25 June 2017

รักข้ามเวลา ชุดกาลรักหนึ่ง #2

June 25, 2017 0 Comments

รักข้ามเวลา { ชุดกาลรักหนึ่ง #2 }

กาลรักหนึ่ง... ปีกแห่งรักขยับโบยบิน
เวลานับพันปีที่ขวางกั้น พลันหดสั้นเหลือเพียงพริบตา

สูตรทองม้วนสด (มีแค่กระทะเทฟลอนก็ฟินได้)

June 25, 2017 0 Comments
ชวนทำเมนูของโปรดแก่นฝันและใครหลายๆ คน
มันคือเจ้า "ทองม้วนสด" ... นุ่มๆ หนึบๆ หอม หวาน มัน นั่นเองค่ะ


ส่วนผสมทองม้วนสด

(สูตรนี้ได้มาเกือบๆ 40 ชิ้นค่ะ)
- แป้งมัน 2 ถ้วยตวง (หรือ 240 กรัม)
- กะทิ 1 ถ้วย (กล่องเหลี่ยมๆ 1 กล่องนั่นเอง)
- น้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม
- เกลือ ½ ช้อนชา
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- งาดำคั่วแล้ว 1-2 ช้อนโต๊ะ (ตามแต่ชอบเลยค่ะ)
- เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ลูก

** การแต่งสีและกลิ่น **

แบ่งส่วนผสมเป็น 4 ส่วน ส่วนละประมาณ 1 ถ้วย 
แต่ละส่วนใช้การแต่งสีได้ตามสะดวกและความชอบ ดังนี้
- น้ำสีจากธรรมชาติ เช่น น้ำใบเตย, น้ำดอกอัญชัน ปริมาณ ¼ ถ้วย
- สีผสมอาหาร หยดสีจนพอใจ ไม่ต้องเข้มมากนะคะ เพราะพอสุก แป้งจะใส ทำให้ขนมสีเข้มขึ้นค่ะ แล้วเติมน้ำ ¼ ถ้วย
- อาจเติมเนื้อสัมผัสและรสชาติ เช่น ฟักทอง เผือก มันม่วง ใช้นึ่งแล้วบด ¼ ถ้วย + น้ำ ¼ ถ้วย
*** ถ้าไม่แต่งสีอะไรก็เติมน้ำ 1 ถ้วยตวง ลงไปในส่วนผสมทั้งหมดเลยค่า ***

วิธีทำทองม้วนสด

1. ละลายเกลือและน้ำตาลในน้ำกะทิ ตอนนี้กลิ่นกะทิหอมหวานมันสุดๆ เห็นสีข้นๆ อย่างนี้แล้วอยากกินลอดช่องขึ้นมาเลย
(น้ำตาลมะพร้าวแท้ๆ ต้องนิ่มๆ บี้ได้นะคะ พวกที่แข็งปั๊ก บี้ไม่ลงเนี่ยตั้งข้อสงสัยว่าผสมน้ำตาลอื่นมาอ่ะป่าว แต่วันนี้มีเป็นน้ำตาลโตนดพอดี ยิ่งหอมสุดๆ ไปเลย)

2. เติมไข่ที่ตีๆ แล้วลงไปในส่วนผสมคนให้เข้ากัน

3. ในชามแป้ง... ทำหลุมตรงกลาง แล้วเทส่วนของเหลวลงไปคนผสมให้เข้ากัน

4. เติมงาคั่วแล้วพักส่วนของแป้งไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงค่ะ

** ระหว่างรอเราก็มาเตรียมส่วนที่จะแต่งสีกันค่ะ
วันนี้มีฟักทองก็เลยจัดการนึ่งจนนิ่ม แล้วก็มาบี้ๆๆ ไม่ต้องละเอียดมากก็ได้ค่ะ จะได้รู้ว่าใส่จริง ไม่ได้ใส่แต่สี :)
และวันนี้ไม่มีใบเตย เลยประยุกต์มั่วนิ่มใช้ชาเขียวตรามือแทน
กับมีลองรสกาแฟเพิ่มมาอีกด้วยค่ะ 
ใครไม่แต่งสีก็เติมน้ำเปล่าแทน หรือไม่ก็น้ำมะพร้าวที่เหลือจากที่เราเอามาแต่เนื้อนั่นก็ได้ค่ะ

5. ตั้งกระทะให้ร้อน ใช้ไฟอ่อนนะคะ ใช้กระดาษซับน้ำมันนิดๆ มาทากระทะและตะหลิวไว้กันติดค่ะ วิธีนี้จะทำให้ไม่มีน้ำมันมากเกินไป (แก่นฝันใช้น้ำมันมะพร้าว... ยิ่งหอมเลย ^^)

6. ตักแป้งเทลงไปประมาณ 2 ช้อนทานข้าว เกลี่ยๆ กลมๆ แบนๆ ไม่สวยก็ช่างมัน เดี๋ยวก็ถูกม้วน ^^
(ส่วนของเนื้อมะพร้าวใครจะบรรจงวางตอนนี้ หรือจะเทผสมกับแป้งแต่แรกเลยก็ได้นะคะ)
ปิดฝา สังเกตดูว่าแป้งดูแห้งลง แล้วก็พลิกกลับค่ะ เวลาแค่ไม่ถึงนาทีค่ะ 

วิธีสังเกตแป้งที่สุกจะเปลี่ยนจากขุ่นๆ มาใสขึ้น สีจะดูเข้มขึ้น

7. ตักขึ้นจากกระทะ แล้วก็ม้วนๆๆ เป็นอันเสร็จ พร้อมทานค่ะ 
อย่างแก่นฝันก็ม้วนไป หยิบกินไป ตอนร้อนๆ นี่มันฟินที่สุดค่ะ 
อ่านสูตรและวิธีทำแล้ว ดูไม่ยากเลยใช่ไหมคะ 
ใครชอบทานทองม้วนสดนี้ก็ลองทำดูได้ค่า
ขอให้หนุบหนับ ทานเพลินกันทุกคนนะคะ

Making yogurt : ทำโยเกิร์ตง่ายๆ ใครก็ทำได้ (Thermometer-free)

June 25, 2017 0 Comments
สวัสดีค่า... วันนี้ชวนมาเป็นคนเลี้ยงเชื้อ... "ทำโยเกิร์ตแบบง่ายๆ" ตามแบบฉบับแก่นฝันกันค่ะ 

ถามว่าทำไมต้องมานั่งทำกินเอง? 
แรกสุดเลยเพราะประหยัดค่ะ 55+
นอกจากนี้ เรายังได้โยเกิร์ตที่ไม่ปรุงแต่งน้ำตาล หรือสารอื่นๆ
แถมยังได้ช่วยโลก ลดขยะจากภาชนะพลาสติก ทั้งถ้วยทั้งช้อนที่เราทานเสร็จแล้วก็ทิ้งด้วยนะคะ (ดูเป็นนางงามขึ้นมาทันทีเลยอ่ะ)

ทำไว้ตอนเย็นๆ ค่ำๆ แล้วเอาเข้าตู้เย็นตอนก่อนนอน พอตื่นเช้ามาก็ได้ทานโยเกิร์ตสดๆ ใหม่ๆ แล้วค่ะ

สูตรทำโยเกิร์ต

(เราเริ่มจากนมเท่าไหร่ ก็จะได้โยเกิร์ตประมาณเท่านั้นเลยค่ะ)

- นมสดรสจืด (ถ้าเป็นแบบ whole milk เนื้อโยเกิร์ตก็จะแน่นกว่าแบบ low fat นะคะ นุ่นใช้เมจิขวดน้ำเงิน ไม่ก็ฟาร์มโชคชัยค่ะ)

- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ เลือก
ยี่ห้อที่ชอบเลยค่ะ (เราจะซื้อแค่ครั้งแรกเท่านั้นล่ะค่ะต่อไปก็ใช้โยเกิร์ตของเราเองนี่ล่ะค่ะเป็นหัวเชื้อในการทำครั้งต่อๆ ไป หรือนอกจากอยากจะทดลองหายี่ห้อที่พอใจไปเรื่อยๆ ก็สนุกดีค่ะ ^^)

อัตราส่วน
ปกตินุ่นจะทำครั้งละ 4 ถ้วย ทำทานคนเดียว ทำน้อยๆ ก็พอ จะได้กินสดใหม่ๆ เนอะ
ใช้นมขวด 800 ml กำลังพอดีๆ กับ โยเกิร์ต 1 กล่อง

วิธีทำโยเกิร์ต ...ง๊ายง่าย


1. ต้มนมในหม้อใช้ไฟอ่อนถึงกลาง คนเป็นระยะ จนให้มีไอขึ้นและเริ่มมีฟองเล็กน้อย ไม่ให้ถึงกับเดือดนะคะ (ถ้าใครมีที่วัดอยากจะเป๊ะเว่อร์ก็เป็นอุณหภูมิที่ 185F หรือ 85C ค่ะ)

คนเรื่อยๆ จับเวลาประมาณ 2-3 นาที ขั้นตอนนี้จะเป็นการฆ่าเชื้ออื่นๆ ที่เราไม่ต้องการ และแปรสภาพโปรตีนในนมให้มีความหนืดมากขึ้นค่ะ

*** ใครไม่มีเตาก็เอาเข้าไมโครเวฟรอบละ 1 นาที สัก 2-3 รอบ ได้ค่ะ (หลังๆ นุ่นก็ใช้วิธีเวฟเอาในภาชนะที่จะบรรจุโยเกิร์ต สะดวกดีค่ะ)

2. ปิดเตา คนต่อสักพักจนหมดไอลอยๆ (ไม่อย่างนั้นจะมีหน้านมเป็นฟิลม์ๆไม่สวยงามค่ะ) 
ตั้งทิ้งไว้ให้อุ่นๆ (110 F หรือ 43C) ทดสอบโดยลองแตะข้างภาชนะแล้วนับ 1-10 ได้โดยไม่ทรมานค่ะ บางคนก็ว่าให้หยดหลังมือว่าไม่ร้อน

3. เติมโยเกิร์ตต้นตระกูลลงไปค่ะ คนๆๆ ให้เข้ากัน จากนั้นก็ตักใส่ลงในภาชนะมีฝาปิดที่เราจะเก็บโยเกิร์ตของเรา อาจเป็นกล่องใหญ่เลย หรือเป็นขวดแก้วพอดีเสิร์ฟ หรือไม่ก็ถ้วยเล็กๆ แล้วใช้ฟิล์มถนอมอาหารปิดเอาก็ได้ค่ะ

4. ทำการห่อภาชนะด้วยผ้าขนหนูเพื่อคงอุณหภูมิไม่ให้เย็นลงเร็วเกินไป ให้เค้าอยู่นิ่งๆ มืดๆ ในที่อุ่นๆ นุ่นจับยัดเข้าตู้ไมโครเวฟนี่ล่ะค่ะ ทิ้งไว้สัก 4 ชั่วโมง และตอนนี้โยเกิร์ตจะเริ่มเซ็ตตัวเกาะกันแล้ว
เวลาเท่านี้จะได้รสเปรี้ยวน้อยๆ ครีมๆ นมๆ หน่อย แต่ถ้าใครชอบเปรี้ยวมากกว่านี้อาจตั้งไว้นานกว่านั้นเป็น 5-6 ชั่วโมงได้ค่ะ

5. นำเข้าตู้เย็นให้โยเกิร์ตเซ็ตตัว เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เหลือแค่รอให้เราเปิดตู้เพื่อเอาออกมาทานตอนเช้า คู่กับผลไม้สด แยม ถั่ว กราโนลา หรือราดน้ำผึ้งเล็กน้อยด้วยก็หอมหวานนิดๆ ดีค่ะ
** หากมีน้ำๆ ลอยอยู่ข้างหน้า ไม่ต้องตกใจ มันคือ น้ำและ Whey Protein กินได้ค่า...
** โยเกิร์ตสดๆใหม่ๆ ของเรา เวลาตักจะมีความตึ๋งหนืดมากกว่าที่เค้าขายกันนะคะ และถ้าแช่ตู้เย็นข้ามคืนไปอีกคืน เนื้อก็จะแน่นขึ้นเล็กน้อยค่ะ


ในรูปเป็นแบบทำลงถ้วยพร้อมเสิร์ฟสวยๆ วันนี้มีลำไยเชื่อมอยู่พอดี ก็ได้รสหวานๆ หอมๆ กินกับอัลมอนด์และเมล็ดเจีย ผสมความแตกต่างแต่อร่อยดีค่ะ

ขอให้สนุกสนานกับการเลี้ยงเจ้าจุลินทรีย์กินได้กันทุกคนค่า...











