19 June 2017

# ก้องวัลเลย์ # นิสรา

ชาร์จพลังที่ "ระนอง" จิบกาแฟก้องวัลเลย์ แช่ออนเซนเมืองไทย พักบ้านไร่ไออรุณ [3 วัน 2 คืน] Part 1


ทริปนี้เริ่มขึ้นจากความชื่นชอบชื่นชมในแนวคิดและสไตล์ของ "บ้านไร่ไออรุณ" ที่น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ตามสไตล์ของตน และยังมีความตั้งใจจะเอื้อเฟื้อแนวทางนี้ออกไปยังผู้คนรอบตัว จนคิดว่าจะต้องไปเยือนที่แห่งนี้ให้ได้สักครั้ง


จึงเริ่มหาข้อมูลว่าที่ "ระนอง" มีอะไรน่าเที่ยวอีกบ้าง นอกจากเกาะพยามและเกาะพม่า ก็เลยได้รู้ว่าที่นี่มีของดีของเด่นเป็น "ออนเซน" ที่ไม่มีกลิ่นกำมะถันเหม็นๆ
ดังนั้น... ทริปพักผ่อนชิวๆ ฟื้นฟูพลังจึงเริ่มร่างขึ้นค่ะ







สรุปทริป (เดินทางเมื่อวันที่ 28-31 มกราคม 2560)

ครั้งนี้เดินทางกันสามสาว และมีเพื่อนที่ระนองคอยพาเที่ยวในตัวเมืองค่ะ

วันแรก [Part 1]
กรุงเทพฯ > ระนอง > โรตีนิสรา > วัดบ้านหงาว > ภูเขาหญ้า > วัชรีของฝาก > ก้อง วัลเลย์
> น้ำตกปุญญบาล > ร้านเคียงเล > รักษะวาริน > ถนนคนเดิน > โรงแรมทินิดี
วันที่สอง [Part 2]
โรงแรม > ตลาดระนอง > นั่งรถสองแถวไม้ > กะเปอร์ > บ้านไร่ ไออรุณ

วันที่สาม [Part 3]
บ้านไร่ ไออรุณ > นั่งรถสองแถวไม้ > เมืองระนอง > ร้าน Farmhouse > พระราชวังรัตนรังสรรค์
> ระนองแคนย่อน > วัดหาดส้มแป้น > รักษะวาริน > ตลาดภูมิชนก > บขส. ระนอง > กรุงเทพฯ

การเดินทาง

เดินทางด้วยรถบัสโดยสารจากสถานีขนส่งสายใต้  ที่นี่มีรถให้บริการมาถึงเมืองระนองหลายบริษัทค่ะ  แต่เราซื้อของ บขส.  เพราะตอนแรกว่าจะไปลงที่กะเปอร์เลยค่ะ

** ระนองมีสนามบินห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโล  สามารถนั่งเครื่องมาได้  มีรอบเช้าตรู่กับรอบเย็นค่ะ
** หากไม่มีรถ  สามารถเหมารถไม้สองแถว ราคา 1,500 บาทต่อวัน, ไม่รวมน้ำมัน  ก็พาเที่ยวได้ทั่วและได้อารมณ์ชิลล์ๆ  ดีเหมือนกันนะคะ

ค่าใช้จ่าย

ที่พักรวมอาหารเช้า 3 คน : โรงแรมทินิดี (1590 + เสริม 550) , บ้านไร่ ไออรุณ (2900)
ค่ารถ กทม.-ระนอง : บขส. 448 บ. /คน/เที่ยว
รถกะเปอร์-ระนอง : 45 บ./คน/เที่ยว
ค่าอาหาร 3 คน : ประมาณ 4,500 - 5,000 บ. (หลักๆ ที่เคียงเล 1,300 และบ้านไร่ 2,000)
ตกแล้วประมาณ... 4,500 บาทต่อคน


เอาล่ะ... จัดกระเป๋ากันให้เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ
เราก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่า!


