21 June 2017

# แก่นฝัน # โคแก่

รักล่วงเวลา - กาลที่ 3 : สามร้อยล้าน

รักล่วงเวลา ชุด กาลรักหนึ่ง

ผู้เขียน : แก่นฝัน

เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน

© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต






กาลที่ 3 : สามร้อยล้าน

     
          ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ซึ่งกินบริเวณของทั้งชั้นที่กว้างขวางที่สุดของอาคารทรงกลมรูปร่างคล้ายบอลลูนที่ลอยแขวนอยู่บนท้องฟ้า รอบด้านเป็นกระจกใสเปิดให้เห็นทัศนียภาพภายนอกที่ก้อนเมฆขาวถูกสาดย้อมด้วยแสงสีทองยามเย็น
          เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่างก็จะเห็นปลายยอดแหลมของสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่สูงเสียดฟ้ามากมายที่มีความสูงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบชั้นพุ่งผุดจากพื้นดินเบื้องล่าง ระหว่างช่องว่างของแต่ละกลุ่มอาคารถูกตัดขวางพาดผ่านด้วยเลน... ช่องทางจราจรที่มองไม่เห็นคล้ายไม่มีอยู่จริงแต่ทำงานด้วยระบบสัญญาณนำร่อง เพื่อให้แอร์โมบิล... พาหนะนำส่งหลากหลายรูปทรงวิ่งแล่นตามกันเป็นเส้นสายขวักไขว่ทับซ้อนกันไปตามแต่ละชั้นยกระดับของเลน
          หลังจากแสงทองอมส้มของตะวันเปลี่ยนเป็นความมืด ผู้คนที่ก้าวเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงแห่งนี้ก็ยิ่งมากขึ้นตามลำดับ ฝ่ายสุภาพบุรุษล้วนอยู่ในชุดสูทสีเข้มตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าชั้นดีที่แม้จะเข้ารูปกระชับร่างผู้ใส่อย่างไรก็ยังไม่อึดอัดเพราะมีความยืดหยุ่นสูง ส่วนฝ่ายสุภาพสตรีนั้นมาในชุดราตรีหรูหราหลากหลายรูปแบบและสีสัน มีทั้งตัดเย็บจากผ้าเนื้อนุ่มพลิ้วไหวบางเฉียบราวจะโปร่งแสง หรือไม่ก็เป็นผ้ากึ่งเมทัลลิกเงาวาวสะท้อนแสงไฟ
          ไม่ต่างจากคู่ชายหญิงที่เพิ่งเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามา ผู้มาใหม่ที่เรียกความสนใจจากผู้คนมากมายในงานให้หันไปมอง เสียงพูดคุยเจรจาเซ็งแซ่พลันเงียบลงโดยไม่ได้นัดหมาย
          ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เด่นสง่าในชุดสูทสีดำสนิท เสื้อเชิ้ตผ้าไหมชั้นดีสีเดียวกับเสื้อนอกไม่ได้ถูกติดกระดุมจนสุดและผูกไทด์ให้เป็นทางการมากนัก กระดุมสองเม็ดบนถูกปลดออกเผยให้เห็นลำคอแกร่ง ผมสีบลอนด์ทองตัดสั้นถูกเซ็ตไว้อย่างดี หนวดเคราจางๆ ขึ้นเป็นระเบียบครอบคลุมพื้นที่เหนือริมฝีปากบางยิ่งขับส่งผิวสีแทนของชายหนุ่มให้ยิ่งดูกร้าวแกร่ง หากแต่สิ่งที่โดดเด่นสะกดสายตามากที่สุดบนใบหน้าหล่อเหลาก็คือ ดวงตาสีฟ้าเข้มจัดดุจท้องทะเลหน้าร้อน ที่ขณะนี้กำลังมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่มีวี่แววว่าจะสนใจหรือสะทกสะท้านต่อสายตานับร้อยคู่ที่กำลังจับจ้องมอง
          คีนส์ วิลตันไชลด์ หรือที่ผู้คนมักเอ่ยเรียกในนาม เค ดับบลิว... ผู้นำของหนึ่งในสี่ตระกูลทรงอิทธิพลแห่งยูไนเต็ดที่สิบสามมักตกเป็นที่สนใจของผู้คนอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อค่ำนี้เขาปรากฏตัวพร้อมกับรีซาน... สาวสวยทายาทของฟ็อกซ์ ตระกูลผู้กุมอำนาจสื่อที่ร่ำรวยและโด่งดังไม่แพ้กัน
          สาวงามร่างสูงระหงเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงซึ่งตอนนี้ถูกตลบม้วนเก็บอยู่กลางศีรษะ มีเพียงช่อผมเล็กๆ อ่อนช้อยประดับเกร็ดอัญมณีวาววับระอยู่ข้างแก้ม อวดโฉมใบหน้าเล็กเรียวสวยและดวงตาสีเขียวมรกตที่ดูหยิ่งผยองไม่สนใจผู้คนรอบด้าน นอกจากชายหนุ่มที่เธอกำลังควงแขนเดินเคียงกันไปยังที่นั่งที่มีพนักงานเดินนำอย่างนอบน้อม
          “เชิญตามสบายครับ” พนักงานเอ่ยเมื่อนำมาถึงชุดโซฟาหนังสีเทาหม่นและโต๊ะกระจกสี่เหลี่ยมตัวเตี้ยที่จัดไว้ยังแถวหน้าสุดฝั่งซ้ายของเวที
          คีนส์ก้าวเข้าไปนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวยาวโดยมีผู้คุ้มกันสองคนเดินอ้อมไปยืนประกบด้านหลัง ขณะยกท่อนขายาวขึ้นไขว่ห้างเอนหลังพิงพนักด้วยท่วงท่าดึงดูดสายตา ร่างบอบบางของหญิงสาวก็นั่งตามลงมาประชิดไหล่ชนไหล่ ชายหนุ่มส่งยิ้มเพียงมุมปากให้ เมื่อหญิงสาวจัดการสั่งเครื่องดื่มที่เขากำลังต้องการได้อย่างรู้ใจ
          “ขอบคุณ... จะมีใครรู้ใจผมไปกว่ารีซอีกไหม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกับกลุ่มผมหอมกรุ่นกลิ่นดอกไม้แท้ของแชมพูหอมชั้นดีราคาแพงที่อิงซบอยู่บนไหล่
