20 June 2017

# แก่นฝันมีเรื่องเล่า # บันทึกท่องเที่ยว

ชาร์จพลังที่ "ระนอง" จิบกาแฟก้องวัลเลย์ แช่ออนเซนเมืองไทย พักบ้านไร่ไออรุณ [3 วัน 2 คืน] Part 3

ยามเช้า ณ บ้านไร่ ไออรุณ

เช้าแล้ว... ออกไปเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์สดชื่นกันเถอะ

ความจริงแค่นั่งอาบแดด มองน้ำหน้าบ้านก็สุขสบายสุดๆ แล้ว

บ้านพราวตะวันจากด้านข้าง... ภายในมองออกไปดูโล่งๆ
แต่มีต้นไม้บังสายตาจากฝั่งที่มีทางเดินไปยังบ้านพักหลังอื่นได้ดีเลยค่ะ

เช้านี้มีแขกตัวน้อยมาเยือนบ้านด้วย ^^

แล้วก็เดินเก็บภาพไปรอบๆ สวนค่ะ  เดินผ่านบ้านพักหลังอื่นๆ ที่ต่างก็น่ารักน่านอน  และอย่างที่บอกไป...  ทุกหลังมีอาณาเขต  มีจุดนั่งชมวิว  และแคมป์ไฟกลางแจ้งกันทุกหลังเลย
(ถ้ามาหลายคนกว่านี้ รอบกองไฟ ย่างนั่นย่างนี่กับเพื่อนคงสนุกดีนะคะ)


เดินผ่านไปเรื่อยๆ ไม่ได้ชะเง้อชะแง้มองหรือถ่ายภาพบ้านพักหลังอื่นไว้  เกรงใจผู้เข้าพักคนอื่นค่ะ  เมื่อคืนที่นี่เต็มเกือบทุกหลัง  มีบ้านต้นไม้ที่ปิดปรับปรุงหนึ่งหลังที่ว่างเท่านั้น
เดินๆ มาเจอแสงแบบนี้เข้า... นี่มันในฝันชัดๆ เลย!

ขอเก็บภาพบ้านต้นไม้นิดนึง... หนึ่งในความฝันวันเยาว์นี่นะ
ที่บ้านต้นไม้มีจักรยานจอดไว้ในโรงเก็บตรงหน้ารั้วไว้ให้ด้วยค่ะ
(แหม... ถ้ามากับแฟนนะ จะซ้อนท้ายทำหวีตตตตต... เฮ้ย! ตื่นๆๆ)

บ้านพักหลังใหม่ค่ะ "ในม่านหมอก"

เดินถ่ายนั่นถ่ายนี่ไปเรื่อย ก็มาเจอพ่อกำลังกินข้าวเช้าในสวนค่ะ
มือหนึ่งถือจาน  มือหนึ่งก็เด็ดผักรอบๆ บ้าน  ถือว่าพ่อได้กินผักสดที่สุดในโลกเลยนะ

งั้นเราก็ไปรอกินข้าวเช้าบ้างดีกว่า...
อาหารเช้ารวมอยู่ในค่าบ้านพักค่ะ 
เสิร์ฟเป็นกาแฟ โอวัลติน กับข้าวเหนียวหน้าต่างๆ ทั้งสังขยา ปลาแห้ง ไส้ขนุน และปาท่องโก๋
และจานหลักเป็นขนมจีน ผักสด ผักดอง น้ำยากะทิ แกงไตปลา และน้ำจิ้มหวานๆ คล้ายๆ น้ำจิ้มอาหารเวียดนาม
เค้าว่าคนระนองกินขนมจีนกับปาท่องโก๋ เลยต้องลองหน่อยค่ะ...
พอปาท่องโก๋ดูน้ำยาเข้าไปก็เข้มข้นดีนะคะ  รสกลมๆ ลดความเผ็ดลงไปได้นิดนึ่งด้วย
จบอาหารคาวก็มีผลไม้ตามปิดท้าย... อิ่มจริง อิ่มจัง ให้เยอะมากๆๆ ค่ะ


การมาพักที่  "บ้านไร่ ไออรุณ"  ไม่ผิดหวังเลยค่ะ เกินคาดหวังด้วยซ้ำ  มีความสุขมาก... ทุกคนที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใส  ต้อนรับกันเหมือนสมาชิกครอบครัว
  ...ใครชอบนั่งๆ นอนๆ นิ่งๆ ฟังเสียงน้ำ เสียงนก เสียงตอกไม้ ก็คงได้พักผ่อนสมใจ
  ...ใครที่ชอบถ่ายรูป ก็มีอะไรๆ ให้ถ่ายเยอะมาก
  ...ใครชอบถูกถ่าย ก็คงได้ภาพสวยๆ กลับไปสมใจ
และบ้านไร่ฯ แห่งนี้จะขโมยเวลาคุณไปทั้งวันโดยไม่ต้องออกไปไหนเลย  เหมือนพวกเราที่ใช้เวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่ที่นี่...