ล้อหมุนจากสายใต้ตอน 2 ทุ่มครึ่ง ไปถึง บขส. ระนอง ราวตี 5 ครึ่ง ก็นั่งรอเพื่อนมารับไปเที่ยวในตัวเมืองค่ะ อากาศกำลังเย็นสบาย มีลมหนาวโชยมาหน่อยๆ ไม่คิดเลยว่ามาที่นี่จะหนาว กลัวแต่ว่าจะเจอฝน เพราะเค้าว่าที่นี่ฝนเยอะ เป็น ‘เมืองฝนแปดแดดสี่’ นี่คะ แต่พวกเราโชคดีมากๆ ที่ช่วงที่ไป ไม่มีฝนเลยสักวันค่ะ ^^

โรตี ไก่ทอด นิสรา

เพราะอาหารเช้าสำคัญ  หลังจากเพื่อนมารับไปล้างหน้าล้างตากันแล้ว  เราก็มุ่งหน้าตรงดิ่งไปยัง “บ้านหงาว” ห่างจากตัวเมืองไปสักราว 10 กิโล  เพื่อลองชิมโรตีชื่อดังของที่นี่ “โรตีนิสรา” ซึ่งอยู่คู่ๆ กันกับ “ไก่ทอดนิสรา” ค่ะ
เวลาเปิดปกติ 8:00-13:00 น. เสาร์อาทิตย์อาจหมดก่อนด้วย


ไปถึงก่อนเวลาก็ต้องเดินชมตลาดรอไปก่อน...
** ที่ตลาด  เค้าว่ามีร้านห่อหมกอร่อยด้วยค่ะ  แต่เก็บท้องไว้กินโรตีเลยไม่ได้ลองค่ะ
** ข้างๆ ร้านไก่ทอด  มีร้านขายผ้าปาเต๊ะเล็กๆ ราคาย่อมเยาให้เลือกซื้อด้วยนะคะ

เดินเสร็จก็กลับมาจดจ่ออยู่หน้าร้านสักพัก  ก็เห็นเจ้าของออกมาตั้งกระทะทอดไก่  เราก็ตื่นเต้นลั้นลา  เตรียมจดรายการลงกระดาษ และได้ออเดอร์เป็นโต๊ะแรกเลยค่ะ
ในขณะนั่งรอ  คนก็เริ่มทยอยเข้ามานั่งเต็มร้าน  และด้วยความอยากลองและกำลังหิวๆ ผลที่ได้คือเต็มโต๊ะเลย...  
แต่ทั้งหมดนี้  เพียง 300 กว่าบาทเท่านั้น  (โอ้ววว มันดีงาม!)
โรตีที่นี่แผ่นหนาๆ อวบๆ กรอบนอกนุ่มใน  เนื้อแป้งหอมกลมกล่อม สามารถกินเปล่าๆ ยังได้เลย  เจ้าของร้านแถมน้ำแกงไก่มาให้กินคู่โรตีด้วย  หรือถ้าชอบกินหวานก็มีนมและน้ำตาลให้โรยหน้าค่ะ
ส่วนแบบใส่ไข่  และมะตะบะ(มีเฉพาะ ส.-อา.)  ก็อร่อยดีค่ะ
ข้าวยำ กับ สลัดแขก  อร่อยดีงามตามมาตรฐานค่ะ
ส่วนไก่ทอดของที่นี่  ตัวเนื้อไก่นุ่ม  ทอดมาสุกกำลังดีนะคะ (เจ้าของบอกว่าใช้แบบทั้งตัวมาสับเองเพื่อความสดหวาน) แต่การหมัก... รสชาติจะจางๆ หอมอ่อนๆ และแป้งค่อนข้างจืดไปนิดค่ะ  เลยจับราดน้ำแกงกะหรี่เข้าไปก็พอดีอร่อยเลยค่ะ
ถึงไก่จะผิดหวังไปสักนิด  แต่โดยรวมๆ แล้วมีเสน่ห์...  เอ๊ย! อิ่มอร่อยถูกปากมากค่ะ

อิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ มุ่งหน้ากลับมาทางเข้าเมือง  เพื่อแวะไหว้พระ ให้อาหารปลากันที่ “วัดบ้านหงาว” สักหน่อยค่ะ

วัดบ้านหงาว

วัดนี้ทำเลดีมากกกกกก  มีเนินเขาด้านหลัง  ส่วนด้านหน้าก็มองเห็น “น้ำตกหงาว” อยู่ไม่ไกลค่ะ


สระน้ำใหญ่มาก  ปลาก็ตัวโตด้วยค่ะ  ริมสระเป็นกุฏิที่ดูแล้วบรรยากาศอย่างกับรีสอร์ตเลยค่ะ
บันไดสีขาวด้านหลังที่เห็นสูงสัก 300 กว่าขั้น  ให้เดินขึ้นไปชมวิวได้ แต่พวกเราไม่ได้เดินขึ้นกันค่ะ ท้องมันหนักเกินกว่าจะอยากเดินออกกำลัง 55+
ให้อาหารปลาแล้วก็ไปไหว้พระกันดีกว่า... 

อุโบสถหลังใหม่สวยงามมากค่ะ ภายในก็สวยมากกกกกกก (แถม ก.ไก่ หลายๆ ตัวเลย)
พระพุทธรูปของที่นี่ทำจากดีบุกหนักถึง 3 ตัน  สมกับที่ระนองเคยเจริญรุ่งเรืองจากการเป็นแหล่งเหมืองแร่ดีบุกมาก่อน
กราบพระแล้วก็นั่งฟังดนตรีไทยเย็นๆ ชมลวดลายสวยๆ ของประติมากรรมเต็มผนังกันสักพัก  จากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปยังภูเขาหญ้าที่อยู่ใกล้ๆ กันค่ะ

แต่ๆๆ ออกจากวัดไม่ไกล  ขอแวะกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นกันสักหน่อยนะ ^^ ที่ 
"ร้านวัชรี" อยู่ตรงข้ามประตูวัดเลยค่ะ 
ของฝากเมืองระนองจะเป็นกาหยู หรือ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ กล้วยอบ กะปิ ประมาณๆ นี้ค่ะ

ภูเขาหญ้า

เป็นเขตเนินเขากว้างๆ โล่งๆ เต็มไปด้วยต้นหญ้าและมีต้นไม้ขึ้นหรอมแหรม  เป็นแหล่งปิกนิกยามเย็นของคนที่นี่ด้วย  ถ้ามาหน้าฝนก็คงเขียวๆ  แต่ตอนนี้เป็นสีทองไปหมด สวยแบบ ฮิปๆ ดีค่ะ
มองเห็น “น้ำตกหงาว” อยู่ตรงข้ามกันเลยด้วย สายยาวๆ สูงๆ นั่นน่ะค่ะ  ดูจากร่องรอยน้ำแล้ว  เดาว่าหน้าน้ำคงจะเป็นน้ำตกที่ใหญ่มาก และสวยมากๆ แน่นอนเลย
แล้วจากนี้เราจะเดินทางย้อนขึ้นไปยัง อ.กระบุรี... เพื่อไปดื่มกาแฟสด... ที่สดที่สุดในโลกกันค่ะ

“ก้อง วัลเลย์” @กระบุรี 

จากตัวเมืองระนอง  ขับรถมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยัง อ. กระบุรี กันค่ะ จุดหมายของเราอยู่ห่างไปสัก 60 กม.  เส้นทางคดโค้งเลาะเลียบเขาสวยๆ เขียวๆ  และเห็นทะเลลิบๆ บ้าง  บางช่วงกำลังทำถนนจึงขรุขระไปนิด  ขับมาเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงแล้วค่า..