          “ไม่มีหรอกค่ะ” รีซานเงยหน้ามาตอบอย่างมั่นใจ ในแววตาหลงใหลทอดความสนใจไว้เพียงชายหนุ่มตรงหน้าผู้เดียว “คนรู้ใจมิสเตอร์คีนส์หาได้ง่ายๆ ที่ไหน และจะให้รู้ใจ ใส่ใจ มีใจให้เท่ารีซก็ยิ่งไม่มีอีกแล้วแน่นอน”
          คีนส์เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นน้อยๆ ให้กับถ้อยคำสื่อความนัยที่หญิงสาวเอ่ยฝากแทรกมาอย่างอาจหาญ รอยหยักที่มุมปากยกขึ้นอีกนิดกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนล่อลวงให้ผู้ได้เห็นใจเต้น แต่สิ่งที่เอ่ยออกมากลับปัดซัดให้ความมั่นใจของเธอลอยหายกระจาย
          “ทุกสิ่งไม่มีอะไรแน่นอนหรอกรีซ”
          รีซานตีหน้ายุ่ง เม้มริมฝีปากเคลือบสีแดงสดแน่น ก่อนจะสะบัดหน้าหนีและขยับตัวออกห่าง เป็นการบอกให้รู้ว่าเธอไม่พอใจ
          แต่เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จนกระทั่งบริกรสาวนำเครื่องดื่มและของทานเล่นมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ถ่วงเวลาส่งสายตาให้ชายหนุ่มของเธอก็แล้ว ไฟในห้องถูกหรี่ลงก่อนจะสาดสว่างไปยังเวทีที่มีผู้ดำเนินเวทีหนุ่มรูปงามยืนเด่นประกาศกติกาของค่ำคืนนี้ซึ่งเป็นเรื่องซ้ำเดิมที่เธอรู้ดีจนจบก็แล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่ขยับตัวหรือเอ่ยอะไรกับเธออีกแม้แต่น้อย
          แววตาของรีซานฉายแววน้อยใจผสมขัดใจวูบหนึ่ง ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นดังเดิม รีซานผ่อนร่างโปร่งที่ขยับห่างมานั่งหลังตรงให้เอนลงแอบอิงไหล่หนาอีกครั้ง เอ่ยถามเสียงเบาแผ่ว
          “ไม่คิดจะง้อกันบ้างเลยหรือคะ?”
          “เป็นหน้าที่ผมหรือ” คีนส์ย้อนเสียเจ็บลึกโดยไม่ละสายตาจากภาพเสมือนจริงสามมิติขนาดใหญ่ที่ฉายอยู่กลางเวที ที่ดูจะสามารถเรียกความสนใจจากเขาได้มากกว่าหญิงสาวข้างตัวหลายเท่า
          ภาพของเสือโคร่งเพศผู้... เจ้าสัตว์ตระกูลแมวตัวยักษ์สีน้ำตาลส้มมีลายสีดำพาดขวางตลอดลำตัว นักล่าที่อยู่ชั้นบนของระบบนิเวศที่เคยโลดแล่นมีชีวิตในผืนป่าเมื่อราวพันกว่าปีก่อน แต่ได้สูญพันธุ์ไปแล้วด้วยน้ำมือของมนุษย์โบราณในยุคนั้น ทั้งทางตรงอย่างการไล่ล่าสนองความคึกคะนอง ล่าด้วยความเชื่อว่าชิ้นส่วนกระดูก เขี้ยว เล็บ หรือหนังของมันสามารถขับไล่ภูตผีปีศาจ หรือบางอวัยวะที่เชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะและเสริมสมรรถภาพ และทั้งทางอ้อมเช่นการทำลายผืนป่าถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน
          ใจร้าย... เย็นชาที่สุด
          รีซานลอบต่อว่าชายหนุ่มอยู่เพียงในใจ แต่ก็ไม่ได้ผละตัวออกจากข้างกายสูงใหญ่ พยายามทำใจและบอกตัวเองว่าอีกฝ่ายก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว แม้เธอจะถูกวางตัวให้เป็นคู่ควงของเขามายาวนานกว่าผู้หญิงคนไหน แต่ก็ไม่เคยได้รับความสำคัญขนาดเป็นคู่ควงเพียงคนเดียว นอกจากนี้เขายังเย็นชาห่างเหินและไม่สนใจจิตใจของคนที่มีใจรักให้เขาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีวี่แววของการใจอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย
          หากจะโทษใคร ก็ต้องเป็นตัวเธอเองที่ไม่ยอมตัดใจ เอาหัวใจของตัวเองคืนกลับแล้วแยกจากมา ด้วยยังหวัง... ว่าหากวันใดที่เขาต้องการมีคู่ชีวิต เขาจะต้องเลือกเธอเพราะไม่มีใครเหมาะสมเกินกว่า
          การช่วงชิงเสือโคร่งตัวโต หนึ่งในสินค้าที่นักข้ามเวลานำมาจัดประมูลดำเนินไปได้พักใหญ่ ตัวเลขที่ผู้ดำเนินเวทีเอ่ยขานพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ยังสู้ราคากับคีนส์เป็นชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่นั่งอยู่ตรงชุดโซฟาแถวหน้าสุดฝั่งขวาของเวที ชาลส์ แมคแกรี่... ชายหนุ่มจากตระกูลใหญ่ที่รู้กันทั่วทั้งวงการธุรกิจและทั่วทั้งยูไนเต็ด ว่าเป็นศัตรูคู่แข่งกับตระกูลวิลตันไชลด์มายาวนาน
          “หรือผมควรปล่อยให้เจ้าแมวยักษ์นี่ได้ไปอยู่กับคู่ตัวเมียที่ไอ้ชาลส์มันเคยได้ไปดีนะ” คีนส์เอ่ยขึ้นมาคล้ายจะปรึกษาความเห็นกับหญิงสาวข้างตัว
          “ตามใจมิสเตอร์สิคะ” รีซานตอบผ่านๆ อย่างที่รู้ดีว่าเขาก็เพียงแค่ถามไปเท่านั้น ความเห็นของเธอไม่เคยมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขาเลยสักนิด
          “งั้นปล่อยให้มันได้มีโอกาสหาคู่ก็น่าจะดี” คีนส์เอ่ยออกมาช้าๆ ก่อนจะกดสัมผัสไปบนปุ่มแดงบนหน้าจอโปร่งใสขนาดเท่าหนังสือสักเล่มที่ลอยอยู่เบื้องหน้า เป็นการแจ้งความต้องการถอนตัวจากการช่วงชิงสินค้าจากอดีตชิ้นนี้