แล้วก็ได้เวลาบอกลาบ้านไร่ฯ แล้วค่ะ  ขอถ่ายรูปกับ พ่อ แม่ พี่เร และคุณเบสไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย
แม่ให้ขนมเป็นของฝากมาด้วยสามถุง  กว่าจะได้เปิดชิมก็ถึงกรุงเทพฯแล้ว  เป็นครองแครงกรอบทอดใหม่ๆ หอม อร่อยมากอ่ะค่ะ อยากซื้อเพิ่มก็ไม่ทันแล้วววววว ฮือ...


ครึ่งวันสุดท้าย ที่ ระนอง

นั่งรถไม้กลับเข้าเมืองแล้ว เพื่อนที่นั่นก็เอารถมาให้ยืมขับเที่ยวค่ะ (วันนี้เค้าติดภารกิจ)
ตอนนี้มีเวลาเหลืออีกประมาณครึ่งวัน  ก่อนจะถึงเวลาปักหมุดว่าเย็นๆ จะกลับไปแช่ตัวที่รักษะวารินอีกครั้ง  แถมยังมีซีฟู๊ดที่เหลือจากเมื่อคืนด้วย (เราจะต้องหาที่จัดการ ไม่ยอมให้น้องปูกุ้งหมึกต้องตายฟรีเด็ดขาด)

แต่ก่อนอื่น... ขอแวะหาร้านกาแฟ เพิ่มระดับคาเฟอีนในเลือดสักหน่อยค่ะ  หาไปหามา ได้ร้านนี้ "Farmhouse" หน้าตาภายนอกน่ารักๆ  แต่เปิดเข้าไปเจอแทงค์เบียร์ก็ถึงกับชะงักลังเลไปนิดนึงค่ะ
นึกว่ามาผิดร้าน (พอถามน้องๆ ในร้านดู ถึงรู้ว่าเบียร์เค้าขายตอนบ่ายๆ เย็นๆ ค่ะ เพราะที่นี่มีอาหาร พวกสเต็กด้วย)
สั่งกาแฟ ได้มาเข้มๆ ดีค่ะ  เมล็ดกาแฟรับมาจากก้องวัลเลย์ด้วย
ขนมปังอบชีส (ชีสเต็มๆ หอมๆ เนยกระเทียม)  และขนมหวานซิกเนเจอร์ "ฟาร์มหวาน" ที่เสิร์ฟมาอลังการมากๆ แต่ละอย่างเป็นชิ้นเล็กๆ  สำหรับคนที่เลือกไม่ถูก อยากกินมันทุกอย่าง มีทั้ง... ช็อคฯลาวา (แต่ลาวาไม่เยิ้ม ออกไปทางบราวนี่ซะมากกว่า) / ครีมบูเล่หอมๆ หน้ากรอบๆ / พานาคอตต้าเสาวรส / ไอติมสตรอเบอรรี่ค่ะ
ดูดีขนาดนี้ เพราะราคาเรตเมืองกรุงเลยค่ะ

จากนั้นก็ไปต่ออีกนิด แอร์ในรถยังไม่ทันเย็น... ก็เป็น "พระราชวังรัตนรังสรรค์" ค่ะ
ที่นี่เป็นพระราชวังจำลอง  สร้างจากไม้สักและไม้ตะเคียนเพื่อเป็นอนุสรณ์ของการมาประทับของพระมหากษัตริย์ถึง 3 พระองค์ (ร. 5, ร.6 และ ร.7)  ปกติจะเปิดให้เข้าชมด้านบน  ที่จัดเป็นห้องหับต่างๆ ได้  ราคาคนไทย 50 บาท  
แต่เสียดายที่วันนี้ปิด เพราะจะมีแถลงข่าวอะไรสักอย่างตอนเย็นค่ะ (ชะนีผู้ชื่นชอบการชมวังเสียใจมากกกกกก...)