“ก้อง วัลเลย์”
ไร่กาแฟอินทรีย์อินดี้  คั่วมือ บดสดๆ ชงสดๆ  ...จะหาสดกว่านี้จากไหน?
ที่นี่เป็นวิสาหกิจชุมชน และมีผลิตภัณฑ์เกรดส่งออกเลยทีเดียว

เปิดประตูรถปุ๊บ  กลิ่นกาแฟหอมๆ ก็รอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
เราเดินผ่านร้านกาแฟด้านหน้า  ตรงเข้าไปด้านในถึงโรงคั่วกาแฟได้เลยค่ะ

สภาพสวนดูแล้วไม่ต่างจากสวนทั่วๆ ไปเลย  ไม่ได้เป็นไร่กว้างๆ อย่างที่คิดไว้  ต้นกาแฟก็ซ่อนตัวอยู่กับต้นไม้อื่นๆ จนต้องถามว่าอยู่ไหน (^__^)  กาแฟที่นี่เป็นสายพันธุ์โรบัสตา ได้จากในไร่นี้และมีรับมาจากชาวบ้านใกล้เคียงที่ได้รับถ่ายทอดความรู้จากคุณก้อง
ในภาพน้องผู้ชายกำลังคั่วกาแฟ  เตรียมส่งเข้าร้านที่สั่งเอาไว้ค่ะ  ตอนแรกๆ ก็ขอน้องเค้าว่าอยากลองคั่วเมล็ดกาแฟดูหน่อย  แต่น้องเค้าก็ไม่ไว้ใจค่ะ  คงกลัวทำไหม้ยกกระทะ  เพราะคั่วจนใกล้จะได้ที่แล้ว แต่พอเริ่มกระทะใหม่  น้องก็ให้ลองคั่วได้ค่ะ  (นี่คงกะว่าถึงเราคั่วพลาดก็แก้ไขทัน ^^)

เสียดายนิดนึงที่วันนี้คุณก้องไม่อยู่... ไปออกบูธงานเที่ยวไทยที่สวนลุมฯ ค่ะ  แต่ก็มีน้องพนักงานคอยเล่าเรื่องขั้นตอนการเก็บ ตาก และคั่วเมล็ดกาแฟให้ฟังคร่าวๆ  กับมีคอกาแฟขาประจำมาช่วยกัน  พากันบด พากันชง พากันชิม เต็มที่ค่ะ

ก่อนอื่นก็เริ่มต้นชิมชาดอกกาแฟกันก่อน  เป็นชาที่ได้จากดอกกาแฟอบแห้ง  รสชาติจะหอมๆ ติดหวานนิดๆ และไม่ขมฝาดเลย  จากนั้นก็ลงมือ  ขโมยเมล็ดกาแฟที่น้องผู้ชายเพิ่งคั่วเสร็จ  มากรอกลงเครื่องบด บดๆๆ ใส่ลงเครื่องชงกันสดๆ ค่ะ
ชิมกันแล้วก็ได้เวลาช้อป...  ที่นี่มีทั้งกาแฟเป็นเมล็ด และแบบคั่วบดแล้ว  รวมไปถึงเครื่องต้มกาแฟขายด้วยค่ะ  ได้ชาดอกกาแฟ กับกาแฟ Medium กับ Dark Roasted มาอย่างละถุง  กะว่าเอามากินสลับ  บ้างก็ผสมกัน  เพิ่มความสนุกในการกินไปอีกค่ะ

ชิมกาแฟดำร้อนๆ มากเข้าก็ไม่ไหว  ขอเดินไปสั่งแบบเติมนม เติมน้ำแข็งที่ร้านด้านหน้าสักหน่อยดีกว่า
ด้านหน้าเป็นร้านอาหารและกาแฟ  บรรยากาศริมน้ำน่านั่งดีค่ะ
 

ส่วนของอาหาร  แอบมองโต๊ะข้างๆ ก็ดูน่ากินดีนะคะ  แต่พวกเรายังอิ่มโรตีกันอยู่ เลยได้แค่สั่งแค่กาแฟคนละแก้ว... และขอบอกเลยว่ากาแฟที่นี่เข้มจริง  คนไม่ชินอาจมีมึนได้ค่ะ
สูบกาแฟกันจนพอใจก็ได้เวลาบอกลาก้องวัลเลย์  กลับเข้าเมืองกันเถอะ