          ค่ำคืนแห่งการประกาศศักดาแห่งอำนาจดีลของชนชั้นสูงที่นิยมสะสมของแปลกและหาไม่ได้ง่ายๆ ในกาลปัจจุบัน ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับอาคารสำราญลอยฟ้าที่เลื่อนลอยไปบนท้องฟ้าอย่างเรียบเรื่อย จนคนที่อยู่ภายในแทบไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว มีเพียงทัศนียภาพเบื้องล่างที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเท่านั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ลอยอยู่ที่เดิม สินค้าที่นักข้ามเวลาพกพามาจากคริสต์ศตวรรษที่ 21 ถูกฉายเป็นภาพจำลองสามมิติให้ผู้สนใจเข้าประมูลมันไปครอบครองชิ้นแล้วชิ้นเล่า จนมาถึงสิ่งของจากอดีตกาลอันไกลโพ้นชิ้นสุดท้าย
          “ป่าโบราณเขียวขจีขนาดสี่ร้อยสแควส์เมตร”
          ผู้ดำเนินเวทีประกาศพร้อมกับภาพป่าดิบขนาดย่อมที่มีต้นไม้ใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางเกินหนึ่งเมตรนับยี่สิบต้นปรากฏขึ้นกลางเวที ความหนาทึบอุดมสมบูรณ์ของมันทำให้หลายคนในที่นั้นตาลุกวาว ความปรารถนาอันลึกล้ำในใจเหล่ามนุษย์ยุคที่ต้นไม้แท้ๆ เพียงต้นเดียวก็มีค่าประดุจเพชรพลอยเม็ดใหญ่ เป็นแรงเร่งให้มูลค่าของเจ้าสินค้าชิ้นนี้พุ่งสูงขึ้นจากเริ่มต้นหลายเท่าตัว
          เสียงขานตัวเลขมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยั้งหยุด เพียงแต่เริ่มเชื่องช้าและเว้นระยะเวลานานขึ้นเมื่อมูลค่าดีดลอยขึ้นไปสูงลิบ
          “ไม่สนใจหรือคะ” น้ำเสียงหวานของรีซานกระซิบถามอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มข้างตัวยังไม่ขยับมือเสนอราคาเลยสักครั้ง
          แต่เมื่อเธอได้สบตาเขาแล้วก็ต้องชะงัก แววตาประกายคมกล้าฉายความปรารถนาหวังครอบครอง เปี่ยมด้วยความมั่นใจมองมุ่งไปยังเวทีกว้างที่ตอนนี้กลับกลายเป็นป่าเขียวเสมือนมันเป็นของจริง
          เขาไม่ลงมือพร่ำเพรื่อให้เสียเวลา แต่คงรอฟาดฟันผู้ที่เหลืออยู่ในครั้งเดียว... หญิงสาวนึกคาดเดาในใจ
          คีนส์ยกยิ้มมุมปากบางเบา ขณะเริ่มลงมือประกาศชิงของที่จะต้องเป็นของเขา ตัวเลขหลายหลักถูกป้อนขึ้นบนหน้าจอก่อนจะกดปุ่มเขียว
          “ร้อยล้านดีล!” เสียงผู้ดำเนินเวทีประกาศตัวเลขที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอด้านข้างเวทีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมๆ กับเสียงฮือฮาที่ตามมาทันที เพราะตัวเลขนั้นพุ่งขึ้นไกลเป็นสองเท่าของมูลค่าล่าสุด
          คีนส์เอียงหน้าและยกยิ้มไปยังชุดโซฟาฝั่งตรงข้าม จุดที่ชาลส์นั่งอยู่และกำลังหันขวับมาจ้องเขาเขม็งเช่นกัน ชายหนุ่มเห็นแววไม่พอใจของคนที่เสนอตัวเลขห้าสิบล้านชัดเจน
          “ร้อยห้าสิบล้านดีล!” ตัวเลขนั้นผุดขึ้นมาหลังจากที่ชาลส์ขยับมือไปบนหน้าจอของตน
          เหล่าผู้คนที่มาร่วมในงานประมูลวันนี้สูดหายใจแรง ได้แต่มองการแข่งขันช่วงชิงของสองหนุ่มจากสองตระกูลอยู่แต่วงนอก ไม่คิดกล้าและไม่สามารถยื่นมือเข้าไปร่วมต่อกรได้เลยจริงๆ
          นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างของคีนส์เข้มขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจกับการดึงดันของคู่แข่ง ตัวเลขที่เขาเสนอไปนับว่ายอมขาดทุนมากมายแล้วสำหรับมูลค่าที่แท้จริงของสินค้าชิ้นสุดท้าย และไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดสู้
          จะว่าไปแล้ว ป่าเพียงสี่ร้อยสแควส์เมตรนี้นับว่าเล็กน้อยเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งหากเทียบกับที่เขามีในครอบครองอยู่ หากมองในแง่การลงทุน... เขาควรจะวางมือ ไม่หลงตกลงไปในเกมแข่งขันขาดทุนไร้ประโยชน์ แต่ความรู้สึกในใจลึกๆ กลับร่ำร้องดังระงมให้เขาไม่ยอมหยุด ต้องการเป็นเจ้าของครอบครองป่าโบราณขนาดย่อมผืนนี้ให้จงได้
           “สามร้อยล้านดีล!!” 
                  