21 June 2017

รักล่วงเวลา - กาลที่ 11 : ติดอาวุธ

June 21, 2017 0 Comments

รักล่วงเวลา ชุด กาลรักหนึ่ง

ผู้เขียน : แก่นฝัน

เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน

© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต






กาลที่ 11 : ติดอาวุธ


          ฝนปรายไม่คิดเลยว่าการตกปากรับคำ ยอมรับงานผู้คุ้มกันตัวสำรองให้คุณหนูพีณาไปเมื่อช่วงบ่าย จะทำให้เธอต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนใจต่อเนื่องไม่หยุด และต้นเหตุของมันก็มาจากเจ้าของข้อเสนอตำแหน่งใหม่คนนี้คนเดียว
          หลังจากเจรจาตกลงกันเรียบร้อย แทนที่เจ้าของห้องทำงานอันแสนจะเงียบกริบไร้เสียงรบกวนแห่งนี้ จะรีบปล่อยให้เธอไปหาเด็กหญิงเพื่อทำหน้าที่สดๆ ร้อนๆ ของเธอ คีนส์กลับออกคำสั่งไล่ให้เธอไปนอนพักในห้องพักด้านใน ทันทีหลังจากที่เธอจามออกมาชุดใหญ่สามทีรวดสนั่นห้อง หญิงสาวกำลังจะค้านว่ามันคงไม่เหมาะสมที่จะให้เธอไปนอนบนเตียงที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นของเขา โชคยังดีที่แพทย์ประจำแอลเอวันมาถึงพอดี คนที่ตอนแรกยังค้านเสียงชนฝาว่าไม่ต้องการพบหมอจึงยิ้มกว้างโล่งใจ ที่มีใครเข้ามาแทรกบรรยากาศพิลึกและสายตาคมลึกที่จ้องเอาๆ เสียที
          ตรวจร่างกายเธออยู่ครู่หนึ่ง แพทย์หนุ่มก็กดๆ แตะๆ สั่งจ่ายยาบนหน้าจอขนาดพอดีพกลงกระเป๋าเสื้อโค้ทสีขาว ไม่นานตรงด้านข้างของกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมสีดำติดสัญลักษณ์เครื่องหมายบวกสีแดงที่เขาสะพายติดตัวมา ก็มีซองพลาสติกบรรจุยาเม็ดเล็กๆ สามสี่เม็ด โผล่ขึ้นมาในช่องจ่ายยา
          คนป่วยทานยาเรียบร้อย และนายแพทย์หนุ่มก็ออกจากห้องไปแล้ว แม้เธอรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็วจากยาชุดนั้น แต่เจ้านายสุดเฮี้ยบก็ยังสั่งให้เธอนั่ง รอดูอาการตรงโซฟาที่ตั้งบนพื้นห้องซึ่งพลิกขึ้นมาได้ตามความต้องการ
          ฝนปรายชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่าแค่เธอมีอาการเหมือนจะเป็นหวัดเท่านี้เอง แต่คนที่นั่งก้มหน้า หันซ้ายหันขวาทำงานกับหน้าจอของเขาไปเงียบๆ กลับทำเสียเป็นเรื่องใหญ่โต ราวว่าเธอเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงไปสู่หลานสาวของเขา จึงได้กักกันตัวกันไว้ขนาดนี้
          เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้วที่ฝนปรายนั่งนิ่งเกร็งไม่กล้าขยับหรือแม้แต่ส่งเสียง เพราะทันทีที่ทำอย่างนั้น สายตาคมกริบของคนหลังโต๊ะทำงานก็จะสาดตรงมาทางเธอแทบในทันที ทั้งที่เขาควรจะมีสมาธิกับสารพัดสิ่งที่แสดงอยู่บนหน้าจอโปร่งใสทั้งสามที่ล้อมตัวเขาอยู่แท้ๆ
          ให้อยู่เฉยๆ อย่างนี้นานเข้า ระดับความอดทนของเธอก็ชักจะลดต่ำลงๆ ด้วยไม่เห็นประโยชน์อะไรกับการนั่งหายใจทิ้งอยู่อย่างนี้
          “เอาล่ะ...” เสียงของชายหนุ่มแม้จะไม่ดัง แต่ก็เรียกความสนใจจากหญิงสาวได้ในทันที
          ฝนปรายยอมรับเลยว่าไม่เคยนึกยินดีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายมากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ หน้าจอทั้งสามถูกสั่งเก็บหายไปจากโต๊ะทำงาน ตามด้วยร่างสูงใหญ่ที่ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง และก้าวมาหาเธอด้วยฝีเท้าเนิบช้า
          “มิสเตอร์ปล่อยขิมไปทำงานของตัวเองได้แล้วใช่ไหมคะ” เมื่อเขาไม่พูดอะไรต่อเสียที เธอก็เลยต้องเร่งรัดเสียเอง
          “ยัง...”
          คำเดียวของเขา ส่งผลให้ดวงตาสีนิลกระตุกก่อนจะตวัดฉับมองเขาตาขวาง ให้คนก้มมองได้ยกมุมปากเล็กน้อยซุกซ่อนความพึงใจที่หากได้ขยับขั้นอีกนิดคงเป็นความเอ็นดู
          เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาเขาไม่ได้ปล่อยให้เสียเปล่า คีนส์เฝ้าสังเกตกระแสอารมณ์ ความนึกคิด และปฏิกิริยาของหญิงสาวที่นั่งอยู่อย่างละเอียดลออยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และสิ่งที่ได้พบก็นับว่าน่าพอใจอยู่ไม่น้อย
          แม้คนตรงหน้าจะมีความคิดเร็วร้อนและออกจะขี้หงุดหงิด แต่เธอก็สามารถควบคุมตนให้นิ่ง เย็น และมีความอดทนในระดับ... พอใช้ได้
          “ต้องหลังจากที่เราไปที่หนึ่งกันก่อน”
          จบประโยคนั้น คนพูดก็พยักหน้าหนึ่งทีแทนคำสั่งให้เธอลุกตาม ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง อาการท่าทางที่ทำให้คนนั่งอยู่ต้องลุกก้าวเท้าเดินตาม กลอกตาขึ้นฟ้าพร้อมถอนใจเฮือก
          ขอมอบโล่รางวัลขี้เก๊กระดับประเทศ... ไม่สิ ระดับโลกให้เลย!
        “เธอมาจากที่ไหนนะ?”
          ขณะที่ฝนปรายกำลังมองตัวเลขในลิฟต์นับถอยหลังดิ่งลงสู่เบื้องล่าง ผู้ร่วมลิฟต์ที่เธอกล่าวหาว่าขี้เก๊กได้โล่ก็หันมาชวนคุย หญิงสาวเอียงหน้าเหลือบมองคนถามแปลก
        ก็รู้อยู่ว่าเรามาจากอดีต... แล้วจะถามอีกทำไม
        “ฉันหมายถึง ประเทศคำนี้ใช่ไหมที่พวกเธอใช้เรียกเขตพื้นที่การปกครอง” คีนส์ขยายคำถามอย่างไม่ค่อยคุ้นกับคำโบราณที่เลิกใช้ไปแล้ว
          ทุกวันนี้บลูแพลนต์ถูกแบ่งเป็นอาณาจักรทวีปตามแผ่นเปลือกโลกซึ่งได้เคลื่อนย้ายซ้อนทับและเปลี่ยนแปลงไปจากโลกเมื่อพันกว่าปีก่อนพอสมควร และเรียกกลุ่มอาคารและโดมต่างๆ ที่กระจุกตัวกันอยู่ว่า ยูไนเต็ดโดยมีสภาบลูแพลนต์เป็นผู้ปกครองควบคุมความเรียบร้อยของยูไนเต็ดทั้งสามสิบแห่ง ไม่มีการแบ่งแยกพื้นที่การปกครองหรือแบ่งชนชาติ
          มนุษย์ยุคนี้ไม่นับถือศาสนา ไม่มีศาสดา... สิ่งที่ ณ ช่วงเวลาหนึ่งอันยาวนานถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการใช้กำลังความรุนแรง ก่อสงครามตัดสินความถูกผิดเหนือกว่า เกิดการฆ่าล้างทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเองจนสุดท้ายก็ล่มสลายตามกันไป ในเวลานี้มีแค่เพียง การพิจารณาแยกแยะแบ่งการกระทำดีชั่ว สิ่งใดควรทำไม่ควรทำ และนับถือเชื่อมั่นศรัทธาในตนเอง
          “ขิมมาจากประเทศไทย... ไทยแลนด์” หญิงสาวตอบทั้งที่ไม่คิดว่าเขาจะรู้จัก เพราะขนาดในช่วงเวลาเดียวกัน ยังมีคนต่างชาติที่ไม่รู้จักไทยแลนด์ หรือไม่ก็จำสับสนเยอะแยะไป
          “มิสเตอร์ถามทำไมเหรอคะ”
          “แค่อยากรู้”
          บอกสั้นๆ แล้วร่างสูงใหญ่ก็ก้าวออกจากลิฟต์ หญิงสาวจึงรีบเดินตามออกมา ไม่ทันได้นึกเอะใจสงสัยเลยว่าอยู่กันมาเกือบเดือน ทำไมใครบางคนถึงมานึก อยากรู้ เอาตอนนี้

         
          สถานที่ที่คีนส์พาฝนปรายลงมาถึงเป็นห้องใต้ดินที่สว่างไสว แลดูสะอาดตาด้วยสีขาวของพื้นและผนัง ตัดด้วยกรอบประตูกระจกฝ้า และแผงหลอดไฟเพดานสีนวลตา จากทางเดินส่วนกลางที่ทอดยาวไปทั้งด้านซ้ายและขวา ทำให้หญิงสาวรู้ว่าห้องใต้ดินแห่งนี้กว้างขวางกว่าส่วนอาคารอำนวยการด้านบนสามถึงสี่เท่า
          ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดหมีแขนขายาวสีเทาก็เดินเร็วๆ มาถึงและหยุดค้อมกายเล็กน้อยทักทายทำความเคารพนายใหญ่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ใช้ปลายนิ้วขยับแว่นอันโตสีชาจางๆ ให้เข้าที่ พร้อมส่งสายตาข้ามไหล่หนาของผู้เป็นนายไปมองหญิงสาวร่างเล็กที่อยู่ด้านหลังอย่างสนอกสนใจ แววตาฉายความประหลาดใจไม่น้อยเลย
          ตัวก็แค่เนี๊ยะ... หน้าตาก็เท่านั้น...
          “ล็อกซ์”
          ทันทีที่คีนส์เรียกคำเดียวเสียงเข้ม เจ้าของชื่อก็สะดุ้งเล็กๆ รีบดึงสายตากลับมา ก่อนจะเกาหัวยุ่งๆ ยิ้มแก้เก้อ แล้วจึงยกมือผายไปยังหน้าประตูบานหนึ่ง “ทุกอย่างเตรียมพร้อมตามที่สั่งไว้แล้วครับ เชิญมิสเตอร์”
          คีนส์เพียงพยักหน้าและเอ่ยขอบใจเบาๆ ขณะจะก้าวเดินไปยังรวบคว้าข้อมือบางของใครบางคนติดมือไปเสียด้วย
          อาการ หวงและ แสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนขนาดนั้น ทำเอานายช่างหนุ่มผู้ดูแลความเรียบร้อยในส่วนอุปกรณ์และอาวุธประจำฐานแอลเอวันถึงกับเลิกคิ้วหนาขึ้นสูง ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ พร้อมขยับยิ้มถูกอกถูกใจ
          ข่าวลือที่ซุบซิบกันทั่วอาคารอำนวยการเมื่อครู่ใหญ่ ดูท่าจะมีมูลให้คอยติดตามมากกว่าที่คิดซะแล้ว