*** ที่นี่มีบ้านพักโฮมสเตย์ด้วย ราคาไม่แพง หลักร้อยเท่านั้นเองค่ะ น่าสนใจมาก...


ระหว่างทางกลับ...  แวะรับความชุ่มฉ่ำของ “น้ำตกปุญญบาล” กันสักนิดก่อนค่ะ  ...น้ำเยอะ เย็นชุ่ม มีคนลงเล่นน้ำอยู่ประปราย
จากนั้นก็ขอเข้าที่พักเก็บของ นอนเอนหลังกันสักหน่อย รอเวลาเย็นจะไปหาอาหารอร่อยๆ กินกันค่ะ


ร้านอาหารเคียงเล

ขับรถออกมาทางปากน้ำระนอง หาอาหารทะเลอร่อยๆ เคล้าวิวพระอาทิตย์ตกหลังฝั่งพม่ากันดีกว่า
มาถึงก็เลือกโต๊ะ สั่งอาหารกันเรียบร้อย ระหว่างนั้นก็ชมวิวรออาหารไปพลางๆ 

ภาพด้านบน เด็กๆ เค้าออกหากั้งกันค่ะ 
รอต่อไปอีกไม่นาน อาหารก็มาแล้ว
ได้ลองเมนูแปลก “ยำกุ้งเคย” ทำเหมือนยำปลาดุกฟู  แต่ใช้ตัวเคยทอดกรอบๆ ให้รสกลิ่นเกือบๆ กะปินิดๆ แปลกๆ ดีค่ะ
ขอแอบหักคะแนนร้านนี้นิดนึงที่ใส่แครอตมาในใบเหลียงผัดไข่  (อันนี้ไม่ปลื้มเป็นการส่วนตัวค่ะ  ชอบแบบเพียวๆ มีแต่ใบเขียวๆ กับไข่เท่านั้น)
นอกนั้นก็รสดีงามตามมาตรฐานค่ะ  ชอบต้มยำ... แซ่บดี  หมูฮ่องกลมกล่อม  สามชั้นคั้วเกลือก็ดีค่ะ
ห่อหมกอร่อยได้ปูก้อนโตๆ แต่เผ็ดได้เรื่อง  โดดเด่นด้วยการนำเสนอจาน เก๋ๆ ดีค่ะ
หอยนางรมสดๆ ตัวโตๆ จัดเครื่องมาให้เกินราคามาก...
แถมราคาถูกได้ใจด้วยค่ะ  อาหาร 9 อย่าง... ค่าเสียหายประมาณ 1,300 เท่านั้นเอง

รักษะวาริน

หอบท้องอิ่มๆ อืดๆ มาพักพิงที่ "สวนสาธารณะรักษะวาริน" ซึ่งเป็นขวัญใจของทริปนี้เลยค่ะ

ในบริเวณนี้จะมีบ่อน้ำร้อน 3 บ่อ คือ บ่อพ่อ (โดดเด่นอยู่กลางลาน) บ่อแม่ และบ่อลูกสาว  มีท่อส่งต่อน้ำร้อนไปยังสระแช่เท้า  แช่ตัวอีกหลายๆ บ่อภายในสวนสาธารณะแห่งนี้  สามารถเลือกความร้อนได้ตามระดับความฮาร์ดคอร์ของแต่ละคนเลยค่ะ

นอกจากน้ำร้อน...  ยังมีลานร้อนให้นอนคลายเมื่อย ซึ่งภายใต้ลานเป็นบ่อพักน้ำร้อนค่ะ  ทำให้พื้นลานอุณหภูมิสูงหน่อย 
เราก็มานอนพลิก  ปิ้งหน้าปิ้งหลังอยู่สักพักให้เหงื่อออกน้อยๆ  จากนั้นก็เดินไปก็ลุกไปแช่เท้า... อ้า... สบายยยยยย