           คีนส์และรีซานนั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลังของแอร์โมบิลคันโตหรูหราขนาดเจ็ดถึงสิบที่นั่ง แตกต่างจากแอร์โมบิลที่ผู้คนใช้กันทั่วไปซึ่งเป็นขนาดเล็กเพียงหนึ่งหรือสองที่นั่งตามความจำเป็นเพื่อความประหยัดพลังงาน ด้านหน้ามีร่างสูงใหญ่ของทีต้าร์และสกาย... ผู้คุ้มกันของคีนส์ที่มักคอยประกบเป็นเงาตามตัวนั่งอยู่อีกสองคน
          “พรุ่งนี้คงได้เป็นข่าวใหญ่ มิสเตอร์เค ดับบลิวทุ่มดีลสามร้อยล้านเพื่อป่าดิบโบราณขนาดไม่ถึงเศษเอเคอร์” รีซานชวนพูดคุยทำลายความเงียบในแอร์โมบิลที่เคลื่อนไปบนเลนระดับบนสุด ซึ่งต้องจ่ายค่าใช้ทางแพงที่สุดแลกกับการสามารถทำความเร็วพาหนะได้สูงที่สุดเช่นกัน
          “เป็นข่าวก็ดีสิ ผู้คนจะได้สนใจอยากรู้ต่อไปว่าผมจะเอามันไปทำอะไรต่อ ได้ถอนทุนคืนมาเสียบ้าง” ชายหนุ่มที่เพิ่งจ่ายดีลก้อนใหญ่ไม่นึกสะเทือน มันสมองของนักธุรกิจย่อมต้องหาทางใช้ประโยชน์เรียกถอนมันคืนมาได้
          “แล้วมิสเตอร์คิดจะเอาไปไว้ที่ไหนคะ”
          “แอลเอซีโร่” ชายหนุ่มบอกออกไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดทบทวน
          “อยากให้ชาวยูไนเต็ดรู้เมื่อไหร่ดีคะ”
          “อีกสิบวัน”
          “ได้ค่ะ”
          “ขอบคุณ” คีนส์จบบทสนทนาลงเพียงเท่านั้น เขาชอบรีซานก็ตรงที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก แม่มดสาวในสังเวียนสื่อและสังคมบันเทิงก็รู้ทันและอ่านออกว่าเขาต้องการอะไร และยังสามารถตอบสนองเอื้อประโยชน์ให้กันได้ตรงใจ
          “คืนนี้ไม่ต้องไปส่งรีซที่ห้องดีไหมคะ” หญิงสาวเลื่อนสอดมือบางเข้ามาประสานกุมมือใหญ่ที่วางอยู่บนท่อนขาแกร่ง ปลายนิ้วของมืออีกข้างก็ไล้กรีดไปบนหลังมือแข็งแรงแผ่วเบา
          คีนส์ไม่ได้ต่อต้านหรือปฏิเสธ เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวต้องการสื่อสารออกมา โดยไม่จำเป็นต้องหันไปสบสายตาร้อนเย้ายวนของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มมองเบื้องหลังของสกายซึ่งนั่งอยู่หลังแผงบังคับแอร์โมบิลที่ขยับเกร็งขึ้นเล็กน้อยก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรอฟังคำสั่งจากเขาอยู่
          “ไปที่ฟ็อกซ์ทาวเวอร์เหมือนเดิม”
          “มิสเตอร์คีนส์...” รีซานตั้งท่าจะท้วงค้านด้วยเสียงที่แข็งขึ้นเล็กน้อย
          “ห้องของรีซไม่ต้อนรับผมหรือไง”
          ริมฝีปากสีแดงสดที่กำลังจะค้านต่อเงียบลงทันที แม้จะผิดหวังที่ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ของเขาได้อย่างตั้งใจ แต่ก็ยังดีกว่าที่คืนนี้เธอจะต้องก้าวลงจากแอร์โมบิลและเดินเข้าบ้านตามลำพัง