          เมื่อเข้ามาในห้องที่ต้องการ คีนส์ก็คลายมือออกจากข้อมือบางช้าๆ ลอบอมยิ้มบางเบากับอาการรีบร้อนชักกลับไปซ่อนไว้ด้านหลังแล้วยังเช็ดถูมันกับชายเสื้อ ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะตัวยาวที่มีอุปกรณ์จำเป็นต่อตำแหน่งใหม่ของหญิงสาว เมื่อหันกลับไปมองคนที่ยังยืนนิ่งไม่ก้าวตามมาก็มีเพียงใบหน้าจริงจังให้เธอได้เห็น
          “มานี่” เขาออกคำสั่ง... อีกแล้ว
          และแม้หญิงสาวจะเดินเข้าไปตามคำสั่งแต่โดยดีแล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน
          “ทำไมต้องให้เรียกอยู่เรื่อย”
          ฝนปรายเงยหน้ามองด้วยสีหน้าเหรอหราที่ถูกโยนความผิด คิดตอบโต้ในใจอย่างนึกพาล
        แล้วจะรู้ไหมว่าตอนไหนอยากจะให้ตาม ไม่ให้ตาม... ไม่ใช่ตัวพยาธิในสมองลุงสักหน่อย จะได้รู้ทันความคิดไปหมดน่ะ
          แต่แทนที่คีนส์จะโมโห เขากลับหัวเราะในลำคอเบาๆ ให้กับความคิดเจ็บแสบนั้น
          คนที่กำลังคิดด่าทอเพลินๆ อย่างสะดวกสบายไม่ต้องเสียแรงเอ่ยปาก ถูกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินด้วยหูนั้นไล่ตีความคิดแตกกระเจิง จนเกือบถึงขั้นกลายเป็นระแวงแตกตื่น
          เมื่อตั้งตัวได้ก็เอ่ยอย่างเป็นห่วงเป็นใย... จริงใจสุดๆ
          “เมื่อครู่มิสเตอร์คีนส์น่าจะให้หมอตรวจดูสักหน่อยนะคะ ขิมว่าอาจเป็นเพราะตกใจเป็นห่วงที่พีณาถูกจ้องทำร้าย เครื่องเลยรวนๆ ทำตัวแปลกๆ ผิดปกตินะคะ”
          ถูกย้อนจับผิดเข้าให้อย่างนี้ คนเครื่องรวนก็ชักสีหน้านิ่งเรียบ จ้องหน้าคนปากกล้าทันทีด้วยสายตาเย็นชา
          “ไร้สาระ เลิกเสียเวลา... แล้วมาเข้าเรื่องงานของเธอได้แล้ว”
          คราวนี้คนตามไม่ทันต้องหน้าเหวอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคุ้นชินกับเจ้านายในมาดนี้มากกว่า หญิงสาวขยับเข้าไปมองของชิ้นแรกที่เขาหยิบขึ้นมาแต่โดยดี ฟังเขาอธิบายคุณสมบัติพร้อมสาธิตวิธีใช้อุปกรณ์ อาวุธลับแต่ละชิ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ นึกถูกอกถูกใจพวกมันอยู่ไม่น้อยเลย เวลายิ่งผ่านไป หญิงสาวก็ยิ่งขยับเดินตามเข้าไปใกล้จนแทบชิดร่างสูงใหญ่โดยไม่รู้ตัว
          สุดท้าย... ในบรรดาอาวุธที่แทบจะดูไม่เป็นอาวุธ คีนส์เลือกหยิบถุงมือหนังสีดำขึ้นมา ชิ้นที่หญิงสาวดูจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
          “เอาล่ะ พร้อมลองใช้มันดูหรือยัง”
          คำถามของเขาเรียกให้คนที่เอาแต่มองตามมือใหญ่หยิบนู่นจับนี่ ประกอบ จับบิดของแต่ละชิ้นอย่างคล่องแคล่ว เงยหน้าขึ้นมองคนถาม แล้วหญิงสาวก็ต้องชะงักไปนิด ก้าวถอยช้าๆ อย่างรักษาฟอร์มเมื่อพบว่าตัวเองมายืนอยู่ใกล้เขามากเกินไปสักหน่อย
          ใกล้ระดับที่ถ้าเธอเอียงคอผิดไปสักสี่สิบองศา ก็คงจะได้ซบเข้ากับต้นแขนแน่นหนานั่นแน่
          ฝนปรายตีหน้าเฉยไม่รับรู้แววตาเจือรอยยิ้มรู้ทัน เลี่ยงจากสายตาเขาไปมองสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้เธอรับไว้
          “ลองยังไงคะ”
          “ก็ลองดูว่าเธอจะใช้มันจู่โจมคนเพื่อป้องกันตัวได้หรือเปล่า”
          แม้เขาจะอธิบายแล้ว แต่คนต้องลองทดสอบก็ยังไม่หายสงสัย
          “แล้วมิสเตอร์จะให้ขิมทดลองกับอะไรคะ”
          มันเป็นอาวุธสำหรับโจมตีขั้นประชิดตัว ตัวต่อตัว จะให้เราไปต่อยตีกับอะไร...
        ระหว่างที่หญิงสาวคิดไป ร่างสูงก็เยื้องย่างช้าๆ ไปหยุดยืนเด่นตรงกลางห้องที่ปูพื้นยางนิ่มๆ สำหรับฝึกซ้อมการต่อสู้ เมื่อเห็นร่างนั้นหมุนตัวกลับมา ก่อนจะเอียงคอยืดเส้นซ้ายขวา สะบัดท่อนแขนแกร่งสองสามที และจบที่การพยักหน้าหล่อนิ่งๆ มาให้ เพียงเท่านั้น คนที่มีด่านพิเศษให้ต้องทดสอบด่วนก่อนปฏิบัติหน้าที่ก็ตาโต อย่าบอกนะว่า?!
        “สวมถุงมือแล้วมานี่... อย่ามัวแต่ชักช้า” คีนส์เร่งคนที่ยังยืนนิ่ง จดๆ จ้องๆ เขาด้วยสองตาที่เบิกโต
          “หมายถึงจะให้ฝึกกับมิสเตอร์?” ฝนปรายทวนย้ำอีกครั้ง
          “แล้วเธอเห็นคนอื่นอยู่ในห้องนี้อีกหรือไง”
          เมื่อน้ำเสียงและสีหน้าของชายหนุ่มที่อุทิศตนเป็นคู่ซ้อมเริ่มฉายแววหงุดหงิดรำคาญใจ คนที่ถูกมองอย่างตำหนิว่าพูดไม่รู้เรื่องก็ชักขุ่นข้องไม่พอใจขึ้นมาบ้าง มือบางจัดการสวมถุงมือหนังเข้ากับสองมืออย่างทะมัดทะแมง มันเป็นถุงมือครึ่งข้อแบบไม่มีปลายนิ้วที่ดูเผินๆ ก็ไม่แตกต่างจากถุงมือแฟชั่นทั่วไป สองเท้าก้าวยาวเข้าไปหาร่างสูงที่ยืนเด่นกลางห้อง
          เดี๋ยวไอ้เสียงขิม ศิษย์ฟ้าประทาน จะจัดหนักให้นอนหงายท้อง ไม่รู้สติเลย...
         สิ้นคำขู่ในใจของหญิงสาว เสียงหัวเราะในลำคอราวคนร่างสูงมีเรื่องถูกใจนักหนาก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงที่ยิ่งก่อกวนให้คนได้ยินหงุดหงิดไม่ชอบใจ ดังนั้นเสียงที่ถามต่อไปจึงห้าวห้วน
          “กติกาล่ะ?”
          “ไม่ยุ่งยาก... แค่เธอทำยังไงก็ได้ให้ปักเข็มนั่นบนตัวฉันได้ก็พอ”
          ฝนปรายพยักหน้านิดๆ รับรู้กติกา สองตาจับจ้องคู่ต่อสู้ที่ยืนห่างไปเพียงสามเมตรตาไม่กะพริบ สองมือบางไม่ได้ยกขึ้นมาตั้งการ์ด แต่ทั้งร่างก็ตื่นตัวพร้อมรับมือกับการโจมตีเต็มที่... คนสองคนยืนจ้องตาโดยไม่มีใครขยับตัว... จนเวลาผ่านไปหลายนาที หญิงสาวที่มีความอดทนต่ำกว่าก็เปิดปากทำลายความเงียบ
          “จะยืนจ้องกันอย่างนี้อีกนานหรือเปล่าคะ”
          “เธอก็รุกเข้ามาก่อนสิ” คีนส์เอียงคอพยักหน้าท้าทาย
          “เรื่องอะไร?.. มิสเตอร์ให้ขิมเป็นผู้คุ้มกัน ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปรุกหาเรื่องใครก่อน แค่ถ่วงเวลาที่เรายืนนิ่งกันมาเนี่ย... ถ้าส่งเอสโอเอสเรียกแต่แรก ก็คงมีคนมาช่วยและจบงานขิมแล้ว” หญิงสาวอธิบายยืดยาว ก่อนจะยกยิ้มยักคิ้วข้างหนึ่งแทนคำถามว่า... จริงไหม
        “ก็ช่างคิด... ถ้างั้นเรามาเริ่มกันจริงๆ ดีกว่า” ไม่ทันสิ้นประโยคนั้นดี คีนส์ก็พุ่งเข้าหาร่างเล็กบางตามคำท้า ส่งกำปั้นไปตรงๆ ไม่มีลูกเล่นอาศัยความเร็วและแรงเพื่อหวังผล
          การเคลื่อนตัวของร่างใหญ่เก็บรอยยิ้มของหญิงสาวให้เป็นสีหน้าจริงจังขึ้นทันตา หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบ พร้อมสืบเท้าขยับเปลี่ยนตำแหน่งหลบเลี่ยงหมัด จัดการยกศอกฟันฟาดลงกลางหลังคนที่ชกได้แต่อากาศ แต่ร่างที่เห็นว่าสูงใหญ่กลับพลิกตัวกลับได้เร็วเกินคาด หันมาปัดต้นแขน สกัดแรงศอกของเธอได้ทัน
          ฝนปรายกระตุกแขนกลับทันที ตามด้วยเท้าที่ยกยันกลางท้องอีกฝ่ายหมายสร้างระยะห่างเพื่อตั้งตัว แต่ยังไม่ทันถีบถึงเป้าหมาย มือใหญ่ก็คว้ารวบข้อเท้าเธอเอาไว้ได้ เท่านั้นไม่พอยังกระชากดึงไปด้านหลังก่อนจะล็อคยึดเรียวขาเธอเอาไว้ระหว่างท่อนแขนแกร่งและเอวสอบ
          “ช้าไปหน่อยนะ” คีนส์โน้มตัวลงมากระซิบเย้ยตรงหน้าเจ้าของร่างบาง ที่ถูกยึดรั้งตัวให้ยืนขาเดียวในระยะประชิด ห่างจากตัวเขาไม่ถึงก้าว
          ฝนปรายส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจที่กระชากดึงคืนอิสระให้ขาขวาไม่สำเร็จเสียที ดวงตาคมสีนิลวาววับจ้องแววตาเย้ายั่วของคนตัวโตแรงดีกว่าอย่างโมโห แต่เพียงชั่วครู่ มันก็พลันลุกวาวขึ้นมากับโอกาสปิดเกม ปลายนิ้วขยับยุกยิกตรงบริเวณฝ่ามือของถุงมือหนัง แล้วคว้าตะปบหมับอย่างว่องไว... เป้าหมายคือต้นแขนแกร่งข้างที่ยึดขาเธอไว้นั่นเอง!
          ไม่คาดว่าชายหนุ่มจะรู้ทัน คีนส์รีบปล่อยเรียวขาเพรียวแต่แน่นด้วยกล้ามเนื้อกระชับสวย ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของหญิงสาวไม่ให้คว้าโดนตัวได้แม้แต่ปลายนิ้ว แต่คนที่ได้ท่อนขาคืนก็ยังรีบก้าวพุ่งตามติด เปลี่ยนจากการตามตะปบเป็นเหวี่ยงชกกำปั้นเข้าใส่ใบหน้ากวนประสาทกวนสายตาอย่างรวดเร็ว ผสมมาด้วยแรงหมั่นไส้ในรอยยิ้มมุมปากที่ประดับอยู่ไม่จางมาตั้งแต่เริ่มต้นจู่โจมเธอ
          คีนส์ยกมือปัดป้องหมัดเล็กๆ แต่หนักหน่วงเกินตัวร่างเล็กบาง สลับกับเบี่ยงกายวูบหลบซ้ายขวา ยกขาแข้งรับลูกเตะลูกเข่าเล็กแหลมอย่างถูกอกถูกใจในความแพรวพราวพลิกแพลง ท่วงท่าบางจังหวะของหญิงสาวนั้นแปลกตาน่าสนใจ มันทั้งสวยงามและดุดันจับตา แล้วเขาก็มั่นใจเลยว่าถ้ารู้ไม่ทันหลบไม่พ้น... งานนี้ต้องมีเจ็บหนักแน่นอน
          ฝนปรายดีดตัวกลับมาตั้งตัวอยู่ห่างจากคู่ต่อสู้ตัวโตสักสองสามช่วงก้าวเท้า หลังจากจัดชุดใหญ่ไปให้อย่างลืมจุดประสงค์กติกาแรกเริ่มของการทดสอบอย่างเผลอตัว นึกสนุกเพลิดเพลินกับการออกกำลังด้วยเพลงหมัดมวยที่ห่างหายมานาน หญิงสาวเริ่มมีอาการหอบน้อยๆ แตกต่างจากคนตัวโตที่เมื่อครู่เอาแต่ปัดป้องหลีกหลบ เขายังยืนนิ่งมั่นคงไร้อาการเหนื่อยอ่อน แม้แต่อาการหายใจแรงขึ้นก็ยังไม่มี
          เหอะ!... ใช่ย่อยนะลุง ไม่มีพลาดโดนเจ็บๆ จังๆ สักดอกเลย!
        หญิงสาวส่งสายตาขวางๆ ไปให้พร้อมนึกนินทาในใจอย่างเข็ดเขี้ยว แต่เมื่อเห็นเขายักไหล่และยกยิ้มตอบกลับมา ดวงตาที่หรี่ขวางก็ต้องกระตุก ก่อนจะเบิกโตขึ้นทันตา
          “อะ... ไอ้... ขี้โกงนี่!!
        เพิ่งรู้ตัวหรือไง?
          คีนส์ไม่สะทกสะท้านกับคำกล่าวหาแม้แต่น้อย ซ้ำกลับยอมรับหน้าตาเฉยอย่างภาคภูมิด้วยการตอบกลับเธอมาทางการสื่อจิต และมันยิ่งป่วนประสาทให้หญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ประณามเขาทั้งทางสายตาและทางใจ
          ไอ้ลุงบ้าเอ๊ย! จะเตะจะต่อยก็รู้ทันไปหมดอย่างนี้ เป็นการสู้ที่โคตรยุติธรรมที่สุดสามโลกเล๊ย!
        หญิงสาวยิ่งหายใจแรงขึ้นไปอีก พยายามข่มอารมณ์ฉุนกึกไม่พอใจ พอสติเริ่มนิ่งลงได้ก็มองจ้องหน้าเอาเรื่องคนโกง ก่อนจะเริ่มตั้งท่าเตรียมโจมตีใหม่อีกรอบ
          งั้นขอน๊อคสมองโกงๆ ก่อนเลยแล้วกัน!!’
        แม่สาวมวยไทยประกาศก้องในใจให้เขารู้กันไปเลย พร้อมร่างบอบบางที่วิ่งพุ่งเข้าไปหาเป้าหมายที่ยกแขนขึ้นกันศีรษะและใบหน้าทันที แต่ในวินาทีที่เหมือนว่าหญิงสาวจะตวัดขาฟาดสูง ร่างเล็กกลับย่อลงต่ำถึงพื้นใช้สองมือและหนึ่งเท้าเป็นฐาน ส่งแรงใส่ขาอีกข้างกวาดเตะเข้าหลังข้อพับเข่า ทำลายฐานรับน้ำหนักจนร่างสูงต้องเข่าทรุด หญิงสาวไม่รอให้จังหวะนั้นเสียเปล่า ผุดลุกแล้วกระแทกศอกใส่กลางแผ่นหลังกว้าง พร้อมโถมน้ำหนักตัวทิ้งตามลงไปข่มกดคนล้มให้นอนติดกับพื้น
          คีนส์สะบัดตัวพลิกกลับได้ทันในจังหวะที่หญิงสาวขยับพลิกตัวนั่งคร่อมเพื่อจะโจมตี มือใหญ่รีบคว้ายึดข้อมือบางที่กำลังจะตะปบปักปลายเข็มใส่ตรงซอกคอ แต่ก็คว้าได้ทันเพียงข้างขวาข้างเดียว ส่วนมือซ้ายของหญิงสาวสามารถปฏิบัติการได้สำเร็จจนคนนอนแผ่หลาเจ็บจี๊ดขึ้นมานิดๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะร่าของคนบนร่างที่ดังขึ้นอย่างยินดีปรีดา
          “ฮะๆ สมน้ำหน้า เจอฤทธิ์กระบวนท่าลิงหลอกเจ้าของไอ้ขิมเข้าไปเป็นไงล่ะ”
          ฝนปรายเอ่ยเยาะคนที่ใช้สิทธิ์โกงแต่ก็ยังพ่ายแพ้ สดชื่นรื่นเริงกับชัยชนะที่เพิ่งได้มาเป็นพิเศษ จนไม่ทันรับรู้เลยว่าตนกำลังนั่งอยู่บนตัวคนร่างสูงในท่าทางล่อแหลมเพียงใด
          ต่างจากชายหนุ่มที่รับรู้สถานการณ์ทุกอย่าง แต่เขาก็ยังนอนนิ่งมองใบหน้าสวยแปลกตาตามเชื้อสายคนตะวันออกที่ประดับรอยยิ้มกว้างอย่างเผลอไผล ดวงตาสีฟ้าสดมองสำรวจผมยาวสีดำสนิทที่ยุ่งเหยิงเพราะหลังจากเจ้าตัวอาบน้ำสระผมก็ยังไม่ได้มัดรวบใหม่ ผมนุ่มลื่นกลุ่มหนึ่งหล่นโรยลงมาคลอเคลียข้างแก้มสาก ไล้เรี่ยไปมาในขณะที่หญิงสาวขยับพยักหน้าเชิดขึ้นเย้ยเยาะ ก่อกวนใจชายหนุ่มเสียจนร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่างตอบรับ จมูกโด่งเป็นสันสูดกลิ่นกายสาวผสมครีมอาบน้ำและแชมพูกลิ่นเฉพาะของเขาเองเข้าลึกจนปั่นป่วนในอก มือข้างที่พลาดจากการคว้าข้อมือบางข้างซ้ายเอาไว้ค่อยๆ ยกสูง เอื้อมขึ้นไปเกลี่ยเก็บปอยผมนุ่มลื่นเข้ากับข้างหูบอบบางอย่างไม่ทันรู้ตัวห้ามมือตนเอง
          สัมผัสจากปลายนิ้วร้อนที่ไล้ลากเรื่อยผ่านหลังใบหูนี่เอง ที่เรียกให้ฝนปรายรับรู้ถึงบรรยากาศผิดแปลก หญิงสาวรีบร้อนผละปล่อยมือจากลำคอหนา ผุดเงยหน้ายกตัวขึ้นพร้อมร่นถอยไปด้านหลังหนีให้ห่างจากปลายนิ้วร้อนและแววตาประหลาดลึกล้ำ ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อบั้นท้ายกระชับสัมผัสถูกอะไรบางอย่าง บางสิ่งที่ไม่ได้ราบเรียบเหมือนเช่นหน้าท้องแกร่งที่กำลังนั่งคร่อมอยู่

          ไม่ต้องเสียเวลาประมวลผลนานนักก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หญิงสาวรีบดีดตัวพลิกลงจากร่างใหญ่โต ขยับร่นถอยห่างออกไปหลายช่วงตัว ใบหน้าสวยสีน้ำผึ้งเปลี่ยนเป็นแดงซ่านลามถึงลำคอ
          ฝนปรายนั่งจ้องหน้าคนที่ค่อยๆ ขยับลุกนั่งช้าๆ ด้วยแววตาระแวงกล่าวหา มือบางยกขึ้นตบลงบนอกลูบปลอบหัวใจที่เต้นรัวให้หายระทึกแตกตื่น โดยที่คนเห็นและรู้ความตั้งใจของหญิงสาวอยากจะรีบห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
          “โอ๊ะ!” หญิงสาวอุทานเสียงดังอย่างตกใจ เมื่อเหนืออกต้องมาเจ็บแปลบจากปลายเข็มของถุงมือที่ยังไม่ทันได้สั่งเก็บ
          “หัดระวังหน่อยสิ” คนร่างสูงขยับพุ่งเข้ามาคว้ามือที่เผลอทำร้ายตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว ดุหญิงสาวทั้งน้ำเสียงและดวงตา
          “แหะๆ ลืมไป...” ฝนปรายหัวเราะเสียงอ่อย ใช้ปลายนิ้วที่ปลอดภัยสะกิดเกาเบาๆ เหนือจุดเข็มเจาะไล่อาการแสบแปลบ
          แต่เมื่อเห็นสายตาของคนตรงหน้ามองตามปลายนิ้วเธอไปด้วยก็ต้องรีบกระตุกมือที่ถูกยึดไว้กลับ ถอยห่างมาจากเขาอีกนิด พร้อมดวงตาคมถลึงดุ
          “มองอะไรน่ะ” เธอตวัดเสียงแข็งใส่
          คีนส์ขยับถอยห่างเมื่อหายห่วง ไม่สนใจแววตากล่าวหา ตอบคำโวยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “มองคนโง่... ดีนะที่เป็นแค่เข็มเปล่าๆ ยังไม่ได้ใส่ยา ไม่อย่างนั้นคงมีใครบางคนได้นอนนิ่งขยับไม่ได้ ถูกทิ้งไว้ตรงนี้แล้ว”
          “หึ! ถ้างั้นก็คงเป็นมิสเตอร์นั่นแหละค่ะ ที่ถูกทิ้งไว้ตรงนี้ก่อนใคร” ฝนปรายโต้กลับอย่างไม่ลดละ แต่เมื่อเขาเงียบไปไม่ตอบโต้อะไรก็ทวงถาม
          “ตกลงขิมผ่านการทดสอบแล้วใช่ไหมคะ งั้นให้ขิมไปหาพีณา ไปทำหน้าที่ของตัวเองได้หรือยัง”
          “ยัง...”         
          ดวงตาแพรวพราวสีฟ้าสดที่มองมามันคงจะน่ามองกว่านี้ ถ้ามันจะไม่ได้มาพร้อมคำปฏิเสธ แต่จะให้ฝนปรายทำอย่างไรได้ นอกจากท่องไว้ในใจว่า
        ค่าจ้าง... ค่าตอบแทน... หลายแสนดีล...

