนี้นี่จ๊ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ยายก็จะห่วงของยายไปอย่างนี้แหละ” ดวงตาที่แม้จะมีร่องรอยฝ้าขุ่นบ้างตามกาลเวลาเหลือบมองหน้าหลานสาวแล้วส่ายหน้าปลง
เป็นเวลาเกือบสิบปีที่เธอรับหน้าที่ดูแลหลานสาวคนนี้แทนสายธารและพุฒิทอง ลูกสาวและลูกเขยของเธอที่เสียชีวิตจากไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งคู่กรณีเมาแล้วขับรถข้ามเลนพุ่งมาประสานงาเข้าอย่างจัง... อุบัติเหตุจากความประมาทชะล่าใจของคนๆ เดียวซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวงต่อใครอีกหลายคนอย่างที่ไม่สมควรเกิดขึ้นเลย
แม้ฝนปรายจะรับถ่ายทอดเคล็ดวิชางานฝีมือและงานครัวจากเธอไปได้มากตามประสาเด็กหัวไวเรียนรู้เร็ว หยิบจับอะไรก็ทำได้ดีไปหมด แต่อุปนิสัยผาดโผนห้าวหาญคล้ายผู้ชาย ทั้งจิตใจที่รักอิสระเสรีและเรื่องราวท้าทายที่ติดตัวมาก็ไม่สามารถลบหายลดน้อยลงไปได้เลย เพราะมันถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจากการเติบโตและคลุกคลีอยู่ในค่ายมวยไทยฟ้าประทาน กิจการในครอบครัวของพุฒิทอง ซึ่งมีพงษ์เทพ... ลุงแท้ๆ ที่ทั้งรักทั้งตามใจหลานสาวคนนี้แบบไม่ลืมหูลืมตาเป็นผู้ดูแลอยู่
รุ่งเช้า... ฝนปรายในชุดทะมัดทะแมงจัดการขึงสายรัดยึดกระเป๋าเป้กันน้ำ เต้นท์นอน และถุงนอนเอาไว้ด้านหลังเบาะอย่างแน่นหนา วันนี้หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เข้ารูป สวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ และคลุมทับท่อนบนด้วยเสื้อการ์ด ซึ่งเป็นเสื้อที่มีลักษณะคล้ายเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนาที่เพิ่มการ์ดปกป้องตรงไหล่ ข้อศอกและหลังเพื่อช่วยซับแรงกระแทกหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน
“ขิมไม่อยู่ก็อยู่กันดีๆ นะจ๊ะ อย่าลืมทานยาให้ครบด้วย ขิมจัดลงกล่องไว้ให้แล้วนะ กลับมาจะเช็คด้วยว่าหายไปครบหรือเปล่า”
หญิงสาวเอ่ยด้วยความเป็นห่วงราวกับผู้เป็นยายเป็นเด็กเล็กในการดูแล ก่อนจะหมุนตัวกลับมาโอบเอวบางและหอมแก้มหย่อนคล้อยแต่ยังนุ่มนิ่มของผู้ที่เดินตามมาส่งเบาๆ “ไปก่อนนะจ๊ะ แล้วขิมจะเอารูปสวยๆ มาฝาก”
“รักษาเนื้อรักษาตัว ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะเจ้าขิม”
“จ้ะยาย” ฝนปรายเอ่ยรับปาก
สมาชิกแก๊งลิงลมสาวจัดการสวมถุงมือหนังและหมวกกันน็อคให้เรียบร้อย ท่อนขาเรียวตวัดคร่อมบิ๊กไบค์สีเทาแดงรุ่นตกทอดจากบิดา ก่อนจะติดเครื่องและออกตัว ระหว่างบิดผ่านประตูรั้วก็ไม่ลืมเอ่ยฝากฝังกับลูกบัวที่มายืนรอปิดประตูอีกครั้ง
“อยู่เป็นเพื่อนคุณยายดีๆ นะ มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอด”
ลับหลังหญิงสาวและมอเตอร์ไซค์คันโต ประตูรั้วค่อยๆ เลื่อนปิดลง เสียงเครื่องยนต์ทุ้มก้องของพาหนะที่เคลื่อนห่างออกไปค่อยๆ แผ่วเบาลงก่อนจะหายเงียบไป
เช่นเดียวกับอกใจสั่นไหวของหญิงชราที่คล้ายจะวูบหาย อกท้องปั่นป่วนกับสังหรณ์ใจประหลาดที่ผุดวาบขึ้นมา
หลังจากช่วงเวลาประมาณบ่ายสองโมง ที่ฝนปรายโทรมารายงานว่าถึงอุทยานที่หมายโดยสวัสดิภาพและกำลังจะเดินเข้าไปยังจุดตั้งแคมป์ หญิงสาวก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลยตลอดคืน
แม้จะพยายามคิดว่าอาจเป็นเพราะในป่าในเขาไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่ความไม่สบายใจที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นก็ทำให้คุณยายดวงดาวนอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมาสวดมนต์ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บอกกล่าวถึงดวงวิญญาณของลูกสาวลูกเขย ร่วมทั้งคู่ชีวิตของเธอที่เสียไปเมื่อสี่ปีก่อนให้คุ้มครองหลานสาวของเธอด้วย
แต่ดูเหมือนว่าคำภาวนานั้นไม่เป็นผล...
เมื่อข่าวร้ายเกี่ยวกับการพลัดตกเขาและหายตัวไปของฝนปรายถูกแจ้งเข้ามาในช่วงสายของวันรุ่งขึ้น!อ่านต่อ >> กาลที่ 3 : สามร้อยล้าน
หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
สั่งซื้อรูปเล่ม...
www.KanFunBook.com
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer
Ookbee : https://goo.gl/HxuTI7
No comments:
Post a Comment