          เท้าในผ้าใบหุ้มข้อที่พื้นรองเท้าทำจากยางดอกใหญ่สำหรับเดินป่า ก้าวเร่งเร็วขึ้นตามเวลาและท้องฟ้าเบื้องบนที่เริ่มแปรเปลี่ยนเฉดสี อันเป็นการบ่งเตือนว่าเวลาค่ำกำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า มือของหญิงสาวที่เดินอยู่ลำดับเกือบท้ายสุดของขบวนแถวเรียงหนึ่งซึ่งมีสมาชิกหกคนขยับยกสายสะพายเป้ใบใหญ่ที่พาดอยู่บนไหล่ให้ผ่อนน้ำหนักที่กดทับสักครู่ ก่อนจะปล่อยมันลงเช่นเดิม เมื่อต้องใช้มือทั้งสองยึดราวเชือกที่ทางอุทยานขึงไว้เป็นหลักแก่นักท่องป่าเดินเขา เพื่อช่วยให้สามารถพาตัวก้าวไต่ขึ้นซอกผาหินและทางลาดชันได้สะดวกยิ่งขึ้น
          ฝนหลงฤดูที่เทสายกระหน่ำลงมาอย่างหนักเพิ่งหยุดไป นอกจากมันจะทำให้พวกเธอต้องหยุดพักจนเสียเวลาไปกว่าชั่วโมงแล้ว ยังทำให้หนทางเปียกลื่นชื้นแฉะ เพิ่มความลำบากยิ่งกว่าเดิม แม้จะต้องการเร่งรีบไปให้ถึงจุดกางเต้นท์ให้เร็วที่สุดเพียงใด แต่ทุกย่างก้าวของทุกคนในขบวนก็ยังต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
          “อ๊ะ!” เสียงอุทานของหญิงสาวและการหยุดเดินกะทันหันของเธอทำให้ทั้งขบวนหยุดชะงักและหันมามอง เห็นเพียงหญิงสาวก้าวเร็วๆ สองสามก้าวไปไกลขอบหน้าผา ชะโงกมองไปยังเบื้องล่างเพื่อหาอะไรสักอย่าง
          “เป็นอะไรขิม” ชายคนหนึ่งที่เป็นคนเดินรั้งท้ายส่งเสียงถาม
          “กำไลขิมร่วง...” ฝนปรายตอบก่อนที่แววตาเป็นกังวลจะวาวขึ้นเมื่อมองเห็นว่าสิ่งที่มองหายังไม่ได้หล่นกลิ้งหายไป มันเป็นกำไลเงินวงบางๆ ที่ตอนนี้สลักหลวมหลุดจนเปิดอ้าออกเป็นทรงครึ่งวงกลมสองอันเชื่อมกันอยู่ และมันก็กำลังเกาะเกี่ยวร่องหินขรุขระเกือบสุดปลายผา ที่เอียงลาดและยื่นออกไปเหนือผืนป่าเวิ้งว้างเบื้องล่างอย่างหมิ่นเหม่ หากมีลมสักหอบพัดมาสะกิดมันสักนิดก็คงร่วงหล่นลงสู่ป่าเขียวหนาทึบที่เห็นอยู่เบื้องล่างทันที
          และนั่นก็ทำให้ฝนปรายไม่รอช้าที่จะทำในสิ่งที่คนในขบวนเดินทางต้องร้องห้าม เมื่อเธอไม่ฟังก็ได้แต่เตือนให้ระวัง หญิงสาวทิ้งเป้ใบโตไว้กับพื้น ย่อตัวมุดลอดใต้ราวไม้กั้น มือข้างหนึ่งยึดราวไม้ไว้ขณะที่ร่างกายท่อนบนทิ้งน้ำหนักโน้มยื่นออกไปหาเป้าหมาย พยายามไม่มองเวิ้งเหวที่อยู่พ้นออกไปให้ใจไหววูบ
          นิ้วเรียวของหญิงสาวเกี่ยวรวบกำไลข้อมือซึ่งเป็นของต่างหน้ามารดาที่สวมติดตัวอยู่ตลอดเวลามาได้จนสำเร็จ ก็ออกแรงแขนที่ยึดราวไม้เอาไว้เพื่อโหนตัวกลับคืน
          แต่ใครเลยเล่าจะคาดคิด...
          ว่าสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวที่รับน้ำหนักของตัวเธอไว้จะผุกร่อนหักหลุดออกจากหลัก ก่อนจะร่วงติดมือของร่างที่หล่นตกหน้าผาไปท่ามกลางเสียงร้องของเพื่อนร่วมทางที่มองลุ้นอยู่รอบตัว ชายหนุ่มสองสามคนที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบกระโจนเข้าไปจะคว้าตัวเธอเอาไว้ แต่ก็ยังไม่มีใครเร็วพอ
          ตายโหงแล้ว!!!
        เสียงตะโกนลั่นสะท้อนก้องในใจของร่างที่ร่วงหล่น แต่ปากที่อ้าค้างไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาสักนิด นัยน์ตาคมโตเบิกค้างมองจุดที่เธอร่วงลงมาเลื่อนลอยถอยห่างไกลออกไป ดุจภาพในกล้องที่ถูกหมุนเลนส์ระเบิดซูมออกอย่างรวดเร็ว เธอลอยคว้างฝ่ากระแสอากาศบาดกรีดผิวเพียงไม่นานก็ตามมาด้วยความเจ็บแสบจากการถูกอะไรสักอย่างฟาดรัวเข้าทั่วร่าง ยังไม่ทันรับรู้ว่ามันคือกิ่งไม้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ มือไม้ของเธอก็เอื้อมกวาดคว้าทุกอย่างที่จะยึดเอาไว้ได้ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด!