         
          เมื่อสองหนุ่มสาวออกมาจากห้องซ้อมในเวลาเย็นย่ำ ชายร่างสูงโปร่งในชุดหมีสีเทาคนเดิมก็ยืนรอแถวหน้าลิฟต์ คีนส์เอ่ยสั่งความเกี่ยวกับอาวุธอุปกรณ์ที่เขาได้เลือกว่าเหมาะสม และผู้คุ้มกันคนใหม่ก็ได้ทดลองหยิบจับใช้งานมันได้ค่อนข้างคล่อง เพื่อให้นายช่างหนุ่มได้ตรวจเช็คความเรียบร้อยและจัดส่งไปให้ที่ห้องทำงานของเขาอีกครั้ง
          “ไม่เกินชั่วโมงนี้ครับมิสเตอร์” ล็อกซ์รับปากแข็งขัน
          ขณะที่มองหน้าผู้เป็นนาย แววตาสอดส่องก็สะดุดเข้ากับบางสิ่ง แต่ไม่ได้กระโตกกระตากแสดงอาการอะไร
          คีนส์จ้องตานายช่างหนุ่มเจ้าของความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะปล่อยผ่านไม่คิดสนใจแก้ไขให้ความลับเรื่องการสื่อจิตชนิดพิเศษของตนรั่วไหล ชายหนุ่มหันมาพยักหน้าให้คนตัวเล็กบางที่หน้าตาบูดสนิทมาได้พักใหญ่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นคำสั่ง แต่เนื้อหาของมันทำเอาบุคคลที่สามที่ได้ยินไปด้วยแทบไม่เชื่อหู ว่าเจ้านายของเขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยชวนลูกน้องสาวดินเนอร์
          “เดี๋ยวฉันจะพาไปทานมื้อเย็นที่ภัตตาคารริมผา เสร็จจากนี้ค่อยไปหาพีณากัน”
          ร่างสูงของคีนส์เดินนำร่างบอบบางเข้าไปในลิฟต์ เคลื่อนสูงสู่เบื้องบนเรียบร้อยแล้ว แต่ล็อกซ์ยังยืนมองประตูลิฟต์อยู่อย่างนั้น มุมปากของนายช่างหนุ่มขยับยิ้มกับเรื่องน่าบอกต่อที่เพิ่งได้รู้ได้เห็นมากับตา ปลายนิ้วเรียวขยับดันแว่นตาตามความเคยชิน
          รอยจ้ำสีแดงๆ ตรงลำคอของเจ้านายหนุ่ม ที่ตอนก่อนเข้าไปในห้องยังไม่เห็นมี มันจะเป็นฝีมือใครไปได้ ถ้าไม่ใช่สาวร่างเล็กที่หายเข้าไปปิดตายห้องซ้อมกันสองต่อสองตั้งหลายชั่วโมง
        ว้าว... ตัวเล็กๆ หน้าตางั้นๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะร้อนแรงกันไม่เบาเลย...

<< ติดตามอ่านต่อได้ในเล่ม >>

สั่งซื้อรูปเล่ม... 
www.KanFunBook.com 
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer

โหลดฉบับอีบุ๊ค... 
Meb : https://goo.gl/3Wom8E 
Hytexts : https://goo.gl/s31ks7
NaiinPann : https://goo.gl/Sz74tt
Google Play : https://goo.gl/8hs31Q
Dek-d : 
https://goo.gl/qDu9hn 




รักล่วงเวลา - กาลที่ 10 : ผู้คุ้มกันสาว

June 21, 2017 0 Comments

รักล่วงเวลา ชุด กาลรักหนึ่ง

ผู้เขียน : แก่นฝัน

เผยแพร่ฉบับรูปเล่มทำมือ และอีบุ๊ค โดย แก่นฝัน

© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายเรื่องนี้
เพื่อนำออกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต






กาลที่ 10 : ผู้คุ้มกันสาว

       
          เช้านี้แอร์โมบิลคันใหญ่เคลื่อนตัวออกจากวิลตันไชลด์โดมโดยมีผู้โดยสารเกือบเต็มจำนวนที่นั่ง ทั้งทีต้าร์และสกายที่นั่งประจำหลังแผงควบคุมด้านหน้า ถัดมาในส่วนห้องผู้โดยสารมีคีนส์ มาดามเมเรน และเด็กหญิงพีณา พ่วงด้วยฝนปรายที่นั่งอยู่ตรงเบาะแถวหลังสุด
          เมื่อพาหนะหรูหราสุดทันสมัยเดินทางมาถึงโดมขนาดใหญ่ครอบคลุมเนินเขาสองลูกและขอบชายฝั่งทะเลเอาไว้ก็ลดระดับลงสู่เบื้องล่าง ก่อนจะเคลื่อนผ่านกำแพงโดมเข้าไปช้าๆ
          ฝนปรายมองดูเส้นทางที่แอร์โมบิลแล่นผ่านไปอย่างสนอกสนใจ แววตาฉายประกายตื่นเต้นยิ่งกว่าเด็กหญิงที่เป็นผู้เอ่ยปากอยากมาเที่ยวเสียอีก ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เต็มไปด้วยรายชื่อของศิลปินมากมายที่อ่านไปก็ไม่รู้จัก เธอเห็นเวทีคอนเสิร์ตขนาดกลางแทรกตัวอยู่ตามลานกว้างระหว่างเครื่องเล่นต่างๆ นับที่ผ่านสายตาไปก็มีถึงห้าเวที ทุกตารางเมตรของโดมแห่งนี้เตรียมพร้อมสำหรับรองรับผู้คนที่กำลังจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานเทศกาลดนตรีในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
          แอร์โมบิลเคลื่อนไต่ระดับขึ้นไปตามทางลาดชันสู่เนินสูง ก่อนจะหยุดจอดลงตรงหน้าอาคารสีเทาเข้มจนเกือบดำมองดูคล้ายป้อมปราการผสานกับหอประภาคารสูงเกือบสิบชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ชิดขอบผาสูง มองลงไปก็จะเห็นคลื่นทะเลถาโถมซัดกลุ่มโขดหินและซอกผาเบื้องล่างเป็นละอองซ่านกระจายสูงขึ้นมาหลายเมตร
          “เดี๋ยวมัมพาพีณาไปเที่ยวเล่นก่อนนะครับ ให้ทีต้าร์ตามไปด้วย ผมขอเข้าไปจัดการงานของวันนี้เรียบร้อยแล้วจะตามไป”
          คีนส์บอกกับมารดา ก่อนจะวางมือใหญ่ลงบนศีรษะกลมเล็กของหลานสาว ก้มลงกำชับคำสั่ง
          “อย่าดื้อ อย่าซนมาก ไม่งั้นอังเคิลจับส่งกลับทันทีเลย รู้ไหม?”
          เด็กหญิงพีณาในชุดเสื้อแขนตุ๊กตาตัวบานคลุมสะโพกและเลกกิ้งสีขาวดำลายสก๊อตพยักหน้ารับปากแข็งขันน้ำเสียงสดใส เมื่อเห็นทีต้าร์ขับแลนด์โมบิลเปิดประทุนสำหรับการเดินทางภายในโดมมาจอดตรงหน้า เด็กหญิงก็รีบคว้ามือแกรนด์มัมข้าง คว้ามือฝนปรายข้าง พาให้ก้าวขึ้นโมบิลไปอย่างรวดเร็ว
          “ช้าๆ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นจ๊ะพีณา” มาดามเมเรนต้องร้องเตือนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
          คุณผู้หญิงแห่งวิลตันไชลด์วันนี้อยู่ในชุดเสื้อกระชับรูปคอเต่าสีขาวและกางเกงสีน้ำเงินเข้ม ดูกระฉับกระเฉงคล่องตัวและยังดูลดวัยจากเดิมลงไปมาก เมื่อขึ้นมานั่งตรงเบาะด้านหลังคู่กับเด็กหญิง โดยที่พี่เลี้ยงคนโปรดของหลานสาวนั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับทีต้าร์ ก็หันมาเอ่ยถาม
          “เราจะไปไหนก่อนดี”
          “พีณาจะไปหาพิงก้าค่ะ” เสียงสดใสฉะฉานตอบแกรนด์มัม
          เด็กหญิงพีณายังติดใจในความน่ารักแสนรู้ของครอบครัวโลมาสีชมพูดาราดังของมารีน สเตเดียม ซึ่งเพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ และเธอยังเป็นคนตั้งชื่อให้เจ้าสมาชิกตัวล่าสุดของครอบครัวสีหวานด้วยตัวเอง
          ทั้งหมดไปถึงมารีน สเตเดียม ก่อนเวลาที่จะเปิดให้ผู้เข้าชมตามปกติ ทีมผู้เยี่ยมชมซึ่งนำหน้าโดยเด็กหญิงวัยเก้าขวบ จึงมีโอกาสได้เข้าไปทักทายเจ้าสัตว์น้ำนักแสดงประจำสเตเดียมอย่างใกล้ชิดถึงขอบสระ ชนิดที่ได้แตะตัวและถูกพวกมันโดดขึ้นจากน้ำมาหอมแก้มกันจนแก้มช้ำเลยทีเดียว
          เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งตกหลุมรักเจ้าครอบครัวโลมาสีชมพูแสนเริงร่าตามเด็กหญิงไปอีกคนโครมเบ้อเร่อ
          แม้หน้าตาและเนื้อตัวจะเปียกปอนกับละอองน้ำในสระที่สาดกระเซ็นใส่ตอนเจ้าโลมาโดดกระโจนโครมๆ แต่บนใบหน้าของหญิงสาวและเด็กหญิงที่เพิ่งเดินขึ้นมาจากขอบสระ ตรงมาหามาดามเมเรนที่นั่งรออยู่บนที่นั่งผู้ชมนั้นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มรื่นเริง
          “แล้วรีบมาเร็วๆ นะ...”
          มาดามเมเรนจบการสื่อสารนัดแนะกับใครบางคนพอดี เมื่อเห็นหลานสาวตัวชื้นผมเปียกกลับมาก็ล้วงค้นในกระเป๋าถือ หยิบกล่องใสใบเล็กมาวางลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ กดปุ่มขยายกลับและเปิดฝาออกก็ได้ผ้าเช็ดตัวผืนนุ่มประสิทธิภาพซึมซับดีเยี่ยม แล้วนำมันมาจัดการเช็ดหน้าเช็ดผมและเนื้อตัวหลานสาวอย่างคล่องแคล่ว แต่พอมองเห็นคนตัวเปียกอีกคนที่ยกหลังมือปัดไล่ละลองน้ำบนใบหน้าส่งๆ  ก่อนจะแกะดึงที่รัดผมออก ใช้นิ้วสางผมชื้นๆ ให้สยายผึ่งแดดลวกๆ ผู้ที่ไม่ชอบเห็นอะไรขัดตา ไม่ถูกที่ถูกทางก็ยื่นผ้าที่เพิ่งใช้เช็ดตัวหลานสาวไปให้
          “ถ้าไม่รังเกียจก็ใช้เช็ดซะ คราวหลังจะออกมาเที่ยวเล่นกับพีณาก็ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เป็นพี่เลี้ยงประสาอะไร”
          ความปรานีที่มาดามเมเรนมีให้หญิงสาวจากโลกต่างเวลาก็เหมือนผ้าขนหนูใช้แล้วผืนนี้ แม้จะเห็นอกเห็นใจแต่ก็ใจดีด้วยไม่สุดเต็มที่เต็มร้อย ยังคอยหาจุดตำหนิอีกฝ่ายได้อยู่ดี
          แต่ถ้อยตำหนิเหล่านั้นกลับไร้ประโยชน์เมื่อฝนปรายรับผ้าผืนนุ่มนั้นมาอย่างเต็มใจไม่คิดมากถือสา แววตาสวยคมหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ มีแววยินดีเล็กๆ กับคำว่า คราวหลังมากกว่าคำไหน
          “ขิมจะจำไว้อย่างดีเลยค่ะมาดาม ต่อไปจะไม่ละเลยอย่างนี้แล้วค่ะ”
          “ก็ดี” เมเรนจนด้วยคำจะพูดต่อ เมื่ออีกฝ่ายกลับยิ้มใสกระจ่างตอบรับคำตำหนิแต่โดยดีเสียอย่างนั้น
          ในระหว่างนั้นก็เริ่มมีผู้ชมทยอยเดินเข้ามารอชมการแสดงรอบแรก มาดามเมเรนจึงถามขณะไล้ปลายนิ้วเกลี่ยผมเผ้าของเด็กหญิงให้เข้าที่
          “ได้เล่นกับพิงก้าแล้ว จะดูโชว์ต่อไหม หรือจะไปไหนกันต่อดี”
          เด็กหญิงพีณาเอียงคอน้อยๆ ยกปลายนิ้วชี้ขึ้นแตะมุมปากท่าทางใช้ความคิดอย่างหนัก วันนี้เธออยากทำอะไรมากมายเต็มไปหมด อยากไปดูโลกใต้น้ำก็อยากไป ไหนจะสไลเดอร์ยักษ์ และยังหาดทรายสีชมพูอีก
          “หรือว่าอยากกลับบ้านแล้ว?”
          เมเรนอมยิ้มแกล้งถามคนตัวเล็กที่คิดหนักจนหน้ายุ่ง ปลายหัวแม่มือไล้หว่างคิ้วเล็กๆ อย่างเอ็นดู คำถามนั้นทำเอาเด็กหญิงรีบปฏิเสธหน้าตื่น
          “ไม่เอาค่ะ พีณาว่าเราไปหาอย่างอื่นเล่นกันดีกว่านะคะ”