ใครอยากแช่ตัวก็มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องอาบน้ำ อำนวยความสะดวกให้ค่ะ และนอกจากบ่อสาธารณะ ก็มีส่วนสระของโรงแรมทินิดีที่เสียค่าบริการ 40 บาท (นำคูปองจากโรงแรมมาเข้าฟรีได้) หรือถ้าอยากส่วนตั๊วส่วนตัวสุดๆ  ข้ามถนนไปก็จะเป็น "Siam Hot Spa" ที่ให้บริการน้ำแร่ในอ่างจากุซซี่
(แต่เหมือนจะต้องมีชุดว่ายน้ำมาหรือไม่ก็ใช้ของสปานะคะ)

ก่อนที่จะกลับไปนอนโรงแรม  ขอแวะ "ถนนคนเดิน" สักหน่อย อยู่เส้นถนนเรืองราษฎร์  ถนนคนเดินที่นี่ปกติมีทุกวันเสาร์ค่ะ แต่ตอนไปเป็นช่วงตรุษจีนเลยงอกออกเป็นช่วงสามวันพอดี
ของที่ขายจะแนวๆ ตลาดนัดเพื่อคนพื้นที่  หนักไปทางเสื้อผ้าและของกินบ้างประปราย  ไม่ใช่ถนนคนเดินสำหรับนักท่องเที่ยวที่สามารถหาของฝากเก๋ๆ ได้นะคะ 
แต่อย่างน้อยๆ ก็ได้ขนมกับน้ำหวานมาเติมพุง  จากนั้นก็กลับโรงแรมกันเถอะ ^^

โรงแรมทินิดี

ตอนแรกที่เลือกที่นี่เพราะเห็นว่ามีสระน้ำแร่ที่สูบมาจากบ่อที่รักษะวาริน และมีสระจากุซซี่ด้วย  กะว่าเที่ยวเหนื่อยๆ ก็แวะแช่น้ำด้านล่างก่อนเข้านอนคงฟิน  แต่.... ต้องเสียดายสุดใจที่สุดท้ายก็ไม่ได้แช่ เพราะไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำมาค่ะ  ไม่รู้ว่าตามกฎเค้าให้ใส่ชุดว่ายน้ำ ฮือ...  ที่โรงแรมมีให้เช่านะคะ  แต่ก็ไม่อยากใช้ร่วมกับใคร  เลยได้แค่ไปใช้บริการห้องซาวน่า  อบตัวขัดผิวเบาๆ ก่อนนอนแทนค่ะ

อีกบริการหนึ่งของที่นี่คือรถตู้ไปส่งที่รักษะวาริน  ซึ่งที่บอกไปแล้วว่าที่นั่นจะมีสระแยกเฉพาะของโรงแรมไว้  ไม่ต้องปนกับใครมากเท่าสระสาธารณะ  และใส่ชุดธรรมดาๆ  ลงได้ค่ะ
หากพักที่นี่  สามารถขอคูปองจากเค้าน์เตอร์ไปลงแช่ได้ฟรีในช่วงวันที่เข้าพักค่ะ

หลับตาพักผ่อนไม่นานก็เช้าแล้ว...  ลงไปกินข้าวเช้าเติมพลังกันก่อน
บุฟเฟ่ต์เค้าโอเคเลยค่ะ  มีอาหารเยอะดี  มีข้าว  มีขนมจีนด้วย  (รึอาหารเช้าของระนองสไตล์คือขนมจีน?? อันนี้ไม่แน่ใจ)  แต่กินยังไม่ครบก็อิ่มแล้ว

จากนั้นก็เช็คเอ้าท์  เพื่อออกเดินทางไป  “กะเปอร์”  กัน... บ้านไร่ฯ จ๋า รอก่อนน้า!! 

ติดตามต่อได้ใน Part 2 จ้า...

No comments:

Post a Comment