        เฮือก! ความรู้สึกหวิวโหวงในท้องรุนแรงราวกับกำลังร่วงตกจากที่สูงไร้ที่สิ้นสุด กระชากฉุดให้หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากฝัน แต่เพียงแค่พลิกตัวขยับอย่างลืมตัวเพียงนิดเดียวเท่านั้น ทั้งร่างก็พลันเอียงเซวูบหล่นจากกิ่งไม้ใหญ่ที่เธอยึดเอาไว้เป็นที่อาศัยตลอดคืน
          แม้มือและแขนว่องไวจะรวบคว้าเกี่ยวเกาะกิ่งไม้ที่อยู่ระดับต่ำกว่าเอาไว้ได้ แต่ความเจ็บแปลบที่หัวไหล่ก็ทำให้มือของเธออ่อนแรงจนเผลอสละที่เหนี่ยวยึด แรงกระชากถ่วงด้วยน้ำหนักตัวเธอเป็นภาระหนักเกินกว่าหัวไหล่ที่เคล็ดขัดจะรับไหว สุดท้ายร่างของเธอก็ร่วงลงสู่พื้นดินเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยต้นหญ้า กอเฟิร์นและเหล่าพืชล้มลุกคลุมดิน
          “โอ๊ย... อะไรนักหนาเนี่ย!” หญิงสาวที่นอนแผ่หลากับพื้นหลุดคำสบถ
          ทั้งร่างของเธอตอนนี้ร้าวระบมไปหมดทุกส่วนจนแทบไม่อยากขยับ สองตามองไปยังกิ่งไม้บนต้นสูงที่เธอยึดเป็นที่นอนเมื่อคืน หลังจากที่ตกหน้าผาแล้วรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ เธอก็พยายามรวบรวมกำลังส่งเสียงตะโกนบอกให้เพื่อนได้รู้ว่าเธอยังไม่ตาย แต่ทนฝืนรอการช่วยเหลืออยู่ได้ไม่นานก็ต้องยอมแพ้วูบหมดสติไป
          ฝนปรายมองแสงสว่างที่ส่องลอดผ่านก้านใบเขียวหนาทึบของต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่ล้อมรอบตัว พยายามปลุกปลอบใจตัวเองให้อดทนอีกหน่อย อีกไม่นานเจ้าหน้าที่อุทยานก็คงจะตามลงมาช่วยเธอแล้ว
        รอดตายจากการตกหน้าผาอย่างนี้ กลับไปคงต้องให้คุณยายพาไปไหว้พระทำบุญเสริมดวงแข็งๆ ที่คงเทหมดหน้าตักใช้มันหมดไปแล้ว กับการต้านเคราะห์ใหญ่ที่เพิ่งผ่านพ้น
          เสียงสวบสาบคล้ายมีการเคลื่อนไหวไม่ไกลทำให้หญิงสาวตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แขนอ่อนล้าสั่นระริกพยายามพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง กวาดตามองรอบตัว ภาวนาคาดหวังสุดใจว่าให้เป็นกลุ่มของเจ้าหน้าที่ที่มาตามหาเธอ ไม่ใช่เสียงของเจ้าถิ่นเจ้าป่าทั้งหลายที่ออกมาหากินหรือมาสำรวจทักทายสิ่งแปลกปลอม เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งและดูเหมือนจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หญิงสาวจึงพยายามรวบรวมแรงฮึด ดึงตัวเองให้ผุดลุกขึ้นยืนพิงหลังแนบกับเจ้าต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยชีวิต
          แล้วสายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่สามร่างที่โผล่เข้ามาตีวงล้อมเธอไว้อย่างรวดเร็วไม่ทันตั้งตัว ลำแสงสีฟ้าเป็นทางจากอาวุธคล้ายปืนที่เธอระบุประเภทไม่ถูกในมือของชายหนุ่มสองในสามร่างยกส่องตรงมา ทำเอาฝนปรายทั้งตื่นตะลึง ประหลาดใจ อกใจเต้นรัวและนึกหวั่นเกรงขึ้นมาทันที
          ท่าทางคนพวกนี้จะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่เธอรอคอยเสียแล้ว...


          นัยน์ตาสีฟ้าสดเข้มดุจ้องมองหญิงสาวที่ยืนแข็งค้างกลางวงล้อมของพวกเขาเขม็ง แรกนั้นคีนส์นึกไม่ไว้ใจว่าอีกฝ่ายอาจเป็นผู้บุกรุกหรือไม่ก็พวกสอดแนมอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับของสะสมชิ้นใหม่ของเขา แต่เมื่อได้กวาดตามองพิจารณาตลอดร่างเล็กบางผมเผ้ากระเซิงในชุดเสื้อผ้าสีเข้มและกางเกงขายาวรัดกุม เนื้อผ้าหยาบหนาดูไม่น่าสบายตัวและยังตัดเย็บเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แตกต่างจากเครื่องแต่งกายที่พวกเขาสวมใส่ ในสมองก็ผุดข้อสันนิษฐานซึ่งมีความเป็นไปได้สูงเกือบเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์
          ดูท่าป่าราคาแพงทุบสถิติผืนนี้จะมีของแถมไม่ธรรมดา และอาจเป็นตัวนำปัญหามาให้เสียแล้ว...
          แม้นักข้ามเวลาจะเก็บสิ่งของ พืชพันธุ์ หรือสรรพสัตว์ในอดีตมาทำการค้าประมูลได้มากมาย แต่ก็ไม่เคยมีการค้ามนุษย์ด้วยกันเองอย่างนี้มาก่อน แม้จะมาในรูปของแถมที่บางทีพวกนั้นเองก็อาจยังไม่รู้ตัวเลยก็ตาม
        คีนส์คิดอยู่ในใจอย่างเคร่งเครียด สายตาของเขาตวัดกลับขึ้นไปยังใบหน้าสีน้ำผึ้งดูขะมุกขะมอม ข้างแก้มซีดเซียวมีบาดแผลริ้วแดงๆ อยู่หลายรอย ชายหนุ่มจดจ้องเข้าไปในดวงตาที่เบิกโตแสดงอาการตื่นตกใจของเจ้าตัว เห็นหญิงสาวสอดส่ายสายตาซ้ายขวา มองสลับระหว่างคนของเขาทั้งสองคนที่ยังไม่ลดอาวุธลงอย่างหวาดๆ และเมื่อเธอมองมาทางเขาที่ยืนประจัญอยู่ตรงหน้า สายตาของเธอก็ประสานกับสายตาของเขาที่จับจ้องอยู่ก่อนเข้าพอดี แต่คราวนี้หญิงสาวกลับโต้ตอบด้วยการจ้องตอบมาไม่มีหลบ อาจเพราะเห็นว่าเขาไม่มีอาวุธและเธออาจเริ่มคุมสติได้แล้ว
          ณ เวลานั้น ความรู้สึกประหลาดกระแสหนึ่งสาดกระทบใจของชายหนุ่มอย่างรุนแรง คีนส์รู้สึกราวกับถูกดึงดูดให้ตกลงไปในหลุมดำลึกล้ำของนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น...
          ราวกับกระแสเวลารอบตัวหยุดนิ่งลง