          ด้วยการตัดสินใจของหัวหน้าทัวร์ตัวเล็ก ในเวลานี้ฝนปรายจึงได้มายืนจูงมือเล็กบางอยู่ในแถวรอเข้าเครื่องเล่นอควาเวนเจอร์ หญิงสาวต้องข่มความขัดเขิน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ารัดกุมมาอยู่ในชุดว่ายน้ำทูพีซสีน้ำเงิน ซึ่งเด็กหญิงได้คอยย้ำนักย้ำหนาตั้งแต่เช้าแล้วว่าให้นำติดตัวมาด้วย สงสัยว่าคนเตือนจะกลัวไม่มีเพื่อนลงเล่นน้ำเต็มที่ เพราะมาดามเมเรนนั้นก็เป็นเพียงแค่ผู้เฝ้ามองดูแลอยู่ห่างๆ มาตลอด แถมตอนนี้ยังแยกตัวไปหาที่นั่งรอตรงจุดทางออกสุดท้ายปลายน้ำ ปล่อยให้เธอรับหน้าที่ดูแลและเล่นล่องห่วงยางกับเด็กหญิงเพียงลำพัง
        ไม่สิ... ยังมีผู้คุ้มกันหล่อล่ำ หุ่นดีเว่อร์ๆ แต่หน้านิ่งสุดใจ คนที่เงียบกริบแทบตลอดทริป ตามมาเข้าแถวอยู่ด้านหลังด้วยอีกทั้งคน
        ฝนปรายนึกนินทาพร้อมเหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวสีทองแดงที่ยืนประกบอยู่เกือบชิดหลัง เพื่อจะตามไปดูแลเด็กหญิงในสไลเดอร์อควาเวนเจอร์ด้วยเช่นกัน ทีต้าร์ต้องสลัดชุดเสื้อคอเต่าแขนยาวกางเกงขายาวมิดชิดออก เปลี่ยนเป็นกางเกงว่ายน้ำสีดำตัวเดียว อวดแผงอกและกล้ามหน้าท้องแข็งแรงเป็นลอนสวยอย่างที่นักมวยในค่ายฟ้าประทานบางคนยังต้องอาย
          “มีอะไร...”
          คำแรกที่หลุดจากปากหนาเป็นกระจับหยักลึกทั้งสั้นทั้งห้วน เจือความความหงุดหงิดมาชัดเจน แต่ฝนปรายก็ไม่สะทกสะท้าน ยกไหล่กระชับบอบบางขึ้นสูงพอๆ กับน้ำเสียงที่ปฏิเสธ
          “เปล๊า...” 
          ทีต้าร์ปรายนัยน์ตาสีเขียวหยกลงมองหญิงสาวร่างเล็กสูงแค่ไม่ถึงไหล่เขาแล้วก็ส่งเสียงในลำคอ แถวที่เริ่มขยับไปข้างหน้าทำให้เขาต้องก้าวตามและมองเมินไปทางอื่นเสีย คิดถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมายืนต่อแถวรอคิวเสียเวลาอย่างนี้แล้วก็อดออกอาการหงุดหงิดอีกครั้งไม่ได้
          แรกที่เด็กหญิงพีณาเอ่ยปากว่าอยากเล่นอควาเวนเจอร์ เขากำลังจะเดินตรงไปแสดงตนใช้สิทธิพิเศษลัดคิวผ่านเข้าไปเล่นอยู่แล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้กลับทักท้วงเสียอย่างกับเขาทำเรื่องผิดร้ายแรงใหญ่โต ไม่รู้จักสอนให้เด็กหญิงรู้จักระเบียบและการเข้าคิว ซ้ำร้ายมาดามเมเรนยังนึกเห็นด้วยไปกับสิ่งที่หญิงสาวพูด ปรายดวงตาเจ้าระเบียบมามองเขาอย่างตำหนิ ก่อนจะบอกให้เด็กหญิงเดินไปเข้าแถวอย่างเช่นผู้รอเข้าเล่นคนอื่นๆ
          เสียงร้องกรี๊ดผสานเสียงหัวเราะของผู้เล่นกลุ่มที่เพิ่งถูกปล่อยตัวยิ่งกระตุ้นความตื่นเต้นของผู้ที่ยืนรอเป็นคิวถัดไป กลุ่มของฝนปรายเลือกแพยางที่สามารถนั่งได้สามคน เธอและพีณานั่งคู่กันอยู่ด้านหน้าซ้ายขวา โดยมีร่างสูงใหญ่ของทีต้าร์ก้าวตามลงมานั่งตรงกลางด้านหลังเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวคอยดูแลให้เด็กหญิงนั่งให้เรียบร้อยและจับที่ยึดเอาไว้ให้มั่นคง จากนั้นแพยางก็ค่อยๆ เคลื่อนไปบนสายพานสู่จุดปล่อยตัว สัญญาณไฟสีแดงเหนือปล่องสไลเดอร์เริ่มกะพริบพร้อมเสียงนับเลขถอยหลัง และเมื่อมันเปลี่ยนเป็นสีเขียว แพยางก็พลันไหลพุ่งลงไปตามทางน้ำในอุโมงค์มืดสลัวด้วยความเร็วสูง ลำแสงวูบวาบภายในอุโมงค์ผ่านสายตาไปราวกับกำลังแล่นผ่านอุโมงค์ทะลุมิติ
          “วู้วววววว ว้าย!!/ อ๊ายยย กรี๊ด!!
          เสียงหวีดร้องของสองสาวสองวัยที่นั่งอยู่ด้านหน้าของแพยางดังประสานขึ้นมาเป็นระยะ แทบจะเกือบทุกครั้งที่เส้นทางเหวี่ยงโค้งจนแพที่นั่งมาเอียงวูบราวจะล้มคว่ำ แต่ก็ยังแล่นผ่านในทุกๆ โค้งคดเคี้ยวไปได้อย่างฉลุย
          ซูมมมม!
        เสียงน้ำในแอ่งที่รองรับอยู่ด้านล่างแตกกระจาย สาดเข้าใส่ผู้โดยสารบนแพอควาเวนเจอร์ลำล่าสุดที่หลุดจากอุโมงค์สไลเดอร์มาเสียจนเปียกปอน ฝนปรายยกมือขึ้นลูบปัดไล่หยดน้ำออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อจะลืมตามอง แล้วสิ่งที่หญิงสาวได้เห็นก็ทำเอาเธอต้องตาโต อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
          จากอุโมงค์มืดสลัวคดเคี้ยวเมื่อครู่ ตอนนี้แพของพวกเธอกำลังล่องไปช้าๆ ตามเส้นทางในอุโมงค์แก้วที่สร้างอยู่ใต้ท้องทะเล ทั้งฉลาม กระเบน และฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายโฉบผ่านเหนือศีรษะเธอไปนับพันตัว ก่อเกิดเป็นเงาวูบสลับลำแสงสว่างที่ส่องทะลุมาจากด้านบน
          “เมอร์เมดๆๆ คิมมี่ดูเร็ว!
          เสียงตื่นเต้นดีใจของเด็กหญิงเรียกคนที่กำลังมองภาพฝูงปลาสีเงินวาววับว่ายตามกันเหมือนกำลังแปรขบวน นิ้วเล็กๆ ชี้ไปทางหนึ่งที่เห็นร่างของหญิงสาวสองคนกำลังแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ ครึ่งท่อนล่างของพวกเธอเป็นครีบสีเขียวอย่างที่สาวจากต่างเวลาต้องตกตะลึงไปอีกรอบ
          เฮ้ย! ยุคนี้มันมีนางเงือกตัวเป็นๆ ด้วยเหรอเนี่ย!
        ฝนปรายนึกตื่นใจเต็มที่ แต่พอได้มีโอกาสจ้องมองให้ดีเมื่อพวกเธอทั้งสองแหวกว่ายเข้ามาใกล้ ก็จะเห็นว่านางเงือกยุคปีสามพันสามร้อยใส่บิกินี่สีดำสุดเซ็กซี่ แถมตรงจมูกของพวกเธอยังมีที่ครอบซึ่งต่อสายเล็กๆ ไปยังแท็งค์อันเล็กด้านหลังที่ตอนแรกนั้นแทบมองไม่เห็น
          “พีณาก็อยากเล่นเป็นเมอร์เมดนะคะ แต่อังเคิลบอกว่าต้องรอให้พีณาโตกว่านี้ก่อน” เด็กหญิงว่าด้วยน้ำเสียงเสียดาย ขณะที่สองตายังจับจ้องสองสาวหุ่นดีที่สะบัดครีบเคลื่อนเข้ามาใกล้ มือเล็กยกขึ้นโบกให้หยอยๆ
          สองสาวที่อยู่นอกอุโมงค์แก้วโบกมือตอบเด็กหญิงพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่สายตาของพวกเธอกลับจับจ้องให้ความสนใจชายหนุ่มรูปหล่อหุ่นน่าซบที่นั่งเฉยอยู่ด้านหลัง และมองพวกเธอด้วยสายตาสงบนิ่ง
          ฝนปรายมองตามสายตาเงือกสาวไปยังทีต้าร์แล้วก็หลุดหัวเราะ อดไม่ได้ต้องเอ่ยล้อเขาไปเล็กๆ
          “เสน่ห์แรงจริงๆ นะเนี่ย พ่อรูปหล่อน้ำลึก”
          คน หล่อน้ำลึกยังคงนิ่งเงียบได้เสมอต้นเสมอปลาย นัยน์ตาสีเขียวอ่อนปรายลงมามองหญิงสาวแล้วก็เมินหนี ใช้เสียงผ่อนลมหายใจออกและอาการส่ายหน้าน้อยๆ แทบคำโต้ตอบคนคิดอะไรไร้สาระ
          การกระทำที่ทำเอาคนคิดจะพยายามสร้างความสนิทสนม กระชับความสัมพันธ์ด้วยการแซวเล่นเล็กๆ น้อยๆ ถึงกับยิ้มค้าง ตามด้วยการบอกย้ำกับตัวเองในใจว่าอย่าริไปเล่นกับผู้คุ้มกันก้อนน้ำแข็งคนนี้อีกเลย