งั้นเราก็เดินทางไปหาที่กินปูของเราต่อดีกว่า...
ขับตาม google map ไปอีก 15 กม. บนถนนคดเคี้ยว  โค้งซ้ายโค้งขวาไปมาสักครึ่งชั่วโมง  เราก็มาถึงแล้ว "ระนองแคนย่อน" 

ที่นี่เคยเป็นเหมืองมาก่อน น้ำเป็นสีเขียวมรกตงดงาม  และเป็นเขตอภัยทาน มีปลาตัวโตๆ ตรึมๆ เลยค่ะ
มีศาลานั่งเล่นได้ด้วย ตอนนั้นมีคู่รักต่างชาติ เล่นโยคะคู่ ต่อตัวกายกรรมกันอยู่นานเลยค่ะ ดูมีความสุขกันจริ๊งงงง!! (นี่ไม่ได้อิจฉานะคะ... หึๆ)
ส่วนพวกเราน่ะรึ... ให้อาหารปลากันไปค่ะ  แล้วก็ขอยื่มผ้าใบจากแม่ค้ามาปูใต้ต้นไม้  สั่งข้าวสั่งน้ำ  มากินกับปูๆ ของเรากันดีกว่า...

พออิ่มแล้วก็เดินทางย้อนกลับมานิดหน่อย  แวะไหว้พระและนั่งเล่นริมน้ำเย็นๆ ที่ "วัดหาดส้มแป้น" ค่ะ  อยู่ห่างกันประมาณ 3 กม.
นั่งเล่นรับลมรอเวลาเย็น... แล้วก็ขับรถกลับมา "รักษะวาริน" กันอีกรอบ

เวลาสี่โมงครึ่งกำลังดีเลยค่ะ  ไม่มีคนเท่าไหร่  ยิ่งในส่วนของโรงแรมที่เราเข้าไปใช้  เรียกได้ว่าเหมาสระเลยค่ะ
สระส่วนนี้จะมี 4 สระ... เป็นน้ำร้อน 2 (มีร้อนมาก กับร้อนมากๆ ให้เลือกค่ะ) และสระน้ำเย็นเล็กๆ ไว้พักตัวอีก 2
แช่เสร็จแล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย  ที่นี่มีห้องแต่งตัว ล็อกเกอร์ และห้องอาบน้ำพร้อมค่ะ  อัตราค่าบริการ 40 บาท (มัดจำกุญแจล็อกเกอร์อีก 100 บาท)
หลังจากตัวเบาสบายกันแล้ว ก็ไปหม่ำมื้อเย็นเบาๆ ที่ "ตลาดภูมิชนก" กันดีกว่า
ตลาดนี้สะอาดสะอ้าน น่านั่งสุดๆ เลยค่ะ และขอนำเสนอ "ร้านข้าวต้ม"
เติมข้าวต้มฟรีไม่อั้น  ต้มมานิ่มๆ เบาๆ ดีค่ะ  ส่วนอาหารอร่อยดีงาม สั่งปลาทูทอดน้ำปลาด้วยนะคะ อร่อยดีๆๆ
และตบท้ายด้วยของหวานเป็น "
บัวลอยเผือกกะทิสดเจ๊ตา" บอกเลยว่างานนี้เด็ดจริงๆ  เนื้อบัวลอยนุ่มๆ เผือกเน้นๆ  ไม่ต้องแป้งเยอะ  แทบละลายในปาก 
สั่งแบบใส่ไข่เค็มก็จะได้ไข่แดงเค็มเยิ้มๆ มาเพิ่มความมันเข้มข้นของกะทิ... อ้า... ฟิน!! อยากจะขอเบิ้ลสองมากๆ แต่เกรงใจว่าต้องเดินทาง กลัวจะแน่นพุงเกินไปค่ะ

อิ่มแล้วก็ไปรอขึ้นรถกลับรอบ 2 ทุ่ม... บอกลาเมืองระนองไปด้วยความสุข และความตั้งใจว่าจะต้องมีรอบสองแน่เลยสำหรับจังหวัดนี้

ขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทั้งสอง
ขอบคุณเจ้าบ้านที่ต้อนรับระดับวีวีไอพี
ขอบคุณผู้คนชาวระนองที่ส่งยิ้มมอบไมตรีมาให้
ขอบคุณคุณเบสผู้สร้างบ้านไร่ฯ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้อยากไปเยือนที่นี่
และขอบคุณผู้ร่วมเดินทางออนไลน์ ที่อ่านรีวิวจนจบนะคะ ^^

ป.ล. รู้สึกว่ากลับมาแล้วผิวดี๊ดี... สิวผดลดลงด้วย! ไม่รู้ว่ามโนฤทธิ์ของน้ำแร่ไปเองอ่ะป่าว 555+

No comments:

Post a Comment