          "เอายังไงต่อดีครับมิสเตอร์" 
          เสียงแหบต่ำของสกาย... ผู้คุ้มกันร่างสูงหนาดังมาจากเบื้องขวาของเขา ฉุดความคิดของคีนส์ให้กลับออกมาจากห้วงความรู้สึกประหลาด ชายหนุ่มเงียบไปอย่างใช้ความคิดเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ก็ออกคำสั่งให้ทั้งคู่ลดอาวุธลง ก้าวช้าๆ พาร่างสูงใหญ่เข้าไปใกล้แม่กวางสาวแววตาระวังภัย และหยุดยืนเว้นระยะห่างจากเธอเพียงแค่ก้าวเดียว
          ลำแสงชี้เป้าที่หายไปจากตัวและอาวุธถูกลดลงเก็บไว้ตรงหลังเอวของเจ้าของอาวุธทั้งสอง ช่วยให้ฝนปรายหายใจคล่องขึ้นเล็กน้อย แต่แววตาไม่ไว้ใจ ทั้งระแวดระวังก็ยังไม่ละไปจากกลุ่มคนประหลาด ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งเธอคิดว่าคงจะวัดได้ราวสองเมตรเป็นอย่างน้อย ทำเอาเธอที่สูงเกือบร้อยเจ็ดสิบกลายเป็นคนตัวเล็กไปในทันที ใบหน้าทั้งสามต่างมีเค้าโครงคนตะวันตก แต่ที่สะดุดตาสร้างความสงสัยให้เธอที่สุดก็คงเป็นการแต่งกายสุดประหลาด อย่างชุดคอเต่าสีเทาตัวยาวคลุมสะโพก กางเกงรัดรูปสีดำกับรองเท้าบูทสูงพ้นครึ่งแข้งของชายหนุ่มที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้ด้วยเยื้องย่างข่มขวัญ มันช่างไม่เข้ากับการเดินป่าในหน้าร้อนอย่างนี้เลยจริงๆ
          “Who Ya?”
          ประโยคคล้ายภาษาสากลแต่กลับแปลกสะดุดหูของชายตรงหน้า ลดแววตาระวังภัยของฝนปรายลงกลายเป็นแววครุ่นคิด ดูท่าทางแล้วพวกเขาคงไม่ใช่โจรป่าหรือพรานเถื่อน และถ้าหากเขาคิดจะทำร้ายเธอก็คงไม่มาเสียเวลาพูดคุยสอบถามอะไรกันอย่างนี้
          ซ้ำในตอนท้ายหญิงสาวยังลอบนินทาในใจอย่างไม่ชอบใจในแววตาข่มขู่คุกคามของอีกฝ่าย... หน้าตาก็ฝรั่งจ๋า แต่ดันพูดจาผิดๆ ถูกๆ ซะงั้น
          คิ้วเข้มที่พาดเหนือนัยน์ตาคมดุของคนถามขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าคร้ามคมก็ตึงเรียบขึ้นอีกระดับ
          “Yar name?..” เสียงที่กดต่ำถามย้ำช้าๆ อีกครั้ง
          “ขิม” แม้ในใจจะไม่ถูกชะตา แต่เธอก็ยอมตอบออกไปโดยดีเมื่อนึกเดาสิ่งที่เขาต้องการถามได้จากคำๆ หนึ่ง ในสถานการณ์ที่ตกเป็นรองอย่างนี้ ไม่ควรทำอะไรที่อาจเป็นการเสี่ยงหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า
          “แล้วรู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ที่ไหน”
          ประโยคยาวๆ ของเขาทำเอาคนถูกถามต้องเอียงหน้าแสดงความงุนงงไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจว่าเขาใช้ภาษาอะไรคุยกับเธออยู่กันแน่ ให้ฟังผ่านๆ บางคำมันก็เหมือนจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่สำเนียงและคำบางคำมันไม่ใช่
          สีหน้านั้นของหญิงสาวทำเอาคนที่มีความอดทนต่ำไม่ชอบพูดอะไรให้มากความชักเริ่มหงุดหงิด แต่พอนึกถึงความต่างของโลกที่เธอจากมาก็พอเข้าใจได้ มือใหญ่จึงยื่นออกไปหมายจะทำการบางอย่างด้วยไม่อยากเสียเวลา
          ฝนปรายปัดมือใหญ่ที่จู่ๆ ก็ยื่นเข้ามาหาอย่างตกใจ จะโดดถอยหนีก็ไม่ได้เพราะหลังชนติดกับต้นไม้ใหญ่อยู่ตั้งแต่แรก จึงตัดสินใจยกเท้าขึ้นตั้งท่าจะยันอีกฝ่ายให้ถอยห่างตัว แต่ร่างสูงใหญ่กลับเคลื่อนไหวเบี่ยงหลบรวดเร็ว แถมยังเข้ามาประชิดแตะปลายนิ้วลงกลางหน้าผากมนได้สำเร็จ
        หยุด! อย่าขยับ และอย่าคิดทำร้ายฉันอีก
          ฝนปรายชะงัก ก่อนจะชักเท้ากลับและยืนนิ่งทันที ไม่ใช่เพราะเชื่อฟังคำสั่งนั้นทั้งหมด แต่เป็นเพราะความแปลกใจที่ตอนนี้เธอฟังเขารู้เรื่องทุกถ้อยคำ แต่ที่ประหลาดยิ่งกว่าคือเขาไม่ได้เปล่งวาจาออกมาสักนิด คลื่นเสียงเหล่านั้นราวจะพุ่งตรงทะลุเข้าสู่สมองให้เธอรับรู้โดยไม่ต้องผ่านหู
          ในขณะที่หญิงสาวกำลังนิ่งงัน คีนส์ก็หันไปส่งสายตาปรามให้คนของเขาเก็บอาวุธที่ยกขึ้นเล็งหญิงสาวอีกครั้ง เพราะท่าทางจะทำร้ายเขาของเธอ
          ทีนี้ก็คุยกันรู้เรื่องสักที
        เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา คีนส์จึงเลือกวิธีสื่อสารกับเธอผ่านทางคลื่นสมองโดยตรง การสื่อจิตเป็นการสื่อสารสากลขั้นสูงที่สุดระหว่างสายพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน การสื่อสารชนิดนี้ไม่มีข้อจำกัดเรื่องภาษาหรือการเปล่งเสียง แต่มนุษย์ที่สามารถเป็นผู้สื่อจิตได้ก็เป็นกลุ่มคนจำนวนจำกัดที่มี กิฟต์พิเศษและผ่านการฝึกฝนปลุกพลังให้ตื่นขึ้นเท่านั้น