          แพยางอควาเวนเจอร์ของฝนปรายถูกส่งให้ขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำอีกครั้ง ในครั้งนี้สภาพรอบด้านเปลี่ยนไปเป็นลำน้ำที่ไหลเลาะผ่านป่าไม้และหินผา กระแสน้ำบางช่วงเอื่อยช้า บางช่วงไหลเร็วแรงซอกซอนผ่านแก่งสลับโขดหินให้ตื่นเต้นเป็นระยะ
          ในจังหวะที่แพของพวกเธอกำลังจะล่องผ่านแก่งขนาดย่อมๆ ไป เสียงกรีดร้องของหญิงสาวพร้อมเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือก็ดังแทรกเข้ามาในช่วงเวลาแห่งความสนุกของพวกเธอ
          “เสียงจากไหนน่ะ” ฝนปรายพยายามหมุนตัวหันกลับไปมองหาต้นเสียง เช่นเดียวกับชายหนุ่มคนเดียวบนแพที่พยายามกวาดตามองหาสิ่งผิดปกติเช่นกัน
          เมื่อพ้นจากแก่งมาได้ระยะหนึ่งแพของพวกเธอก็เริ่มล่องช้าลง สีหน้าของผู้ที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือยังเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
          “เราเอาแพขึ้นแล้วไปดูสักหน่อยไหม” ฝนปรายลองเอ่ยปรึกษา เห็นสีหน้าและแววตาของทีต้าร์เต็มไปความเคร่งเครียด
          “ทีต้าร์!
          หญิงสาวเรียกคนที่ไม่ทันบอกกล่าวอะไรก็ทิ้งตัวลงไปในน้ำโครมใหญ่ จนแพที่ล่องอยู่ราบเรียบโยกไหววูบ เมื่อเห็นเขาว่ายน้ำด้วยมือข้างเดียว อีกข้างก็ดึงลากแพที่พวกเธอนั่งอยู่เข้าหาฝั่ง ก็เอ่ยถามต่อ
          “ให้ลงไปช่วยหรือเปล่า”
          “ไม่ต้อง...” ทีต้าร์ตอบไร้เยื่อใยต่อความปรารถนาดีของหญิงสาว
          ไม่นานเขาก็พาแพขนาดย่อมมาชิดข้างฝั่ง ชายหนุ่มบอกให้เธอพาเด็กหญิงก้าวขึ้นฝั่งไปก่อน ก่อนที่เขาจะยกแพยางตามขึ้นไป และปิดท้ายด้วยร่างแกร่งกำยำที่ใช้มือและแขนทรงพลังดันตัวเองขึ้นจากน้ำได้โดยไม่มีอาการหอบเหนื่อย แถมยังออกคำสั่งได้ในทันที
          “เธอกับคุณหนูพีณารออยู่ตรงนี้ ฉันจะไปดูเองว่าตรงนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
          ทีต้าร์ก้าวเร็วๆ เดินย้อนไปทางต้นน้ำมุ่งหน้าไปยังจุดที่คิดว่าเป็นต้นกำเนิดเสียงแห่งเหตุไม่น่าไว้ใจที่ตอนนี้กลับเงียบลงไปแล้ว
          “คิมมี่... พีณากลัว...”
          เสียงเล็กแผ่วสั่นเรียกให้ฝนปรายละสายตาที่มองตามหลังผู้คุ้มกันหนุ่มไปอย่างอดห่วงไม่ได้ ก้มลงมามองดูเด็กหญิงที่คว้ามือเธอกุมยึดเอาไว้มั่น พีณาคงรู้เหมือนกันว่าตอนนี้กำลังมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น
          “ไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวทีต้าร์ก็จัดการเรียบร้อย” หญิงสาวตบมืออีกข้างลงบนหลังมือเล็กนุ่มนิ่มและลูบปลอบเบาๆ จูงให้เด็กหญิงตัวน้อยมานั่งบนขอบแพยางที่เกยอยู่บนฝั่ง
          “เรามานั่งรอ และส่งใจไปช่วยกันดีกว่า”
          “หึ! ส่งใจไปช่วย... ก็ต้องดูก่อนว่าคนเอาใจช่วยมันจะรอดหรือเปล่า”
          เสียงของชายหนุ่มที่ดังแทรกขึ้นด้านหลังทำเอาฝนปรายหันขวับทันที
          แม้จะยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครต้องการอะไร แต่น้ำเสียงและแววตาคุกคามก็ทำให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน เอาตัวขวางหน้าเด็กหญิงเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณคนช่างปกป้องผู้อ่อนแอกว่า
          ชายสองคนที่ยืนห่างไปไม่กี่ก้าวสูงใหญ่กว่าเธอไปกว่าฟุต ทั้งคู่อยู่ในชุดกางเกงเซิร์ฟและเสื้อกล้ามตัวบาง หน้าตาการแต่งกายดูไม่แตกต่างจากผู้มาท่องเที่ยวทั่วไป
          พวกนายต้องการอะไร” หญิงสาวถามถ่วงเวลา นึกประเมินในใจว่าพวกเขาอาจเป็นมิจฉาชีพที่มักชอบแฝงตัวก่อเหตุตามงานเทศกาล
          ชายคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ร่างเล็กบอบบางกว่าหญิงสาวทั่วไปเหมือนยังเติบโตไม่เต็มขั้น นึกย่ามใจว่าก็คงเป็นแค่เด็กสาววัยรุ่นไร้พิษภัย สายตาเย็นเยียบพยายามชะโงกมองเด็กหญิงอีกคนที่โผเกาะเอว ซุกหน้าเอาไว้กับแผ่นหลังคนตัวโตกว่าด้วยความกลัวจนมือไม้สั่น แต่ก็ยังไม่มีเสียงร้องไห้งอแงให้ได้ยินสักแอะ
          “จะยอมส่งเด็กนั่นมาดีๆ หรือจะถูกหักคอโยนลงน้ำก็เลือกเอา!
          ฝนปรายหมุนเบี่ยงตัวอีกนิดเพื่อซ่อนตัวเด็กหญิงให้พ้นไกลจากมือคนร้ายที่กรรโชกขู่ ดูแล้วจุดมุ่งหมายของคนร้ายชี้จำเพาะมาที่ตัวเด็กหญิงแน่นอน สองตาสีนิลเฉียบคมมองกวาดๆ สำรวจเนื้อตัวผู้คุกคามอย่างรวดเร็ว เบาใจขึ้นอีกนิดว่าไม่มีสิ่งใดที่อาจเป็นอาวุธติดตัวมาด้วย
          “พวกนายจะเอาตัวเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปทำไม เราก็แค่นักท่องเที่ยวธรรมดา ไม่มีของมีค่าไม่มีอะไรที่พวกนายอยากได้หรอกนะ” หญิงสาวแกล้งทำซื่อ ถามไม่รู้ไม่ชี้เพื่อถ่วงเวลารอผู้คุ้มกันหนุ่มกลับมา
          “แต่ถ้าเด็กนั่นชื่อพีณา... เป็นหลานสาวของ เค ดับบลิวล่ะก็ พวกเราได้สิ่งที่ต้องการแน่ๆ” คนร้ายขยับใกล้เข้ามาเอ่ยกับสาวร่างเล็กเน้นชัดคำ
          “เค ดับบลิวที่ไหน พวกนายจำคนผิดแล้วล่ะ” ฝนปรายโต้แย้งกลับไปในทันที
          ท่าทีไม่กลัวเกรงและไม่ยอมง่ายๆ ของเธอทำให้ผู้มีจุดประสงค์ร้ายหมดอารมณ์เจรจา เอื้อมมือใหญ่ข้างหนึ่งพุ่งเข้ามาเตรียมผลักตัวคนกีดขวางให้พ้นทาง และนั่นก็จุดรอยยิ้มขึ้นบนมุมปากของคนที่รอจังหวะอยู่พอดี
          มือเล็กแต่ไม่อ่อนแรงข้างหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ข้อมือหนาที่พุ่งมาใกล้ ส่วนอีกข้างก็คว้ารวบคอเสื้อตัวบางของอีกฝ่าย กวาดขาเตะลำแข้งโตพร้อมกับถ่วงถ่ายน้ำหนักจากแรงโถมของอีกฝ่ายเอง จับร่างสูงใหญ่กว่าเธอเท่าตัวทุ่มข้ามไหล่ลงไปนอนแผ่หลากับพื้น หญิงสาวไม่เสียเวลาที่อีกฝ่ายยังมึนงง เท้าเล็กๆ ก้าวกระทืบจุดสำคัญตรงแกนกลางร่างยักษ์นั้นอย่างไม่ลังเล หรือปรานีว่าเขาอาจไม่ได้สืบสายพันธุ์ชั่วร้ายต่อไป
          ชายอีกคนเห็นเพื่อนเพลี่ยงพล้ำก็ตรงเข้ามาโจมตีหญิงสาวทันที แต่คราวนี้เต็มไปด้วยความระมัดระวังไม่ประมาทเท่ารายแรก เสียดายนักที่บริเวณสวนน้ำแห่งนี้มีกฎกติกาให้สวมเฉพาะชุดว่ายน้ำน้อยชิ้น แถมยังมีการตรวจตรารัดกุม พวกเขาจึงไม่สามารถนำอาวุธหลบซ่อนติดตัวเข้ามาได้
          กำปั้นใหญ่พุ่งชกเล็งเป้าหมายเป็นใบหน้าแปลกตาทั้งรวดเร็วรุนแรง ไม่วางใจว่างานนี้จะง่ายดายอีกต่อไปแล้ว บางทีหญิงสาวที่ดูเป็นแค่สาวรุ่นคนนี้อาจจะเป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันของวิลตันไชลด์ก็ได้
          แม้ฝนปรายจะโยกตัวหลบหมัดแรกและสองสามที่โจมตีมาได้ แต่การต่อสู้กับชายร่างสูงใหญ่เกินตัวซึ่งไร้ความประมาทต่อความสามารถของเธอก็ตึงมืออยู่ไม่น้อย หญิงสาวอาศัยความคล่องตัวอันเหนือกว่าหลบหลีกเลี่ยงหนี ป้องปัดไม่ให้เขาได้ซัดถูกจุดอันตราย พยายามรอคอยจ้องหาจังหวะตีโต้อันเหมาะสมอย่างใจเย็น ทั้งที่อีกใจก็ร้อนรนเต็มที่เกรงว่ายักษ์ตนแรกจะคลายเจ็บคลายจุกลุกขึ้นมาได้
          นั่นไง... ซวยแล้วสิ!! หญิงสาวโหวกเหวกอยู่ในใจ เมื่อหางตามองเห็นร่างใหญ่อีกร่างค่อยๆ ลุกนั่งเชื่องช้าและกำลังจะยืนขึ้นมาได้
          ศิษย์เอกหญิงแห่งค่ายมวยฟ้าประทานตัดสินใจเร็วรี่ ยกเท้าถีบเข้าที่ท้องน้อยของร่างที่ต่อสู้ติดพันกันอยู่ จนเขาเสียหลังเซไปข้างหลักและปล่อยให้การ์ดที่ป้องใบหน้าว่างลง หญิงสาววิ่งกระโจนเหยียบเท้าข้างหนึ่งบนหน้าขาอีกฝ่าย แตะเข่าอีกข้างบนไหล่กว้าง กระแทกศอกลงกลางกระหม่อมยักษ์ตนที่สอง ตามด้วยสันมือฟาดประกบเข้าสองบ้องหูอย่างแรง
          เมื่อดีดตัวกลับลงมาสู่พื้นดิน สาวมวยไทยก็ไม่รอช้า ไม่รอชมผลงานให้เสียเวลาแม้แต่นิด ใช้เคล็ดวิชาพื้นฐานวิชาแรกที่ผู้เป็นลุงบอกสอนให้ท่องจำจนขึ้นใจทันที
          รู้จักสู้... รู้จักหนี... รักชีวี... รอดพ้นภัย!
          ฝนปรายโผไปรวบตัวเด็กหญิงที่ยืนมองอ้าปากค้างให้ทิ้งตัวลงบนแพยาง พละกำลังแห่งการเอาตัวรอดเท่าช้างสารทำให้เธอสามารถผลักแพนั้นลงน้ำ พร้อมกับโดดตามลงไปโจนจ้วงว่ายน้ำแขนเดียวและลากแพไปด้วยความเร็วอย่างที่เธอเองยังไม่คิดมาก่อน
          ทิ้งระยะห่างมาได้ไม่กี่อึดใจ เธอก็ได้ยินเสียงโดดน้ำตูมๆ ไล่หลังมา แต่ไม่คิดจะเสียเวลาไปเหลียวมอง ทำเพียงแค่เร่งความเร็วสุดชีวิต
          “คิมมี่!! ข้างหน้า... แก่งน้ำจะมาอีกแล้วค่ะ”
          เมื่อเห็นเส้นทางอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า พีณาที่นั่งตัวเกร็งบนแพยางก็รีบร้องบอกคนในน้ำ หลังจบตำเตือนฝนปรายก็รับรู้ถึงกระแสน้ำที่เริ่มพัดพาเร็วขึ้น หญิงสาวร้องบอกให้เด็กหญิงขยับไปนั่งถ่วงแพด้านตรงข้ามกับที่ตัวเธอเกาะอยู่ ซึ่งร่างเล็กๆ นั้นก็พยายามที่จะทำตามอย่างเต็มความสามารถ พอได้ที่หญิงสาวก็รวบรวมแรงฮึด ยึดเกาะแพไว้มั่นและใช้แรงแขนดันตัวเองขึ้นจากน้ำ
          ในจังหวะที่ความเร็วของแพเร่งเร็วขึ้นเพราะไหลเข้าสู่ช่วงของร่องแก่ง หญิงสาวสามารถพาดขาข้างหนึ่งขึ้นบนแพได้แล้ว แต่ยังไม่มีเรี่ยวแรงและเวลาพอจะตะเกียกตะกายพาทั้งตัวขึ้นไปได้
          “คิมมี่!!” พีณาร้องเรียกชื่อคนที่เกาะขอบแพอย่างหมิ่นเหม่
          ขณะที่แพเคลื่อนไปอย่างเร็ว และกำลังจะถูกเหวี่ยงให้เฉียดไปเข้าใกล้โขดหิน คนตัวเล็กตัดสินใจโถมตัวเข้าไปหาและกอดรั้งพลิกร่างพี่เลี้ยงเข้ามา จนสามารถดึงอีกฝ่ายมานอนหงายแผ่อยู่กลางแพได้อย่างทันเวลาฉิวเฉียด ก่อนที่แพของพวกเธอจะกระแทกโขดหินและเด้งกลับออกสู่สายน้ำอีกครั้ง
          ฝนปรายนอนหอบเหนื่อยหายใจแรงเนื้อตัวเปียกปอน เธอค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลงช้าๆ พร้อมคิดอย่างเบาใจว่าเจ้าคนร้ายสองคนนั้นคงไม่บ้าตะลุยข้ามแก่งไล่ตามแพของพวกเธอมาได้แน่
          หญิงสาวใช้สองแขนโอบร่างเล็กๆ ที่ครึ่งท่อนบนยังไม่ลุกขึ้น จากที่ล้มทับในตอนพยายามดึงตัวเธอขึ้นแพ ลูบแผ่นหลังบอบบางที่ยังมีอาการเกร็งและสั่นจากความตกใจกลัว
          “ไม่เป็นไรแล้วค่ะคนเก่ง... ขอบคุณนะคะพีณา พีณาเป็นซุปเปอร์ฮีโรช่วยคิมมี่ไว้เลย”
          ระหว่างที่แพยังล่องไหลไปเร็วบ้างสลับหักเลี้ยวบ้าง ด้วยคุณสมบัติพิเศษของแพที่ออกแบบถ่วงสมดุลมาอย่างดี ทำให้อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่ามันไม่มีวันพลิกคว่ำแม้จะผ่านเส้นทางทรหดคดเคี้ยวแค่ไหนก็ตาม เสียงหนักแน่นชวนให้ผ่อนคลายสบายใจของฝนปรายปลุกปลอบใจเด็กหญิงไปเรื่อยๆ
          จิตใจที่นิ่งและสติครบถ้วนในการรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ นั้น คอยช่วยทั้งตัวเธอเองและทั้งผู้คนรอบข้างใกล้ชิดเอาไว้ได้อยู่เสมอ และมันก็เป็นกลิ่นอายความอบอุ่นมั่นคงลักษณะเฉพาะตัว ที่มักจะดึงดูดให้ผู้ที่อ่อนแอกว่าต้องการอยู่ใกล้ชิดหญิงสาวช่างปกป้องคนนี้... ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูเพ็ญนรีที่โลกเก่า หรือเด็กหญิงพีณาในโลกใหม่แห่งนี้ก็ตาม
          พีณาที่ผ่อนคลายความหวาดกลัวลงไปได้แล้ว ค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้นนั่ง โดยมีร่างของพี่เลี้ยงสาวลุกขึ้นตามมา แม้จะค่อนข้างวางใจว่าสลัดคนร้ายหลุดแล้ว แต่สองตาสวยคมก็ยังอดกวาดมองไปตามเส้นทางเบื้องหลังที่ผ่านมาไม่ได้
          หญิงสาวผ่อนลมหายใจลงอย่างโล่งอกเมื่อไม่เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น แต่ขณะที่กำลังจะหันกลับนั่นเอง คนโล่งใจก็ต้องหันขวับกลับไปเขม้นมองให้ดี
          ไอ้บ้าเอ๊ย!!... มันจะอึด ถึก ทน กัดไม่ปล่อยเกินไปมั้ยฟร้ะ! 
          ฝนปรายร้องลั่นในใจ เมื่อเห็นสองร่างใหญ่โตนั้นวิ่งไล่ตามมาบนฝั่งอย่างไม่ยอมให้พวกเธอหลุดมือ แม้ตอนนี้แพของพวกเธอจะยังนำอยู่ไกล แต่กระแสน้ำที่ผ่านพ้นแก่งมาแล้วกำลังเริ่มอ่อนแรงช้าลงอีกครั้ง ถ้าเป็นอย่างนี้อีกไม่นานพวกเขาคงจะตามมาทันหรือไม่ก็สามารถวิ่งนำไปดักหน้าไว้ได้แน่ๆ
          เฮ้ย!! เล่นขนกันมากี่กองทัพวะเนี่ย...
          หญิงสาวโวยวายฮึดฮัดในใจอีกครั้ง หลังจากกวาดตามองริมฝั่งทั้งสองข้างเพื่อหาทางหนีทีไล่ และเห็นกลุ่มชายหนุ่มร่างโตเกือบสิบคนที่จู่ๆ ก็โผล่มาดักรอตรงริมฝั่งอีกด้านหนึ่ง
          แล้วคนที่กำลังตกตื่นก็ต้องใจหายวูบ ร้องว่า ซวยแล้วในใจลั่น เมื่อชายหนุ่มสองคนในกลุ่มที่มาใหม่กระโจนลงน้ำและว่ายตรงมาทางพวกเธอ
        เอาน่ะ! สองกับสิบ... ยังไงก็ขอเลือกเสี่ยงกับฝั่งสองแล้วกัน
          ตัดสินใจได้อย่างนั้นแล้วหญิงสาวก็คว้ามือเด็กหญิงกระชับไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยบอกพร้อมสบเข้าไปในนัยน์ตากลมสีฟ้าอมเทา
          “พีณาคะ เราต้องหนี ว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งทางนู้น... พีณาทำได้ แต่ถ้าไม่ไหวขิมจะคอยประคองเอง เชื่อใจขิมนะคะ”
          ฝนปรายกระชับมือเล็กคู่นั้นแน่นเข้าอีกนิด กระตุ้นให้เด็กหญิงยอมตกลง เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า เธอก็ส่งยิ้มให้กำลังใจและเตรียมออกคำสั่งสละแพ
          หยุดอยู่ตรงนั้น!! นั่งรออยู่เฉยๆ ก็พอ
          จู่ๆ เสียงสื่อจิตก็ดังก้องเข้ามาในหัวของหญิงสาวที่เตรียมจะนับถอยหลังเพื่อให้สัญญาณ โดด! 
          ฝนปรายชะงักกึก สีหน้างงงัน หันซ้ายหันขวามองหาเจ้าของเสียงที่เธอจดจำได้ดีว่าเป็นของใคร
          สองคนที่กำลังไปหาเธอเป็นคนของฉัน... ไม่ต้องหนี
          หลังสิ้นประโยคนั้น คีนส์ก็มาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางคนของเขาตรงริมฝั่ง สายตาคมกริบที่มองตรงมาประสานเข้ากับสายตาของเธอพอดิบพอดี คนที่ถูกบีบให้เผชิญเรื่องคับขัน และยังมีชีวิตเด็กหญิงร่างเล็กให้ปกป้องดูแลรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก รอยยิ้มโล่งใจและยินดีกับการได้พบหน้าเขาจึงฉายชัดโดดเด่นบนใบหน้า
          “จับตัวพวกมันมาให้ได้” คีนส์ละสายตาจากสองร่างบนแพยางที่อยู่ในการคุ้มกันของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว สายตาเย็นเยียบมองไปยังฝั่งตรงข้ามที่ชายสองคนรีบเผ่นหนีไปในทันทีที่เห็นพวกเขาปรากฏตัว


        เมื่อแพอควาเวนเจอร์ที่พาสองสาวผ่านการผจญภัยชวนระทึกยิ่งกว่าโปรแกรมที่ตั้งไว้หลายเท่าตัวเข้ามาเทียบริมฝั่ง คีนส์ก็ย่อตัวลงรับตัวหลานสาวที่โผเข้ามาในอ้อมกอดอุ่น ลูบหลังไหล่เล็กบางของเด็กหญิงคนเก่งที่พอเห็นหน้าผู้เป็นลุงก็ร้องไห้สะอื้น ก่อนจะรวบตัวอุ้มเจ้าของแขนเล็กๆ ที่กอดคอเขาไว้แน่น เดินก้าวนำกลุ่มผู้คุ้มกันที่เหลือจากการไปตามจับตัวคนร้าย เอาไว้คุ้มกันผู้เป็นนายอีกสองสามคนออกจากสวนป่าจำลอง
          ส่วนฝนปรายที่กำลังเดินตามสองลุงหลานไปช้าๆ นั้นอดจะสะดุ้งหันขวับไม่ได้ เมื่อมีเสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวบางที่ยังมีไออุ่นห่มคลุมลงบนไหล่
          “ขอบคุณค่ะสกาย” หญิงสาวฉีกยิ้มให้ผู้คุ้มกันร่างยักษ์ที่ดูใจดีและยอมญาติดีกับเธอมากกว่าทีต้าร์ คนที่ไม่รู้ว่าไปเจอเรื่องอะไรเข้าให้หรือเปล่า
          “โชคดีมากเลยที่พวกสกายมาช่วยไว้ได้ทัน ว่าแต่... รู้ได้ยังไงคะ ว่าเราเกิดเรื่อง” ฝนปรายซักถามชวนคุยไประหว่างทาง
          “เราได้สัญญาณจากคุณหนู” สกายเอ่ยกระชับ
          “หือ?” หญิงสาวส่งเสียงในลำคออย่างสงสัย เท้าที่ก้าวเดินตามขบวนไปก็เว้นจังหวะช้าลง
          “ข้างหลังน่ะหยุดพูดมาก แล้วเดินให้มันเร็วหน่อย”
          ฝนปรายละสายตาที่จ้องรอคำอธิบายจากผู้คุ้มกันหนุ่มที่เดินรั้งท้ายอยู่ข้างตัวเธอ หันไปมองเจ้าของเสียงเรียบดุก็เจอกับสีหน้าที่เรียบเย็นยิ่งกว่า ชัดเลยว่าพื้นอารมณ์ของคนที่อุ้มหลานสาวเดินนำหน้ายังไม่ค่อยดีนัก
          “เจ้านายนี่ดุชะมัด” เธอเขย่งเท้ายื่นหน้าเข้าไปกระซิบนินทาคนช่างสั่ง
          คนถูกชวนนินทาเจ้านายเกือบเผลอยกมุมปากตอบรอยยิ้มกวนของสาวปากดี แต่ก็ต้องชะงักตีหน้าให้นิ่งขรึมแทบไม่ทัน เมื่อเจ้านายซึ่งถูกนินทาหันกลับมามองหน้าเขานิ่ง นัยน์ตาสีฟ้าเข้มจัดนั้นวาวเรืองด้วยความไม่พอใจชัดเจน 
          แต่ช่างแปลกประหลาดและไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย... เมื่อสายตาตำหนินั้นมุ่งตรงมายังเขาเพียงคนเดียว ไม่เหลียวแบ่งไปทางเจ้าของคำวิจารณ์เลยสักนิด!
          เมื่อเดินมาถึงแลนด์โมบิลเปิดประทุนที่มีคนขับนั่งประจำที่รออยู่ คีนส์ก็วางตัวหลานสาวลงบนเบาะตอนหลัง ก่อนจะหันมาทางสองหนุ่มสาวที่เดินมาถึงหลังสุด
          “นายพาคนที่เหลือไปตามหาทีต้าร์ด้วย ส่วนเธอก็รีบขึ้นมาได้แล้ว”
          ฝนปรายทำปากยื่นเล็กน้อยกับเสียงสั่งห้วนๆ แต่ก็ยอมก้าวขึ้นไปนั่งลงข้างๆ เด็กหญิงแต่โดยดี ทว่าเธอก็ต้องคิดด่าตัวเองในใจว่าตัดสินใจเลือกที่นั่งผิดไปเสียแล้ว เมื่อคนหน้านิ่งตามขึ้นมานั่งจนชิด และออกจะเบียดไปสักนิดกับการนั่งเรียงกันสามคนในแถวเดียว หญิงสาวกำลังจะเอ่ยขอย้ายไปนั่งตรงข้างคนขับ แต่เจ้าของไออุ่นร้อนด้านซ้ายมือเธอก็ชิงสั่งให้ออกตัวเสียก่อน


          แลนด์โมบิลเปิดประทุนแล่นเลี่ยงบริเวณเวทีแสดงดนตรีและลานกิจกรรมซึ่งเริ่มมีผู้คนขวักไขว่พลุกพล่าน ผ่านไปทางเนินกว้างที่มีกระโจมสีขาวซึ่งภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกางเอาไว้นับร้อยๆ หลัง เพื่อให้ผู้ที่ต้องการชมดนตรีข้ามวันข้ามคืนได้จองเข้าพัก จากนั้นก็เป็นป่าสนโปร่งๆ ที่เส้นทางเริ่มลาดชันขึ้น ไม่นานแลนด์โมบิลก็แล่นไต่ระดับพาผู้โดยสารทั้งสามมาส่งหน้าอาคารทรงสูงสีเทาดำบนเนินริมผาที่เดียวกับเมื่อเช้า

          ฝนปรายลอบผ่อนลมหายใจแผ่วหลุดจากอาการเกร็ง เมื่อกระแสอุ่นจนเกือบร้อนผละหายห่างไปจากข้างตัวเสียที คีนส์กดปุ่มเปิดประตูก้าวลงจากโมบิล แล้วเดินก้าวยาวๆ อ้อมไปรับตัวหลานสาวมาอุ้มไว้อย่างหวงแหน ลมจากทะเลที่กรรโชกมาต้อนรับในขณะที่หญิงสาวก้าวลงจากโมบิล พาให้ร่างบางที่ยังเปียกชื้นสะท้านหนาวขึ้นมา มือบางจึงรวบกระชับเสื้อที่คลุมตัวให้แน่นขึ้นอีกนิด
          “ขี้หนาวอย่างนี้แล้วยังมัวแต่เดินชักช้า” เสียงดุจากคนที่เดินลิ่วนำไปก่อนแต่ยังอุตส่าห์หันกลับมามอง
          คีนส์ยังไม่ทันได้เอ่ยเร่งฝีเท้าของอีกฝ่ายอีก ประตูอาคารเบื้องหลังเขาก็เลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ เสียงของคนที่กระวนกระวายรอฟังข่าวของหลานสาวมาพักใหญ่ดังขึ้นตามมา
          “พีณา! เป็นยังไงบ้าง... เจ็บตรงไหน ตกใจกลัวมากหรือเปล่า” มาดามเมเรนตรงเข้ามาลูบหน้าลูบหลังหลานสาวถามไถ่ คีนส์จึงก้าวต่อเข้าไปในโถงอาคารอำนวยการของแอลเอวัน ค่อยๆ วางตัวเด็กหญิงลงยืนกับพื้นให้ผู้เป็นย่าได้สำรวจตรวจตราจนคลายใจ
          “พีณาไม่เป็นไรแล้วค่ะ แต่พีณากลัวจังเลยค่ะแกรนด์มัม พวกเขา

น่ากลัวมาก เขาจะจับตัวพีณาไป” เสียงเล่าฟ้องยังปะปนมาด้วยความตื่นตระหนก

          “โธ่... ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ต้องกลัว... แกรนด์มัมจะให้อังเคิลจัดการ จับตัวพวกคนไม่ดีเข้าห้องขังให้หมดเลย” คุณผู้หญิงแห่งวิลตันไชลด์ลูบศีรษะเล็กกลมปลอบขวัญ
          ระหว่างนั้น หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงที่มานั่งรอเป็นเพื่อนมาดามเมเรนนานแล้วก็ขยับก้าวเข้ามาช่วยเอ่ยปลอบอีกแรง
          “โชคดีนะคะที่มิสเตอร์คีนส์ไปช่วยไว้ได้ทัน รีซเพิ่งมาถึงไม่นานก็ได้ข่าวว่าเอสโอเอสของพีณาทำงานก็ตกใจแทบแย่...”
          “ฮะ ฮัด ฮ้าด... เช้ย!!
          แววตาอ่อนโยนของรีซานยามเอ่ยแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเด็กหญิง พลันตวัดขวับมามองเจ้าของเสียงจามขัดจังหวะดังสนั่นไร้มารยาทตาขวาง ซึ่งแทบเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คิ้วเข้มของคีนส์กระตุกย่นเข้าหากัน
          “ขอโทษค่ะ” คนห้ามเสียงจามไม่อยู่รีบเอ่ยขออภัยทันที
          ฝนปรายห่อตัวกอดตัวเองแน่นเข้า ลูบลำแขนที่ซุกอยู่ใต้เสื้อตัวบางเรียกความอบอุ่นพร้อมสูดจมูกฟุดฟิด และมันก็ยิ่งทำให้หัวคิ้วของใครบางคนยิ่งขยับเข้าหากันแน่นเข้าด้วยความไม่ชอบใจ
          “ผมฝากดูแลพีณาต่อด้วยนะครับมัม” คีนส์เอ่ยกับมารดา ก่อนจะตวัดสายตาคมดุมามองเจ้าของเสียงจาม
          ฝนปรายรีบยืดตัวตรงเตรียมพร้อมตั้งรับคำต่อว่าต่อขานอย่างเคยชินฝังใจ แต่ใครเลยจะคาดคิดว่าเจ้านายหนุ่มจะก้าวเข้ามาคว้าข้อมือเธอแล้วดึงให้เดินตามเอาเสียดื้อๆ
          “ตามมาให้เร็ว อย่าชักช้า!
          ภาพของชายหนุ่มร่างสูงฉุดข้อมือลากหญิงสาวร่างบอบบางให้เดินตามเข้าไปในลิฟต์อย่างเร็วด่วน จนชายเสื้อตัวบางที่คลุมตัวหญิงสาวอยู่สะบัดไหว พาให้ผู้หญิงอีกสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์มองตามจนลับตา ด้วยไม่เคยพบเห็นชายหนุ่มผู้นำตระกูลวิลตันไชลด์ทำอะไรประเภทหลุดฟอร์มเฉยชา ไม่ระมัดระวังกิริยาอย่างนี้กับใครเช่นนี้มาก่อน
          มาดามเมเรนหันกลับมามองสบตากับรีซานด้วยแววหนักใจกับพฤติกรรมผิดแปลกของชายหนุ่ม แตกต่างจากเด็กหญิงพีณาที่เอียงคอครุ่นคิด ก่อนจะหัวเราะคิกออกมาด้วยความคิดซุกซนจนผู้ใหญ่อีกสองคนต้องนึกสงสัย
          “หัวเราะอะไรคะพีณา”
          เด็กหญิงได้ยินคำถามก็ฉีกยิ้มกว้างแววตาเป็นประกายให้แกรนด์มัม อาการเช่นเดียวกับตอนที่เด็กหญิงพบเจอสิ่งของถูกใจ ก่อนจะเข้าไปคว้ามือกอดแขนอีกฝ่ายไว้เตรียมจะออดอ้อนขอเพื่อให้ได้มา
          “พีณาจะเอาคิมมี่มาเป็นอานตี้ค่ะ คิมมี่เก่งมากเลยนะคะ จับผู้ร้ายตัวโตโยนลงพื้นได้ด้วย สุดยอดแห่งวันเดอร์วูแมนที่สุดเลยค่ะ แล้วพีณาก็ชอบกินอาหารของคิมมี่มากๆ ด้วย... พีณาชอบคิมมี่ อังเคิลก็ชอบคิมมี่”
          ประโยคยืดยาวที่เด็กหญิงกล่าวชื่นชม คิมมี่เจื้อยแจ้ว บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเริ่มหายจากอาการตกใจกลัวแล้ว แต่ทว่าประโยคไหนก็ไม่มีน้ำหนักสะดุดหูและขัดหูผู้ใหญ่ทั้งสองเท่าที่ว่า... อังเคิลก็ชอบคิมมี่!
        “พีณาพูดอะไรคะ มิสเตอร์คีนส์จะไปชอบผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง” รีซานรีบทักท้วง
          “พีณา รู้จริงๆ นะคะรีซ” เด็กหญิงเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ เชื่อมั่นในสิ่งที่ความรู้สึกของเธอสัมผัสได้
          ผู้คนในยุคนี้ต่างเอ่ยเรียกสิ่งที่เด็กหญิงมีอยู่ว่า กิฟต์ความสามารถแฝงในด้านต่างๆ อันบริสุทธิ์ติดตัวมาแต่กำเนิด ด้วยเด็กหญิงยังไม่ได้ผ่านการ ปลุกจึงยังไม่สามารถบังคับใช้มันเพื่อล่วงรู้ความคิดผู้อื่นได้เป็นถ้อยประโยคชัดเจนเท่าของชายหนุ่มผู้เป็นลุง แต่เธอก็สามารถสัมผัสรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนรอบตัวได้ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป

           
          “พาขิมขึ้นมาที่นี่ทำไมคะ”
          ฝนปรายเปลี่ยนคำถามเมื่อคีนส์พามายืนอยู่กลางห้องทำงานโล่งๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอพยายามถามว่า จะพาไปไหนแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากคนเดินนำสักคำ เบื้องหน้าที่เธอยืนอยู่เป็นโต๊ะทำงานตัวโตทำจากกระจกผสมอลูมิเนียมเงาวับ ถัดไปด้านหลังเป็นผนังและประตูกระจกเชื่อมต่อสู่ระเบียงที่กั้นรั้วโปร่งใส สามารถมองผ่านไปเห็นวิวท้องทะเลไกลสุดสายตา
          หญิงสาวกระตุกชักมือกลับเบาๆ อีกครั้งก็สามารถคืนอิสระให้กับข้อมือตัวเองได้สำเร็จเสียที ทั้งที่ก่อนหน้าต่อให้กระชากแรงแค่ไหนก็ไม่หลุดจากมือใหญ่ซึ่งแข็งแรงกว่าที่คิด
          “ตามมานี่” หัวหน้าขบวนการก้อนน้ำแข็งยังคงเก็บงำสงวนถ้อยคำ เขาเดินไปยังผนังห้องด้านขวามือแล้วแตะปลายนิ้วเปิดประตูบานเลื่อนที่ออกแบบไว้อย่างกลมกลืนกับผนัง หญิงสาวชะเง้อเข้าไปเห็นเตียงกว้างตั้งโดดเด่นอยู่ก็ชะงักเท้าที่กำลังก้าวไปหาเจ้าของห้องทันที
          “ให้เร็วคีนส์หันมาสั่งคนที่ยืนนิ่งอยู่
          ฝนปรายสูดลมหายใจพร้อมแถมน้ำมูกใสๆ ฟื๊ด... รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที เหล่ตามองหน้าเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยืนขวางประตูไปครึ่งบานด้วยความไม่ไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง
          จะบ้าหรือไง! เห็นเป็นงี้ฉันก็เป็นสาวเป็นนางมีพ่อมีแม่... ถึงจะเสียไปหมดแล้วก็ยังมีคุณยายนะ จู่ๆ มาชวนเข้าห้องนอนง่ายๆ ได้ไง!
        คน ชวนเข้าห้องถอนใจพรืดใหญ่ให้คนคิดอกุศลที่จมูกเริ่มแดงเรื่อขัดสายตา สะกิดเกาหัวใจเขาให้รำคาญอย่างที่สุด ขายาวๆ พาร่างสูงตรงเข้ามาฉุดรั้งข้อมือบางให้เดินตามอย่างไม่รอให้เสียเวลา แม้จะถูกโวยวายต่อต้านไม่เบา แต่เขาก็สามารถพาคนใกล้ป่วยมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำได้ในเวลาอันรวดเร็วสมใจ
          “ถึงเธอจะเป็นสาวเป็นนางคนสุดท้าย แต่ฉันก็ไม่คิดทำอะไรหรอกนะ เข้าไปอาบน้ำสระผมจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ผ้าเช็ดตัว เสื้อคลุมอยู่ในห้องน้ำ... ออกมาแล้วก็เปิดดูในตู้เสื้อผ้านี่ ฉันจะสั่งชุดใหม่มาไว้ให้”
          คนเคยถนอมคำพูดสั่งความเสียยาวเหยียดจนคนไม่คุ้นอ้าปากตาโตค้าง ก่อนจะยิ้มแหยไปให้เมื่อเข้าใจความหวังดีอันซุกซ่อนเอาไว้ลึกล้ำมิดชิดจนแทบจะขุดหาไม่เจอ
          ดีนะที่ไอ้ขิมฉลาดเลยพอรู้ทัน
        คีนส์ส่ายหน้าน้อยๆ กึ่งระอากับความคิดชมตัวเองจนเกือบจะเผลอหลุดยิ้ม
          แต่แล้วจู่ๆ หญิงสาวก็ชะงัก คิดทบทวนถึงจุดผิดสังเกตและจับบวกเข้ากับความค้างคาใจบางอย่าง ก่อนจะยิงคำถามออกมา
          “มิสเตอร์คะ... ทำไมถึงพูดอย่างกับรู้ว่าขิมคิดอะไร แล้วยังตอนนั้นอีก ตอนที่ขิมกำลังจะโดดลงจากแพ”
          “นั่นเป็นเรื่องที่ฉันจะต้องคุยกับเธอเหมือนกัน แต่ต้องหลังจากเธอจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว หรือถ้าเจ็บป่วยขึ้นมา ฉันจะหักค่าจ้างพร้อมคิดค่าหมอค่ายาจากเธอแน่”
          ประโยคสุดท้ายของเขานั้น ทำเอาคนมีอาการใกล้ป่วยตาโตขึ้นมาทันที พร้อมจงใจตะโกนลั่นในใจอย่างไม่กลัวเกรง แถมยังแอบหวังให้เขาได้ยินจริงๆ เสียด้วยซ้ำ
          ขี้งก!.. เขี้ยวจมดินจนทะลุชั้นแมกม่าแล้วค่ะ ตาลุงก้อนน้ำแข็งเอ๊ย...