        “พวกคุณเป็นใครกันแน่” ฝนปรายเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยเต็มล้นกับความสามารถของกลุ่มคนประหลาด ไม่ได้ขยับตัวเบี่ยงหลบปลายนิ้วที่ยังแตะค้างอยู่กลางหน้าผาก เมื่อรู้ว่ามันคือวิธีสื่อสารของคนตรงหน้า
          นี่เราหลงมาเจอมนุษย์ต่างดาวลักลอบเข้ามาเก็บข้อมูลของชาวโลกเข้าให้หรือไง...
        แล้วนี่ก็คงเป็นร่างแปลงให้เนียนๆ กับคนบนโลกสินะ?
        เลือกมาหล่อเป็นนายแบบยกทีมเชียว
        ฉันเป็นมนุษย์โลกเหมือนกับเธอ ไม่ใช่เอเลี่ยนที่ไหน
        เสียงสื่อจิตแทรกความคิดมากมายของหญิงสาว ใบหน้าเรียบเฉยตรงหน้าเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย
        แต่เป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกในคริสต์ศตวรรษที่สามสิบสาม
        ศตวรรษที่สามสิบสาม?.. หญิงสาวนึกทวนตาม ก่อนเปล่งคำอุทานไม่อยากจะเชื่อ
          “ฮะ! ล้อเล่นน่ะ?!
          หากชั่วครู่ต่อมาเธอก็นึกเอะใจกับสิ่งที่เขาตอบออกมาได้ตรงความสงสัยทั้งที่เธอยังไม่ทันได้เอ่ยถาม หรือว่ามันไม่ใช่แค่เพียงเขาสามารถส่งเสียงตรงเข้ามาให้เธอเข้าใจเขาฝ่ายเดียวเท่านั้น ด้วยความอยากรู้จึงต้องลองทดสอบด้วยการปิดปากเงียบ
          คุณอ่านใจฉันได้?!’
        ทำนองนั้น... หัวไวใช้ได้นี่สาวน้อย
        คำเรียกขาน สาวน้อยที่เขาใช้ ทำให้คนฟังคิ้วขมวดเล็กๆ
        นายนี่สายตาท่าจะไม่ดี... ไอ้สาววัยสุดขอบเลขสองจะเหยียบเข้าเลขสามอย่างเรานี่เรียกสาวน้อยได้ที่ไหน
        มุมปากของคีนส์ยกขึ้นอีกนิดเมื่อความคิดที่เธอพูดกับตัวเองถูกส่งมาอย่างที่เธอคงลืมตัว แต่เขาก็นิ่งเงียบ ไม่ตอบโต้ในเรื่องไร้สาระว่าด้วยคำเรียกขานราวเอ็นดูที่ตัวเขาก็ยังตกใจตัวเองไม่น้อย ไม่เคยคิดว่าจะหลุดใช้กับใคร
          คุณจะบอกว่าพวกคุณมาจากพันปีข้างหน้า นั่งไทม์แมชชีนย้อนอดีตกันมาอย่างนั้นเหรอ?
          หัวสมองอันสับสนของฝนปรายยังไม่หมดคำถาม คำถามที่เจ้าตัวเองยังเชื่อสุดใจว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้
        นี่มันไม่ใช่ในหนังไซไฟข้ามเวลาทะลุมิติเสียหน่อย
        ไม่ใช่
        คำปฏิเสธของเขาทำเอาหญิงสาวต้องร้องในใจนั่นไง!
          ไม่ใช่พวกฉัน... แต่เป็นเธอต่างหากที่หลุดข้ามเวลามา
        ฮะ?! บ้าแล้ว!’
        ใช่... บ้าแล้ว... แกนั่นแหละไอ้ขิมที่บ้าไปแล้ว คิดเป็นตุเป็นตะว่าคุยกับพวกบ้าพลังจิตพวกนี้รู้เรื่อง
        ถ้าไม่ใช่เพราะดูหนังมากเกินไป ก็คงเพราะตกเหวหัวกระแทกแล้วหลับฝันไปยังไม่ยอมตื่นเสียทีแน่ๆ
        คิดแล้วฝนปรายก็ผงกศีรษะถอยหนีจากปลายนิ้วอุ่นจัดนั้นทันที ก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อหลังศีรษะกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นไม้เบื้องหลังอย่างแรงในทันทีเช่นกัน
          “โอ๊ย...” มือที่ปวดร้าวไปทั้งแขนยกขึ้นคลำจุดกระแทกที่มันเจ็บแปลบกว่าปกติ เพิ่งรู้สึกตัวว่าเป็นเพราะเคยมีรอยนูนโนบวมเป่งอยู่ตรงจุดนั้นอยู่ก่อนแล้ว
          จนเมื่อความเจ็บลดจางลง ใบหน้ายุ่งยากใจก็เงยขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง เผื่อว่าความเจ็บครั้งนี้จะทำให้เธอตาสว่างตื่นเต็มตา แต่สิ่งที่เธอคาดหวังไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมและดวงตาสีฟ้าสดคู่นั้นยังปรากฏชัดเจนอยู่ตรงหน้า ไม่ได้สลายหายไปเพราะตื่นจากฝัน
        ทว่าหลังจากที่ฝนปรายยืนนิ่งอึ้งไร้คำพูดอยู่อย่างนั้นเพียงไม่นาน ภาพทั้งหมดตรงหน้าก็พลันหายไปตามที่คาดหวัง แทนที่ด้วยความมืดสนิท และสติของเธอที่ดับวูบ!



อ่านต่อ >> กาลที่ 4 : แม่บ้านคนใหม่


หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ 
สั่งซื้อรูปเล่ม... 
www.KanFunBook.com 
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer

โหลดฉบับอีบุ๊ค... 
Meb : https://goo.gl/3Wom8E 
Hytexts : https://goo.gl/s31ks7



No comments:

Post a Comment