         
          ระหว่างรอให้หญิงสาวจัดการตัวเองอยู่ในห้องพักส่วนตัว คีนส์ก็ได้รับรายงานการจับตัวคนร้ายทั้งสอง รวมถึงผู้ร่วมขบวนการที่เป็นคนหลอกล่อทีต้าร์ให้แยกตัวไปได้อีกหนึ่งคน หลังจากส่งตัวผู้บุกรุกให้ทางผู้พิทักษ์สันติได้ตรวจสอบม่านตากับศูนย์ข้อมูลบุคคล ก็สามารถเชื่อมโยงว่าพวกเขาเป็นลูกจ้างของแมคแกรี่ได้ในเวลาไม่นาน แต่คนร้ายเหล่านั้นก็ยังปฏิเสธแข็งขัน ทั้งยังไม่ยอมปริปากว่ามีพรรคพวกแฝงตัวเข้ามาในแอลเอวันอีกเท่าไหร่
          “ให้คนของเราตรวจสอบพื้นที่ให้ดี สกาย... พาคนของเราไปรับตัวไนนามาเตรียมพร้อมสแตนบายที่นี่ได้เลย ฉันไม่ต้องการให้มีอะไรผิดพลาด ส่วนทีต้าร์...”

          แววตาคมกริบจ้องหน้าผู้คุ้มกันหนุ่มที่ยังคงอยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว ตามเนื้อตัวมีร่องรอยฟกช้ำเปรอะเปื้อนจากการต่อสู้ชุลมุน แต่ก็ไม่มีบาดแผลอะไรร้ายแรงให้เห็น
          “ครั้งนี้ยังโชคดีที่พีณาไม่เป็นอะไร แต่หวังว่าครั้งหน้าจะตัดสินใจได้ดีกว่านี้ นายควรรีบพาพีณาออกมา แล้วหาทางติดต่อคนของเราที่กระจายอยู่รอบพื้นที่เต็มไปหมด ไม่ใช่ฉายเดี่ยว และทิ้งให้ผู้หญิงสองคนอยู่กันลำพังในสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจอย่างนั้น”
          ทีต้าร์ก้มหน้าหลุบตาลงรับถ้อยตำหนิจากคนที่จัดลำดับความปลอดภัยของคนในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จากนั้นผู้คุ้มกันหนุ่มก็ส่งเสียงรับคำสั้นๆ เมื่อถูกสั่งให้ไปอาคารพยาบาลเพื่อตรวจเช็คร่างกายให้แน่ใจอีกครั้งว่าพร้อมที่จะกลับมาทำงานต่อจริงๆ
          “ฮัดเช้ย!!
        วืด... เสียงจามที่ดังพร้อมกับประตูห้องด้านในที่เลื่อนเปิด เรียกสายตาของชายหนุ่มทั้งสามที่อยู่ในความเครียดเคร่งให้หันไปมองพร้อมเพรียง คิ้วเข้มของเจ้าของห้องขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดใจที่ทวีขึ้น เอ่ยคำสั่งเพิ่มเติม
          “แล้วก็เรียกหมอมาที่นี่คนหนึ่งด้วย... ออกไปได้”
          “เออะ เดี๋ยวก่อน! มิสเตอร์คะ ขิมไม่เป็นไร อาจแค่แพ้น้ำแพ้อากาศเย็นนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายเอง... ไม่ต้องตามหมอก็ได้ค่ะ”
          ฝนปรายที่ก้าวออกจากห้องพักมาในชุดเสื้อคอปาดทรงเอยาวเลยสะโพกพร้อมกางเกงสีดำกระชับท่อนขาเรียว รีบร้องห้ามความหวังดีที่เธอไม่ต้องการ แต่พอจะหันไปรั้งคนรับคำสั่ง พวกเขาก็ต่างพากันแยกย้ายเดินออกจากห้องไปราวกับถูกตั้งโปรแกรมไว้ ไม่มีหยุดให้ความสนใจเธอสักนิด
          “ฉันไม่จำเป็นต้องถามความเห็นเธอ” คีนส์ตอบหน้าตาย
          “แต่มีหมอก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ซึ่งมันเป็นดีลของขิม!” หญิงสาวกระแทกเสียง จดจำสิ่งที่เขาขู่กำชับเอาไว้ได้ดี
          ชายหนุ่มผุดรอยยิ้มตรงมุมปาก มองอาการฮึดฮัดและจ้องเขาตาถลน อย่างไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครทำกิริยาอย่างนี้ใส่แล้วเขาจะรู้สึกว่าเพลิดเพลินและพึงใจที่จะมอง
          “นั่งก่อนสิ ไม่อยากคุยเรื่องที่เธออยากรู้หรือไง”
          คำสั่งและคำถามหยั่งเชิงเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจในสิ่งที่เธอทักท้วง ทำเอาหญิงสาวที่ไม่อยากเสียดีลกับอะไรไม่จำเป็นถอนใจหนักๆ อย่างจงใจให้เขารับรู้ ก่อนจะทิ้งตัวลงตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาทั้งที่ใบหน้ายังหงิกงอแสดงความไม่พอใจ
          “ไม่เห็นจะสนใจแล้ว”
          “งั้นก็ขอให้เลิกสนใจได้จริงๆ และห้ามถามถึงมันขึ้นมาต่อหน้าคนอื่นอีกเป็นอันขาด”
          คนถูกกำชับหรี่ตาลงอย่างจับผิดและใคร่ครวญถึงที่มาของคำสั่ง เมื่อคาดเดาอะไรบางอย่างออก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดก็จุดประกายขึ้นที่มุมปาก
          “มิสเตอร์คีนส์อยากให้มันเป็นความลับงั้นหรือคะ เรื่องที่... มิสเตอร์สื่อจิตได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้หรือแตะตัวกันเลยด้วยซ้ำ”
          คีนส์เอนหลังยกเท้าขึ้นไขว่ห้าง สองมือประสานกันวางบนหัวเข่า จับจ้องมองสีหน้าของคนเป็นต่อที่กำลังคิดจะหยิบยกเอาความลับเกี่ยวกับตัวเขาขึ้นมาเจรจาต่อรอง ชายหนุ่มยังคงใจเย็น ไม่มีแม้ร่องรอยความสะทกสะท้าน
          “มิสเตอร์คิดว่าควรให้ค่าปิดปากขิมสักเท่าไหร่ดีคะ ขิมจะได้มีสติเยอะๆ ไม่ปากโป้ง เผลอถามขึ้นมา” หญิงสาวที่กลายเป็นคนหายใจเข้าออกเป็นค่าตอบแทน ได้ทีก็ไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสลอยผ่านไปง่ายๆ
          คราวนี้ชายหนุ่มยิ้มเย็นทีเดียวขณะลุกขึ้นเท้ามือลงกับโต๊ะ และโน้มตัวเข้ามาใกล้ กระซิบเบาๆ ห่างจากใบหน้ากระหยิ่มไปไม่ถึงคืบ
          “แต่ฉันคิดว่าการปิดปากที่ดีที่สุดคือการทำให้คนๆ นั้นพูดไม่ได้อีกเลย ตลอดกาล... เธอว่าจริงไหม”
          ดวงตาที่เมื่อครู่ยังฉายแววเล่ห์กระเท่ห์ กะพริบปริบสองครั้งก่อนจะเบิกโต ร่างบางเอนหลังถอยห่างช้าๆ แล้วส่งยิ้มอ่อนประจบ
          “ขิมก็แค่พูดเล่น... คนอย่างขิมไม่ขี้ลืมหรอกค่ะ จะเก็บให้มิด เหยียบให้จมดินเลย” ฝนปรายเอ่ยรับรองเสียงอ่อน ปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะแหะๆ ทั้งที่ในใจกลับด่าทอเจ้าของคำขู่ปิดปากเสียย่อยยับ
          ไอ้ลุงนิสัยหาดีไม่ได้... ขี้งกไม่พอ ยังจะขี้เหี้ยมอีกนะ ตกลงฉันข้ามเวลามาเจอหัวหน้าแก๊งมาเฟียยุคปีสามพันเข้าให้หรือไงกัน
        คีนส์ส่งสายตาดุ ตักเตือนให้หญิงสาวรู้ตัวว่าเขาได้ยินทุกสิ่งที่เธอคิด แต่สิ่งที่อีกฝ่ายโต้ตอบกลับมากลับทำเอาคน ขี้เหี้ยมถึงกับส่ายหน้าอ่อนใจในความพยศไม่ยอมลงให้
          เหอะ! กลัวตายละ...
          ถ้าหากเป็นคนอื่นที่คิดลองดีกับเขาขนาดนี้ คนอย่างมิสเตอร์เค ดับบลิว คงไม่เพียงมองด้วยแววตานิ่งที่ซุกซ่อนแววพึงพอใจอันน่าแปลกประหลาดไว้จนมิดเม้น แล้วปล่อยผ่านมองข้ามมันให้หญิงสาวยิ่งนึกได้ใจ ไม่เก็บงำความคิดใดๆ
          “แต่ถ้าเธออยากได้ค่าตอบแทนเพิ่ม ฉันก็มีงานบางอย่างให้เธอลองพิจารณา” ชายหนุ่มพาเปลี่ยนไปอีกเรื่องเมื่อคิดว่าจบเรื่องแรกนั้นแล้ว มั่นใจในสายตาตนเองว่าเขาดูหญิงสาวไม่ผิด
          หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่คนพูดมากในเรื่องที่รู้ว่าไม่ควรพูด แต่เรื่องที่คิดนินทาเขาในใจนั้น... เรียกได้ว่าจัดจ้านเอาเรื่องเสียเขาเลือดซิบเลยทีเดียว
          “งานอะไรคะ” ฝนปรายหูผึ่งขึ้นมาทันทีกับคำว่า ค่าตอบแทน
          “จากนี้ไป ฉันอยากให้เธอคอยตามประกบดูแลใกล้ชิดพีณาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตอนที่พีณาออกนอกวิลตันไชลด์โดม”
          “หมายถึงจะให้ขิมเป็นผู้คุ้มกันให้พีณางั้นเหรอคะ” แม้จะอยากได้ค่าตอบแทนมากมายขนาดไหน แต่ฝนปรายก็หนักใจไม่น้อยกับหน้าที่ใหม่ที่เขาเสนอ “ขิมไม่มั่นใจ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย และขิมไม่ใช่มืออาชีพ”
          “เรื่องนั้น... ฉันไม่คิดจะถอนผู้คุ้มกันคนอื่นที่ให้การดูแลพีณาอยู่แล้ว เพียงแต่อยากให้เธอเป็นเหมือนกำแพงด่านสุดท้าย ในตอนที่อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝัน หรือทีมของฉันควบคุมสถานการณ์ไม่ได้... อย่างน้อยที่สุดคือถ่วงเวลารอการช่วยเหลือที่จะเคลื่อนไหวทันทีที่เอสโอเอสจากพวกเธอส่งสัญญาณ” ชายหนุ่มอธิบายขอบข่ายหน้าที่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
          หญิงสาวครุ่นคิดไตร่ตรองตาม อดจะถามอย่างไม่เข้าใจไม่ได้ “ถ้าข้างนอกมันอันตราย ทำไมมิสเตอร์ไม่สั่งห้ามหรือให้พีณาอยู่แต่ในโดมล่ะคะ”
          “แล้วพีณาจะต้องกลายเป็นเด็กเก็บกด หวาดระแวง ไม่มีความสุขอย่างนั้นหรือ” คีนส์ตอบเธอด้วยการย้อนถาม ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ให้กับคำถามของตัวเอง “จากที่พีณาค่อนข้างติดเธออยู่แล้ว คงไม่ทำให้หลานสาวของฉันอึดอัดขัดใจสักเท่าไหร่กับการมีเธอคอยตามติด”
          คนที่เพิ่งจะได้ตำแหน่งแม่ครัวมาครองไม่ถึงสิบวัน แต่ต้องมาเพิ่มบทบาทผู้คุ้มกันเข้าไปอีกหนึ่ง ฟังเหตุผลของเขาแล้วก็คิดคล้อยตาม ไม่นานก็พยักหน้าตกลงรับจ็อบเสริม
          “ดี... และไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่ยอมให้เธอได้รับอันตรายใดๆ แน่นอน” ชายหนุ่มเอ่ยยืนยันด้วยจังหวะหนักแน่นไม่เร็วไม่ช้า พร้อมใช้สายตาแน่วแน่จับจ้องเธอนิ่ง

          ฝนปรายได้ฟังถ้อยคำดุจคำมั่นก็พอคลายใจได้ว่าตัวเองก็เป็นเพียงแค่ตัวแถม โดยที่คนของเขายังคงทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ ไม่ให้ใครที่คิดร้ายหลุดมาถึงมือเธอ แต่พอได้สบประสานแววตาแปลกที่ยังคงจับจ้องมานิ่งไม่ยอมคลาดคลายไปแล้ว หญิงสาวก็เริ่มตีสีหน้าประหลาด ในใจรู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก หรือบางทีมันอาจเป็นความระแวงต่อดวงตาอ่อนแรงคมกล้า ไร้ความเย็นชาดุดันที่ไม่คุ้นชินก็เป็นได้


อ่านต่อ >> กาลที่11: ติดอาวุธ


หรือเป็นเจ้าของความฟินแบบเต็มๆ 
สั่งซื้อรูปเล่ม... 
www.KanFunBook.com 
หรือ inbox : http://m.me/kanfun.writer

โหลดฉบับอีบุ๊ค... 
Meb : https://goo.gl/3Wom8E 
Hytexts : https://goo.gl/s31ks7